Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 8
ผมวิ่งผ่านทุ่งกว้างไปอย่างรวดเร็ว เหยียบย่ำศพไหม้เกรียมไปไม่รู้กี่ศพ และภายในเวลาไม่กี่อึดใจ ก็สามารถวิ่งข้ามผ่านสถานที่เปิดท้าประลองการต่อสู้ระหว่างคนเรียกภูตไปได้ ด้วยเหตุนี้จึงพลอยทำให้ผมรู้สึกสดชื่น คลายความหนักอึ้งในอกไปได้บ้าง รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องโกหกเลย ที่ผมสามารถกลับมาเดินย่างก้าวได้อีกครั้ง หลังจากจบสิ้นกับการเผชิญหน้าต่อความยากลำบากที่ได้พบเจอมาเมื่อครู่
ผมรวบรวมพลังที่มีอยู่ แล้ววิ่งออกไปด้วยความมั่นอกมั่นใจที่เพิ่มมากขึ้น จนสามารถมาถึงปากทางของสมรภูมิรบได้ในที่สุด แล้วจึงเริ่มกวาดตาดูสนามรบทันทีที่มาถึง
จากการกวาดตามองอย่างรวดเร็วแล้ว พบว่าสถานการณ์ดีกว่าที่คิดไว้เสียอีก พวกศัตรูไม่ได้มีจำนวนมากมายเสียขนาดนั้น เจ้าพวกนั้นที่ควรจะอยู่ที่นี่ บางทีอาจจะกระเจิดกระเจิงกันไปหมดแล้วก็ได้ หรือบางทีอาจเป็นเพราะผมมองไม่ทั่วถึง แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในตอนนี้ก็ดีกว่าที่คิดไว้อยู่ดี
แต่ถึงจะพูดเช่นนั้น ก็ไม่ได้ถึงกับว่าจะดีเสียมากมายอะไรหนักหนา ด้วยความที่สถานที่ที่ผมมาถึงนี้ เป็นเพียงแค่ปากทางเท่านั้น หรือการที่ผมไม่ได้เห็นพวกศัตรูมีจำนวนมากมายถึงขนาดนั้น อาจจะหมายความว่าพวกมันไปรวมตัวกันอยู่ ณ จุดอื่นก็ได้
ผมลอบถอนหายใจชั่วครู่ แล้วจึงเงยหน้าขึ้น มองไปยังที่ที่อยู่ห่างไกลอย่างละเอียดถี่ถ้วน
นั่นไง
และแล้วผมจึงได้เห็นค่ายคุ้มกันที่วิเวียนสร้างขึ้น แม้จะมองเห็นเพียงแค่จุดเสี้ยวเล็กๆ แต่พอเห็นเจ้าเซเทอร์ตัวใหญ่ยักษ์วิ่งกระโดดโลดเต้นไปมา จึงทำให้ผมได้รู้ว่าพวกเขาได้ปฏิบัติตามคำสั่งของผมเป็นอย่างดี
เสี้ยวหนึ่งผมคิดอยากจะไปแวะเวียนดูค่ายคุ้มกันบ้าง แต่ทว่าร่างกายของผมกลับไม่ทำตามที่ใจคิด เพราะตอนนี้ผมกำลังเดินมุ่งหน้าไปในทิศทางอื่นอยู่
แค่ก้าวเดียวก็ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด
ทั้งเมื่อครู่นี้ ทั้งในตอนนี้ สถานการณ์ยังคงเหมือนเดิม ไม่มีเวลาให้มานั่งพักอีกต่อไปแล้ว หากผมมัวแต่รีรอ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันอาจทำให้ผมไม่สามารถช่วยชีวิตของใครอีกหลายๆ คนที่กำลังรอดชีวิตอยู่ ณ ตอนนี้ก็เป็นได้
สนามรบคือสถานที่เช่นนั้น
ผมเอาแต่วิ่งไปเรื่อยๆ เห็นผู้คนอยู่บ้างประปรายสักประมาณสิบนาทีเห็นจะได้
ผมวิ่งเข้าไปด้านในจากปากทางของสมรภูมิ พร้อมเริ่มรับข้อมูลต่างๆ ที่พรคุ้มครองแห่งสงครามส่งมาให้ และในตอนนั้นเองข้อมูลตำแหน่งต่างๆ จำนวนหลายพันก็ปรากฏขึ้นมาในคราวเดียว ผมเห็นดังนั้นแล้วยังเกิดอาการวิงเวียนน้อยๆ เลย
หรือว่า…เขาจะตัดสินกองกำลังที่อยู่ตรงนั้นว่าเป็นกองทัพของพวกเรา
ผมวิ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง พลางสบถคำด่าไปมา แต่ทว่าข้อมูลของเหล่าผู้เล่นที่ผมต้องการตัว จากที่เด้งขึ้นมาทีละคน ทีละคนนั้น จู่ๆ กลับลดจำนวนลงไปในชั่วพริบตา ผมเสียดายที่ไม่สามารถตรวจจับตำแหน่งที่ตั้งใกล้ๆ ได้เลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังนับว่าโชคดีมากๆ แล้ว
ตั้งแต่นี้ไปผมจะต้องคิดทบทวนตำแหน่งอย่างถี่ถ้วน และต้องคำนวณเส้นทางในการเคลื่อนตัวให้ได้ แม้จะได้ข้อมูลจากเส้นทางมาน้อย แต่ก็ต้องเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ดีกว่าไปฟังคนนู้นพูดอีกอย่าง คนนี้พูดอีกอย่าง จนฟังไม่ได้ความ แต่ด้วยความที่ไม่มีการรับรองว่าพวกเขาเหล่านั้นพักแรมอยู่ที่ไหนจึงทำให้ผมสับสนเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นจากจุดไหนดี
ตู้ม! ตู้ม!
ไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น พร้อมกับรู้สึกได้ว่าผืนดินเบื้องล่างเกิดการสั่นไหวเล็กน้อย ผมจึงรีบเงยหน้าขึ้นทันที แล้วจึงได้พบเข้ากับจำนวนของเหล่าผู้เล่นที่กำลังเพิ่มขึ้นทีละนิด ทีละนิดตรงเบื้องหน้า และในที่สุดพวกศัตรูก็ได้เริ่มอพยพเข้าไปยังสถานที่รวมพล หลักฐานก็คือ เสียงกรีดร้องที่ได้ยินอย่างแผ่วเบาเมื่อครู่ บัดนี้ได้เพิ่มระดับเสียงขึ้นมาดังลั่นจนได้ยินเต็มสองหู
“ตายซะ! ไอ้กระจอก!”
“อึก…อ๊ากกก!”
ในตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นออกมาจากทิศใดทิศหนึ่ง ผมจึงหันไปมอง แล้วจึงได้พบเข้ากับพวกศัตรูจำนวนหลายสิบคน ที่มีแต่ความกระหายเลือดปรากฏอยู่บนใบหน้าเต็มไปหมด
แล้วก็เห็นภาพสมรภูมิรบซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเสียงนั้นเต็มสองตา
มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่ใดที่หนึ่งเท่านั้น
ผมถึงกับรู้สึกได้ถึงขนาดที่ว่า ค่ายคุ้มกันที่ผมเห็นเมื่อคราวมาถึงตรงปากทางในครั้งแรกกลับกลายเป็นเรื่องล้อเล่นขำๆ ไปเลย
คนร้องครวญคราง ทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวด อันเกิดจากดาบที่เฉือนร่าง
คนที่นอนเกลือกกลิ้งบนพื้น อันเนื่องมาจากมีพลังเวทเข้ามาปะทะร่าง
คนที่ล้มตัวลงนอนกับพื้น เพราะลูกธนูยิงเข้ามาคร่าชีวิต
คนที่เอาแต่ร่ำร้อง พร่ำเพ้อหานักบวช พร้อมน้ำตาไหลนองเป็นสาย
สถานการณ์ตอนนี้วุ่นวาย เละเทะต่างจากที่เห็นตรงปากทางโดยแท้จริง ทั่วทุกหนแห่งต่างกำลังเปิดฉากต่อสู้ ด่าทอจนฟังไม่รู้ความ ฝั่งหนึ่งก็เอาแต่ขับไล่ไสส่งให้จนตรอกอย่างบ้าคลั่ง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็พยายามต่อต้านกลับไป
พูดง่ายๆ ก็คือ สงครามนองเลือดที่พวกมันสร้างขึ้นมานั่นเอง แม้จะมีการแบ่งแยกระหว่างกองทัพของพวกเราและกองทัพของพวกศัตรูแล้วก็ตาม ถึงกระนั้นก็ยังคงยากอยู่ดีที่จะประเมินการณ์ใดๆ
ในสภาวะความวุ่นวายเช่นนี้ ผมจึงปลุกพลังเวทในดวงตาขึ้นมาทันที แล้วไล่สอดส่องทั่วอาณาบริเวณอย่างรวดเร็ว คนที่ผมรู้จักนั้น…
ไม่มี
ไม่ว่าจะดูด้วยสายตาปกติหรือใช้พรคุ้มครองแห่งสงครามในสอดส่อง แต่ก็ยังไม่มีคนที่ผมรู้จักอยู่ในละแวกนี้เลย
ถ้าอย่างนั้น จุดนี้ก็แค่เดินผ่านเลยไปก็พอ ผมเบือนหน้าหนีเหล่าผู้เล่นที่กำลังถูกพวกศัตรูเหยียบย่ำ แล้วเดินผ่านจุดนั้นไป
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
แต่ทว่าในวินาทีผมเดินผ่านไปนั้น กลับมีลูกธนูจากแห่งไหนไม่รู้ เล็งเข้ามาที่หลังและยิงเข้ามา ผมจึงหันหน้าไปเล็กน้อย แล้วค่อยจัดการทำลายมัน ผมจัดการกับศัตรูที่ขวางอยู่ตรงหน้า แล้วเตรียมจะวิ่งออกไป แต่ครั้งนี้ผมพบเข้ากับพวกศัตรูที่กำลังรวมตัวกันอยู่อย่างอาจหาญ เห็นดังนั้นจึงไม่รอช้า เตะผืนดินตรงเบื้องล่างอย่างเต็มแรง แล้วทะยานตัวขึ้นทันที
พรึ่บ!
ผมรู้สึกตัวเอียงเล็กน้อย พร้อมกับร่างกายที่กำลังโผบินอยู่บน และสามารถข้ามพวกศัตรูที่เข้ามาออกันไปได้อย่างหวุดหวิด หลังจากนั้นจึงแล่นลงสู่ผืนดินในทันที ขณะที่เท้าของผมกำลังจะแตะผืนดิน ผมกลับไม่ลงพื้นดินโดยตรง และเอียงร่างกายตัวเองเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงถลาตัวไป เหมือนกับจะลื่นไถลไปข้างหน้า
ผมใช้แรงเฉื่อย แล้วจึงพุ่งตัวออกไปจากผืนดินโดยทันที ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังไล่หลังมา แต่ทว่าลูกธนูที่ถูกยิงเข้ามานั้นกลับทำอะไรผมไม่ได้เลย เหมือนพวกมันเป็นเพียงแค่ขนเส้นเล็กเท่านั้น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะความเร็วของผมที่เพิ่มขึ้นก็เป็นได้
สมรภูมิรบกว้างขวางมาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกศัตรูกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมุม ยิ่งไปกว่านั้น ผมไม่ใช่เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของพวกมันด้วย เหล่าผู้เล่นของฝั่งตะวันออกที่กำลังโผบินไปบินมาก็ตกอยู่ในสภาพเป็นเป้าหมายของพวกมันด้วยเช่นเดียวกัน
ผมที่สามารถบุกทะลวงศัตรูนับพันมาได้ และสามารถเอาตัวรอดมาจากการระดมยิงได้ เพราะฉะนั้นแล้วการทะลุทะลวงฝ่าสมรภูมิที่มีความเสี่ยงกระจายอยู่เป็นหย่อมๆ เช่นนี้ จึงถือว่าเป็นเรื่องง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย
ในช่วงที่ผมอยากจะขยายเส้นทางออกไปประมาณหนึ่งนั่นเอง ผมจึงยันกายเหมือนสปริง แล้วจึงเริ่มออกแรงวิ่งไปอีกครั้ง
ไม่สิ ช่วงเวลาที่ผมกำลังตั้งใจจะวิ่งออกไปนั่นเอง
[อัปเดตข้อมูลตำแหน่งของผู้เล่นอิมฮันนา]
เอ๋?
พรคุ้มครองแห่งสงครามได้อัปเดตข้อมูลที่ส่งมาให้ก่อนหน้านั้น
ทิศทางคือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือสี่สิบห้าองศา และระยะทางกว่าเก้าสิบเมตร
ผมเกิดความสงสัยในการตัดสินเรื่องข้อมูลต่างๆ ของพรคุ้มครองแห่งสงครามอยู่แวบหนึ่ง แต่สุดท้ายผมก็สามารถจัดการตำแหน่งที่จะเริ่มรุดหน้าไปช่วยชีวิตเป็นที่แรกได้แล้ว อันดับแรกคือไปช่วยชีวิตอิมฮันนา ผู้ซึ่งอยู่ในระยะที่ใกล้ที่สุด และเลือกระยะในการเคลื่อนที่ที่ตรงกันมากที่สุด โดยมีตำแหน่งนั้นเป็นจุดเริ่มต้น
ผมจัดการกับความคิดตัวเองได้เช่นนั้น จึงเริ่มวิ่งไปยังทิศทางที่ว่าโดยทันที
ระยะทางเก้าสิบเมตรที่ว่านั้นเริ่มสั้นลง สั้นลงในชั่วพริบตา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมออกแรงวิ่งเต็มที่หรือไม่ ซึ่งในทิศทางที่ผมวิ่งไปนั้น ผมรู้สึกได้ว่าพลังของอิมฮันนา กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วในที่สุดก็มองเห็นอิมฮันนากับพรรคพวกบางส่วนจนได้
โอ้โฮ
ที่ตรงนั้นดูท่าว่ามีเกินยี่สิบคนเห็นจะได้ เหล่าผู้เล่นรวมตัวกันอยู่เยอะพอสมควรเลยทีเดียว และดูท่าว่าพวกเขาจะใช้เวลาที่ผมจัดสรรมาได้ดีเลยล่ะ พวกเขาค่อยๆ เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ แล้วค่อยรวมเหล่าผู้เล่นเข้าไว้ด้วยกัน พร้อมทั้งกำลังต่อสู้กับพวกศัตรูที่เข้ามาโจมตีตัวเองอีกด้วย
ในบรรดาพวกเขาเหล่านั้น แน่นอนว่าคนที่โดดเด่นมากที่สุดคือ อิมฮันนา ทุกครั้งที่หล่อนละมือลง แสงวูบวาบก็จะเปล่งประกายออกมา และก็จะมีศัตรูสักคนหนึ่งที่ต้องล้มตัวลงไปอย่างไร้หนทางสู้
ไม่เพียงเท่านั้น ลำแสงขนาดใหญ่ที่ยิงออกมาเมื่อครู่นั้นเอง ก็กำลังลอบยิงเหล่านักสู้ระยะไกลที่อยู่ตรงด้านหลังอย่างเอาจริงเอาจังอีกด้วย แม้จะบอกว่าหล่อนได้หยิบยืมพลังของ ‘แสงแปลบปลาบส่องประกาย : ลอร่า ฟีลิส’ มาก็ตาม แต่กระนั้นอิมฮันนาก็ยังคงยืนประจันหน้าต่อสู้อยู่กับเหล่าศัตรูที่มีมากกว่าถึงสามเท่า และยังได้แสดงให้เห็นว่าหล่อนยังคงมีชีวิตอยู่อย่างเช่นเดิม
หากผมเข้าไปตอนนี้เลยก็คงสามารถช่วยหล่อนออกมาได้โดยไม่มีปัญหาอะไร ผมคิดได้ดังนั้นจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วมากขึ้นไปอีก
แต่ทว่าในตอนนั้นนั่นเอง
ตู้ม! ตู้ม!
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
จู่ๆ ก็มีเวทมนตร์และลูกธนูที่พุ่งออกมาจากฝั่งตรงข้าม ยิงทะลุผ่านเข้ามาระหว่างอิมฮันนากับเหล่าผู้เล่น แสดงว่ากำลังเสริมของพวกศัตรูได้เข้ามาประจำ ณ ทิศทางอื่นๆ ด้วยอย่างแน่นอน
ปัง! ปัง ปัง!
“กรี๊ด!”
“อ๊ากกก!”
พรรคพวกที่เฝ้ายืนหยัดอยู่จึงได้แตกกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง เหลือเพียงแค่เหล่าผู้เล่นที่โดนเวทมนตร์เข้าเล่นงาน พวกเขาได้แต่นอนอยู่กับที่ ส่งเสียงครวญครางไปมาไม่หยุดหย่อน การต่อสู้กับพวกศัตรูที่อยู่ตรงหน้าถือเป็นเรื่องหนักหนาก็จริง แต่พอมีกำลังเสริมบุกเข้ามากะทันหันก็เลยมีโอกาส
แนวรบที่รักษามาได้อย่างหวุดหวิดล้วนแตกกระจายไปในชั่วพริบตา เหล่าศัตรูที่วิ่งเข้ามาเริ่มเข้ามายึดครอง พลางส่งเสียงอันแสนน่ากลัวออกมาไม่หยุดหย่อน ไม่เว้นแม้แต่อิมฮันนา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลุ่มหลงในใบหน้าอันแสนงดงามของหล่อน หรือมีเหตุให้ต้องสู้ก็ตามแต่ ผมเห็นว่าพวกศัตรูจงใจเข้ามาโอบล้อมหล่อน
และแล้วก็มีไอ้หนุ่มคนหนึ่งได้เผยรอยยิ้มอันชั่วช้าออกมา หลังจากนั้นจึงสาวเท้า พลางผิวปากอย่างสบายใจ แล้วใช้เท้าเหยียบเข้าไปที่อกของอิมฮันนา หล่อนมีสีหน้าโกรธแค้น พลางกัดริมฝีปากแน่น ณ วินาทีที่มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาอันปิดสนิทนั่น ผมจึงสามารถคว้าตัวอิมฮันนาผู้อยู่ในระยะกระสุนมาได้ในที่สุด
“อิมฮันนา!”