Memorize - เล่มที่ 20 ตอนที่ 10
สถานที่ที่อูจองมินนำทางมานั้นคือ อาคารสีขาวสะอาดตา ดูกว้างขวาง หน้าประตูมีเหล่านักบวชเดินขวักไขว่กันไปมา เสียงครวญครางเบาๆ ดังแว่วอยู่ทั่วทุกสารทิศในที่แห่งนี้ ดูเหมือนที่นี่จะเป็นเหมือนสถานสงเคราะห์ประเภทหนึ่ง
ผมเดินเข้าไปด้านใน และทันใดนั้นจึงได้รู้ว่าการสันนิษฐานของผมถูกต้องหมดทุกอย่าง ภายในดูกว้างขวาง โอ่โถงไม่ใช่เล่น เก้าอี้สำหรับนั่งเหมือนจะเพิ่งถูกเร่งสร้างเสร็จใหม่ๆ กระจัดกระจายอัดแน่นอยู่เต็มไปหมด บนพื้นมีเตียงพับ เศษผ้ากระจัดกระจาย วางตำแหน่งอยู่ทั่วทุกที่ เหล่าผู้เล่นหลายคนนอนอยู่บนเตียง ปฏิกิริยาท่าทีดูแตกต่างกันออกไป
ถ้าจะให้มีเรื่องแปลกตาเป็นพิเศษสักเรื่อง ก็คงจะเป็นเรื่องที่ผมไม่ค่อยเห็นใครมีบาดแผลฉกรรจ์ หรือมีแผลเหวอะหวะจนแทบจะลืมตาดูไม่ได้นี่แหละ ต่อให้บรรยากาศรอบข้างจะสับสน วุ่นวายมากเพียงใด ก็ไม่มีเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
ผมก้มหน้ามองเบื้องล่าง ซึ่งตรงหน้าผมมีสตรีท่านหนึ่ง ที่ร่างกายถูกปกคลุมด้วยผ้าสีขาวสะอาด และมีชายหนุ่มคนหนึ่งคอยดูแลเจ้าหล่อนอยู่ข้างๆ สัญลักษณ์ที่สลักอยู่บนแผ่นอกของเขานั้น เป็นสัญญาณที่บ่งบอกให้รู้ว่าเขาเป็นผู้เล่นที่เข้าร่วมสงครามด้วย
นักเวทที่กำลังร่ายเวทอยู่เบื้องหน้าสตรีผู้นั้น ได้เปิดปากพูดกับนักบวชที่ยืนรอจังหวะอยู่ตรงหน้า
“ถึงยังไง…ดูเหมือนท่านนี้จะตั้งครรภ์อยู่นะครับ”
“จิ๊ ส่งไปทางโน้นเลยครับ”
“รับทราบครับ”
ชายหนุ่มเข้ามาประคองหญิงสาวที่กำลังจะค่อยๆ ทรุดตัวล้มลง ก่อนที่จะสาวเท้าเดินไปยังทิศทางหนึ่ง ผมมองภาพเหตุการณ์เหล่านั้น พร้อมทั้งสามารถคาดเดาได้ทันทีว่าสถานที่แห่งนี้คือสถานที่แบบใด
“ทางนี้”
ในเวลาต่อมาอูจองมินก็ได้ฉุดกระชากผมให้เดินต่อไป
ผมเดินผ่านคนประมาณสามสิบคนอย่างระมัดระวังไม่ให้ไปโดนตัวพวกเขา และสถานที่ที่เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านั่น มีชายที่ผมคุ้นหน้าคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียง ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างสม่ำเสมอ เขาคือ ซอนยูอุนนั่นเอง
“ร่างกายไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“ยูอุนน่ะไม่เป็นไรหรอก เจ้าหมอนี่เป็นคนพลังจิตแข็งแกร่งแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ…เจอเรื่องเลวร้ายแบบนั้น ก็ยังอดทนสู้มาได้”
“เรื่องเลวร้ายแบบนั้นคืออะไรครับ”
คำถามของผม ทำเอาอูจองมินมีสีหน้ากังวลใจในพริบตาเดียว แต่แล้วผมก็ฝืนยิ้มแห้งๆ ออกมา แล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“ก็ไอ้พวกเร่ร่อนนั่นไง… มันมีบางคนในทวีปตะวันตกที่ชอบลวนลาม จ้องจะงาบแต่ผู้ชาย”
“เรื่องนั้น…”
“ยังไงก็เหอะ มีชีวิตรอดมาได้ก็โชคดีแล้ว”
“……”
“ไปกันเถอะ เห็นว่าเพิ่งจะหลับไปเมื่อครู่นี้เอง”
อูจองมินพูดขึ้นมาเพื่อให้ผมได้ยิน แล้วจึงรีบคว้ามือผม จูงเดินออกไปทันที
สถานที่ต่อมาที่เราเดินทางมาถึงนั้น ผมพบเข้ากับสตรีผู้หนึ่ง ที่ร่างกายล้วนถูกปกคลุมไปด้วยผ้าหนึ่งผืน และแน่นอนว่าผมคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี ผู้หญิงคนนี้คือ วอนฮเยซู
“แหะๆ แหะๆๆ”
หล่อนอยู่ในสภาพตื่นเต็มที่ ผมจ้องมองหล่อนอย่างไม่ให้คลาดสายตา นัยน์ตาดูผ่อนคลาย ว่างเปล่า ไม่มีอะไรแฝงอยู่ในนั้น หล่อนนั่งอ้าปากหวอ น้ำลายไหลย้อยออกมาจนเลอะสกปรกไปหมด เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย กำลังบอกให้ผมรู้ว่า หล่อนเป็นคนสติไม่สมประกอบไปเสียแล้ว
แล้วพิธีเปลี่ยนสภาวะล่ะ
‘หนวกหู! ฮเยยอน! ฮเยยอน! ไม่จริง อย่ามาโกหกฉัน ไม่มีทางที่เธอจะตาย โกหกใช่ไหม ใช่สินะ บอกสิว่าโกหกน่ะ บอกมาสิ’
‘ใช่แล้ว ฉันมันบ้า อยากจะบ้ากว่านี้ด้วยซ้ำ เพราะงั้นปล่อยสักที ปล่อยฉัน พอสักที!’
“ฮิๆ ฮิๆๆ”
บอกว่าอยากบ้า… ก็บ้าจริงๆ ด้วย
ผมยืนจิ๊ปากอยู่ในที และตอนนั้นเอง อูจองมินก็ได้ก้มตัวลงไปเช็ดปากวอนฮเยซู แล้วจึงค่อยกลับมายืนตัวตรงอีกครั้งหนึ่ง เขาเปิดปากพูดออกมาด้วยความอมทุกข์อย่างยิ่ง
“เห็นว่าท้องด้วย”
“…”
“ด้วยความที่ฉันถามอะไรเจ้าตัวไม่ได้เลย ฉันเลยตัดสินใจว่าจะให้เขาทำแท้งไปเสีย คิก แล้วนี่ฉันจะต้องตอบเขาไปอย่างไรล่ะเนี่ย
“วุ่นวายแย่เลยนะครับ”
ผมตอบไปตรงๆ พลางปลุกพลังแห่งดวงตาที่สามในการพิจารณาสภาพการณ์ของคนทั้งสอง
ซอนยูอุนมีพลังจิตอันแข็งแกร่งแน่ๆ แต่วอนฮเยซูนี่สิ…
อย่างน้อยกรณีของซอนยูอุนยังพอมีหวังให้ฟื้นตัวกลับมาได้ แต่วอนฮเยซูน่ะ ถ้าจะให้ว่ากันตามตรงก็คือ หล่อนเสียสติไปแล้วเรียบร้อย แค่ดูอุปนิสัยของเจ้าตัวในขณะนี้ก็รู้ได้ทันที ต่อให้หล่อนปลิดชีวิตลงเดี๋ยวนี้ ผมก็แทบจะไม่แปลกใจอะไรเลย เพราะสภาพจิตของหล่อนมันรุนแรงมากถึงขั้นนั้นจริงๆ
“จะดีขึ้นไหมนะ”
“…”
“เขาจะดีขึ้นใช่ไหม”
“ไม่รู้สิครับ…”
ผมตอบไปตามความจริง เพราะการพูดความจริงออกไปตรงๆ อย่างไรก็ยังดีเสียกว่าการพูดให้ความหวังอย่างเลือนลอย
เพราะนี่ไม่ใช่บาดแผลทางกาย หากแต่เป็นบาดแผลทางใจ ยิ่งไปกว่านั้น กรณีที่มีบาดแผลอันแสนสาหัส จนถึงขั้นเสียสติไปแล้วเช่นนี้ วิธีการที่จะรักษาให้หายขาดเป็นปกตินั้น เรียกได้ว่ายากเกินไขว่คว้าจริงๆ
ผมรู้สึกสงสารอูจองมินขึ้นมา ผมไม่รู้หรอกว่าแต่ดั้งแต่เดิมเขาใช้ชีวิตเติบโตมาได้อย่างไร แต่หากมองในเรื่องกรรมของการมีชื่อเสียงลือกระฉ่อนของเผ่าเขี้ยวแดงแล้วนั้น ผมก็คาดเดาได้แค่ว่า ตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นพิธีเปลี่ยนสภาวะรูปแบบหนึ่งก็เป็นได้
“ฮึก ฮือ ฮือออ แหะๆ…”
บังเกิดความเงียบสงัดในชั่วพริบตา อูจองมินที่ได้แต่ก้มมองวอนฮเยซูไปสักพักหนึ่ง ค่อยๆ หันหน้ากลับมามองผมช้าๆ
“ว่าแต่นายมาทำอะไรที่นี่ล่ะ ได้ยินข่าวลือว่าสร้างเผ่าไม่ใช่เหรอ”
“พรุ่งนี้มีประชุมน่ะครับ”
“ประชุม?”
“ครับ”
“นายกำลังจะบอกว่านายจะเดินทางไปเข้าร่วมประชุมน่ะเหรอ”
ผมพยักหน้าตอบ
ดูเหมือนจะได้ยินแค่ข่าวลือสร้างเผ่าเฉยๆ แฮะ
ในเวลาต่อมา ผมจึงได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นข้างกาย
“หึๆ เป็นผู้เล่นที่มาจากสถาบันเดียวกันแท้ๆ แต่สภาพฉันโคตรน่าสังเวชเลยว่ะ”
“…แค่โชคดีเฉยๆ ครับ ว่าแต่คิดจะทำอย่างไรต่อไปหรือครับ”
“ไม่รู้สิ ตอนนี้…ต้องทำยังไงต่อไปล่ะเนี่ย”
ในที่สุดผมก็ละสายตาออกจากวอนฮเยซูได้ แล้วจึงเบนสายตากลับมามองอูจองมิน สายตาของเขาที่จดจ้องไปที่หล่อนนั้น ช่างดูแห้งเหือด ไร้ชีวิตชีวา จนแทบมองหาความคมกริบที่มีอยู่ในแววตาเหมือนรอบแรกไม่ได้เลย
ผมจมอยู่ในห้วงความคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดออกมาโดยอัตโนมัติว่า
“ผมมีแคลนเฮาส์ตั้งอยู่ที่โมนิก้าครับ”
วินาทีที่ผมโพล่งประโยคนั้น อูจองมินได้ยินแล้วจึงหุบยิ้มลงทันที เขาก้มหน้ามองพื้นชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม
“สงสารฉันอยู่เหรอ”
“เรื่องนั้นมันขึ้นอยู่กับการเลือกของคุณเองครับ ผู้เล่นอูจองมิน”
“…?”
“จะรับความสงสารนี้ไว้ จะตัดสินใจเริ่มใหม่อีกครั้ง หรือจะปล่อยเลยไป ทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับการเลือกของตัวคุณเองครับ”
อูจองมินทำหน้าอ้ำอึ้ง ราวกับพูดอะไรไม่ออก
แต่แล้วดูเหมือนเขาจะเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคของผม จึงได้หลับตาลงทันที
“ขึ้นอยู่กับฉันเหรอ…”
สถานการณ์ในตอนนี้เป็นสถานการณ์ที่ผมแทบไม่ได้คาดคิดมาก่อน เรียกได้ว่าแทบไม่ต่างอะไรกับการเสี่ยงโชคเลยทีเดียว ถ้าสำเร็จ ก็เรียกได้ว่าเป็นการเดิมพันที่สุดยอดจริงๆ เพราะอูจองมินกับซอนยูอุนเป็นไพ่ตายใบสำคัญเลยทีเดียว
“ขึ้นอยู่กับฉัน…”
หลังจากนั้น อูจองมินก็เอาแต่พูดทวนอยู่กับตัวเองซ้ำๆ ย้ำๆ อยู่อย่างนั้น แล้วจึงค่อยลืมตาโพลงขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ถ้าหาก… เพราะงั้นถ้าหากฉันได้ไป…”
“ครับ”
“…เอาฮเยซูไปด้วยได้ไหม”
“ยินดีต้อนรับครับ”
ผมตอบกลับไปในทันที และได้แต่ลอบยิ้มอยู่ในใจ เพราะมีโอกาสที่เขาจะตอบรับมากพอสมควรเลยทีเดียว
สงสัยเราต้องปลีกตัวออกไปเสียแล้วสิ
ผมเกรงว่าตัวเองจะเป็นภาระ หากอยู่ด้วยนานจนเกินไป จึงได้ตัดสินใจว่าจะเอาไว้เท่านี้ แล้วเดินทางกลับไปเสียก่อน โดยจะทิ้งสัญญาครั้งนี้ให้เขาคิดไปก่อน ไม่อยากจะให้อูจองมิน ผู้หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีต้องมานั่งคิดมาก จนเกิดความลำบากใจในตอนท้าย เพราะฉะนั้นผมจำต้องให้เวลาเขากลับไปคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน และเวลาขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าโกยอนจูจะยังยืนรอผมอยู่ที่จัตุรัสที่ว่านั้นหรือไม่
ดังนั้นผมจึงตบบ่าเขาเบาๆ พลางส่งสายตาไปให้
“ถ้างั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“อ้า จะไปแล้วเหรอ”
“ครับ ตอนนี้คงต้องไปแล้วครับ ยังไงก็สู้ๆ นะครับ”
อูจองมินถามกลับมาว่า ‘จะไปแล้วเหรอ’ พลางพยักหน้าตอบรับกลับมาในคราวเดียวกัน
ผมเห็นดังนั้น จึงรีบหมุนตัวกลับในทันที แล้วจึงจ้องไปยังประตูทางเข้าอาคาร ในตอนที่กำลังจะเคลื่อนตัวไปอยู่นั่นเอง
ชิ้ง!
เอ๊ะ!
สายตาอันแรงกล้ายิ่งกว่าครั้งไหนๆ
ผมรู้สึกได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งของใครบางคนกำลังจดจ้องมาที่ผมอยู่อย่างไม่ใกล้ไม่ไกลนี้
“…”
ผมจับความรู้สึกเหล่านั้นได้ จึงรีบหันหน้าไปมองทันที บริเวณประตูทางเข้ามีคนอยู่สามคน และผมยังเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนผ้า
ในวินาทีนั้น ผมก็รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างปะทุขึ้นในแววตา
ดวงตากลมโต รูปลักษณ์อันแสนเยาว์วัยและตราตรึงใจในเวลาเดียวกัน เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนพลิ้วไหวอยู่ ไม่สิ ตอนนี้ไม่พลิ้วไหวอีกต่อไปแล้ว ไม่รู้ว่าระหว่างนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงทำให้เส้นผมที่ยาวเลยหัวไหล่นั้น ได้ถูกรวบไว้อยู่บริเวณหลังต้นคอเสียได้
มาอยู่ที่นี่ได้ ก็คง…
ดวงตาของหล่อนแฝงไปด้วยความน่าหวาดกลัวอยู่ภายใน แต่แล้ววินาทีที่ผมหันหน้าไปสบตากับหล่อนเช่นนั้น จู่ๆ นัยน์ตาอันแสนว่างเปล่าก็ได้กลับคืนสภาพมาเป็นสีน้ำตาลอ่อนดั่งเดิม
ผมยืนยันข้อมูลผู้เล่นที่ลอยเด้งอยู่กลางอากาศ พร้อมกับเอ่ยปากพูดออกมาอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่สูงขึ้นกว่าเดิม สูงมากพอที่จะให้ผู้หญิงคนนั้นได้ยิน
“ผู้เล่นอูจองมิน ผมมีอีกเรื่องที่อยากจะเรียนให้ทราบครับ”
“ยังไม่ไปอีกหรื…เอ๋?”
“ตอนนี้สมาชิกเผ่าคนหนึ่งของผมคงกำลังจะหาที่นอนอยู่ในบาร์บาร่านี่แหละครับ คืนนี้ผมคิดว่าจะนอนค้างอยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็ไปหาผมได้ที่โรงแรมนะครับ ยินดีช่วยด้วยความเต็มใจครับ”
“…ขอบใจ”
ผมมองเห็นหยาดน้ำใสในดวงตาของเขา ที่เริ่มจะออกอาการสั่นไหวให้เห็น หลังจากนั้นจึงได้พูดต่อไปอีกว่า
“ต่อให้…มาหาตอนกลางคืน ก็ยินดีครับ”