Memorize - เล่มที่ 20 ตอนที่ 11
ค่ำคืน ณ บาร์บาร่าอันแสนเงียบสงบ
แสงอาทิตย์อัสดงที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้านั้นได้สลายตัวไปแล้ว ท้องฟ้าสีเทาเข้มเข้ามาแทนที่
ช่วงเวลายามค่ำเริ่มเข้าปกคลุมตัวเมืองเข้าไปทุกขณะ ทุกครั้งที่ความมืดมิดคล้อยตัวลงต่ำเข้ามาปกคลุมชั้นบรรยากาศ อาณาบริเวณจึงเงียบเชียบมากยิ่งขึ้น
ผมเงยหน้ามองน้อยๆ ก่อนที่จะจับจ้องไปที่หน้าต่าง และที่ได้เห็นอยู่นอกหน้าต่างนั่นก็คือ พระจันทร์สว่างไสวที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าอันมืดมิด พระจันทร์ดวงกลมราวกับถาดสีเงินดวงนั้นกำลังทอแสงสีขาวนวลเข้ามาภายในห้องอันแสนอึมครึม
เสียงจอแจที่รู้สึกได้จนกระทั่งถึงเมื่อครู่ ค่อยๆ หายไป โรงแรมเล็กๆ ที่คล้ายกับรวงผึ้งเช่นนี้ พอถึงช่วงค่ำ เสียงเอะอะจอแจที่เคยได้ยินก็เริ่มทุเลาลงไปด้วย ความมืดมน ความเงียบเหงา และความว้าเหว่ได้คืบคลานเข้ามาแทนที่
“ลั้ลลา ลั้ลลา~”
เสียงฮัมเพลงเบาๆ ดังแว่วขึ้นมาทำลายความเงียบเหงา ผมค่อยๆ ละสายตาจากหน้าต่างบานนั้น แล้วจึงหันกลับมาก็เห็นโกยอนจูที่กำลังหลับตาพริ้ม เผยรอยยิ้มให้เห็นอยู่ในที ไม่รู้ว่าหล่อนอารมณ์ดีจากไหนหนักหนา หล่อนสวมกอดผมเอาไว้เสียแน่น พลางฮัมเพลงออกมาเบาๆ ด้วยท่าทางมีความสุขมาก
ในเวลาต่อมา ก็รู้สึกได้ถึงมือบางที่กำลังลูบหัวผมอยู่ ผมจึงหลับตาลงอย่างว่าง่าย
หลังจากที่แยกกับอูจองมินแล้ว ผมก็ไปเจอโกยอนจูที่จัตุรัส แล้วจึงมุ่งตรงไปยังห้องควบคุมในทันที หลังจากเสร็จงานแล้วนั้น หล่อนก็นำทางมายังโรงแรมเล็กๆ ที่ได้ตระเตรียมไว้ให้ โกยอนจูบอกว่าบังเอิ๊ญ บังเอิญเหลืออยู่ห้องเดียว
ผมมองเห็นความหวังดีประสงค์ร้ายของโกยอนจู แต่…จริงๆ ก็ดีเหมือนกัน เพราะตอนนี้ผมสามารถนอนร่วมเตียงเดียวกับหล่อนได้แล้ว ไม่ได้รู้สึกเคอะเขินสักเท่าไหร่แล้ว
ผมมุดหน้าเข้าไปในอ้อมกอดของหล่อนที่กำลังนอนอาบแสงจันทร์ และแล้วเรียวมือที่ลูบหัวผมมาตลอดก็หยุดไปเสียอย่างนั้น ลมหายใจน้อยๆ รดเข้ามาจั๊กจี้บริเวณหน้าผาก และแล้วโกยอนจูก็รีบกอดผมไว้แน่นมากกว่าเดิม
“หึๆ น่ารักจังเลย”
การที่หล่อนกดใบหน้าผมเบียดเข้าไปแรงแบบนี้อีก ทำเอาผมเกือบหายใจไม่ออกเลยทีเดียว แต่ก็ดีเหมือนกัน ความอบอุ่นและนุ่มนวลที่สัมผัสได้ภายในอ้อมกอดอุ่นๆ นี้… มันช่างทำให้ผมสบายใจอย่างบอกไม่ถูก อบอุ่นมากเสียจนทำให้ผมลืมเรื่องราวต่างๆ ไปได้เลยทีเดียว
ความสงบสุข สบายใจเริ่มเข้ายึดครองพื้นที่ในหัวช้าๆ ผมคิดว่าตัวเองจะหลับเอาตอนนี้ไม่ได้ แต่แล้วก็ไม่สามารถขวางกั้นความง่วงที่พุ่งทะยานเข้ามา ไม่สิ ถ้าจะให้ถูกคือ ผมไม่ได้คิดจะอดหลับอดนอนอยู่แล้ว
วินาทีที่กำลังจะผล็อยหลับอยู่นั่นเอง
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าดังขึ้นมาทำลายความเงียบสงัด และเสียงนั่นปลุกผมขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง ผมรีบปลุกพลังเวทรับรู้ขึ้นมาทันที แล้วจึงสามารถจับได้ว่ามีคนคนหนึ่งกำลังหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องผมกับโกยอนจู ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ก๊อก ก๊อก
“ขออภัยด้วยครับ ไม่ทราบว่าคุณผู้เล่นคิมซูฮยอนพักอยู่ที่ห้องนี้หรือเปล่าครับ”
เสียงห้าวๆ ของชายผู้หนึ่งดังลอดมาจากนอกประตูอย่างคาดไม่ถึง
“อะไรกัน เวลาแบบนี้ยังจะมีเรื่องอะไรอีก”
“นั่นสิครับ”
“ฮึ่ม เรื่องบ้าบออะไรกันอีกนะ”
โกยอนจูบ่นขึ้นมา คงเป็นเพราะไม่พอใจที่ช่วงเวลาดีๆ ของตัวเองถูกขัดไปเสียอย่างนั้น หล่อนรีบแต่งเนื้อแต่งตัวให้เรียบร้อย ส่วนผมก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
ก่อนที่จะเดินออกไป ผมได้คว้าดาบที่พิงอยู่กับกำแพง
ในตอนนั้นเอง
“ซูฮยอน? หยิบดาบทำไม…”
“…นอนนะครับ เดี๋ยวผมกลับมา”
ด้วยนิสัยที่ไม่ยอมพูดอะไรออกไปตรงๆ ของผมเช่นนั้น จึงทำให้ผมจำต้องพูดอ้อมๆ ออกไป ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง จึงได้เปิดประตูออกไป แล้วก็ได้พบกับชายผู้หนึ่งที่ยืนตาปรืออยู่ตรงหน้า
คนนี้…
ชายหนุ่มที่เพิ่งจะเคยเห็นหน้ากันวันนี้ ผมจำได้ว่าเป็นผู้เล่นที่ยืนเฝ้ายามอยู่หน้าประตูทางเข้า
“ผมคิมซูฮยอนเองครับ มีอะไรหรือครับ”
“อ้า ขอโทษที่มารบกวนกลางดึกครับ คือว่ามีใครบางคนเข้ามาขอพบคุณน่ะครับ”
“…?”
“ฝากมาบอกว่าชื่อวอนฮเยซู…”
ผมกัดปากตัวเองแน่น เพื่อกลั้นเสียงหัวเราะที่ใกล้จะระเบิดออกมาในไม่ช้านี้
หรือคิดว่าฉันจะไม่ออกไปกัน
“จะลงไปเดี๋ยวนี้ครับ ขอบคุณที่มาบอกครับ”
“อ้อ ครับ ถ้างั้นก็”
ชายหนุ่มคนนั้นพยักหน้าหงึกๆ แล้วจึงเบนสายตาเข้าไปมองด้านในห้อง นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยไฟแห่งความอิจฉาริษยา แล้วจึงเริ่มเดินถอนหายใจออกไป
ก่อนจะออกไป ผมหันกลับไปมองครู่หนึ่ง โกยอนจูกำลังนั่งมองผมอยู่บนเตียงเช่นเดิม ผมสบตาเข้ากับหล่อน โดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกไป ได้แต่ปิดประตู เดินออกไปเงียบๆ เท่านั้น
ผมเดินอยู่ในทางเดินอาคาร แล้วค่อยเดินลงบันได แต่แล้วกลับไม่พบใครอยู่ที่ห้องโถงเลยแม้แต่คนเดียว ผมเอียงคอสงสัยเล็กน้อย พลางเปิดประตูโรงแรมออกไป
วินาทีที่ถนนหนทางอันแสนเปล่าเปลี่ยวปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้า ผมก็รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่ปะทุอยู่ในแววตา
ใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาบนถนนอันแสนมืดมิด สตรีผู้หนึ่งกำลังยืนตัวตรงอยู่กลางถนน ผู้หญิงคนนั้นคือ ผู้เล่นที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี
ยูฮยอนอา ‘ราชินีศักดิ์สิทธิ์’
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นอีกคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากๆ ในรอบแรก และในรอบที่สองนี้ หล่อนเป็นผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์เลวร้ายกับผมเมื่อครั้งอยู่มิวล์
ผมปรายตามองยูฮยอนอาอยู่ครู่หนึ่ง
สีหน้าดูไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก แต่กระนั้น ใบหน้าอันแสนงดงาม เยาว์วัย และอ่อนหวานก็ยังเหมือนเดิม ไม่เลือนหายไปไหน
หากจะมีจุดแตกต่างไปจากเมื่อก่อนสักจุดล่ะก็ เห็นทีคงจะเป็นผมลอนสีน้ำตาลอ่อนที่ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นผมสั้นประบ่า แน่นอนว่าผมสั้นนั้นดูเข้ากับหล่อนมากเช่นกัน แต่ผมก็ได้รู้ความจริงมาแล้วว่าหล่อนจำต้องฝืนใจตัดผมออกไปอย่างเสียมิได้
ผมเว้นระยะห่างไว้สักเล็กน้อย แล้วจึงหยุดการเคลื่อนไหวไว้เท่านั้น ก่อนที่จะเริ่มพูดออกไปก่อนว่า
“ไม่นึกว่าจะมาหาจริงๆ”
“กะแล้ว…”
“…?”
“กะแล้วว่าต้องเป็นคุณ”
เสียงอันแสนนุ่มนวล อ่อนหวานเมื่อก่อนนั้น บัดนี้กลับเลือนหายไปเสียสนิท น้ำเสียงของยูฮยอนฟังแล้วช่างแหบห้าว ช่วงเวลาที่ผ่านมาหล่อนคงได้พบเจอกับความยากลำบาก
ผมพยักหน้าให้หนึ่งครั้ง
“ได้ยินมาว่ามีเรื่องจะคุยกับผมนี่ ผู้เล่นยูฮยอนอา”
ผมพูดออกไป พลางสาวเท้าก้าวไปข้างหน้า ยูฮยอนอาเห็นเช่นนั้นก็รีบถอยหลังหนีไปพร้อมกัน ท่าทีของหล่อนเช่นนั้น ทำให้ผมหยุดการเคลื่อนไหว แล้วจึงได้เห็นว่าหล่อนกำลังกำหมัดแน่น
บังเกิดความเงียบงันระหว่างเราสองคน ยูฮยอนอาหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเองด้วยความลังเลใจ
“…อยากคุยอะไรด้วยสักแป๊บหนึ่งค่ะ”
“คุยตอนนี้เลยไม่ได้เหรอ”
“ฉันอยากย้ายไปคุยที่อื่น”
ผมได้ยินเช่นนั้น แล้วจึงกวาดสายตามองรอบๆ แม้เราจะยืนอยู่หน้าโรงแรมก็จริง แต่ก็ยังมีเหล่าผู้เล่นบางส่วนที่ยืนอยู่ประปราย
“เอาสิ”
ผมยักไหล่บอกเป็นนัยว่า อยากจะทำอะไรก็ทำ เหมือนผมจะรู้จุดประสงค์ของหล่อนดี เพราะเมื่อครู่ที่ผมก้าวเท้าออกไปหานั้น หล่อนมีสีหน้ากังวลเล็กน้อย ดูเหมือนยังฝังใจกับเรื่องที่โรงเตี๊ยมสุภาพสตรีรักนวลสงวนตัว
หลังจากนั้น ยูฮยอนอาจึงหมุนกาย แล้วเริ่มเดินออกไปที่ใดสักที่ ผมมองดูแผ่นหลังของหล่อนแล้วจึงก้าวเดินตามออกไป ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอเก็บดาบในมือไปตั้งแต่เมื่อไหร่
จริงๆ แล้ว แม้สถานที่แห่งนี้จะตั้งอยู่ภายในตัวเมือง แล้วก็มีคนอยู่เพียงแค่น้อยนิด แต่ผมก็ยังเห็นเหล่าผู้เล่นเดินสัญจรไปมาอยู่ดี ยูฮยอนอาไม่ใช่ศัตรูตัวฉกาจของผม และผมก็ไม่มีสาเหตุที่จะต้องทำเช่นนั้นด้วย การสังหารหล่อน ณ สถานที่แห่งนี้ จะทำให้มีเรื่องราวอื่นๆ ตามมาเป็นขบวนอีกแน่
ไม่จำเป็นที่จะต้องหักโหม ใช้พลังสังหารหล่อนในสถานที่ที่คนพลุกพล่านเช่นนี้ เพราะอย่างไรผมก็สามารถสร้างสถานการณ์ที่ทำให้เหมือนกับว่าผมมีแรงจูงใจที่จะฆ่าหล่อนได้อยู่แล้ว ซึ่งถ้าหากตอนนั้นผมยังตัดสินใจอะไรไม่ได้อีก อย่างไรก็ยังสามารถเสาะหาโอกาสอื่น แล้วค่อยลอบสังหารหล่อนภายหลังได้เช่นเดียวกัน
แม้ผมจะไม่มีเหตุจูงใจในการทำเช่นนั้น แต่ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับยูฮยอนอาก็เรียกได้ว่าเกินกว่าการเป็นคู่ปรับกัน เพราะมันแทบไม่ต่างอะไรกับการเป็นศัตรูเลย ผมคิดเช่นนั้น
จู่ๆ ยูฮยอนอาก็หยุดเดินไปเสียอย่างนั้น ผมจึงหยุดเดินตามหล่อนบ้าง สถานที่ที่หล่อนนำทางมานั้นคือบริเวณวาร์ปเกต
สถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีเหล่าผู้เล่นชุมนุมอยู่เป็นจำนวนมาก อาจเป็นเพราะช่วงเวลาดึกดื่นป่านนี้แล้วด้วย
และแล้วยูฮยอนอาจึงได้หันกลับมา ผมปลุกปั่นพลังเวทรับรู้ขึ้นมา เฝ้ารอคำพูดจากปากของหล่อน
“…”
“…”
ผ่านไปตั้งห้านาทีแล้ว แต่ผมกลับไม่ได้ยินคำพูดใดๆ จากอีกฝ่ายเลย
จากที่รู้สึกเบื่อหน่าย จนตอนนี้เริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว และในตอนนั้นเอง ยูฮยอนอาจึงได้พูดออกมา
“หลังจากวันนั้นมา…”
“…”
“ฉันน่ะ…ฉันไม่เคยลืมเรื่องราวในวันนั้นเลย ไม่เคยลืมเลยแม้แต่วันเดียว”
น้ำเสียงของหล่อนช่างแหบห้าว แต่กระนั้นก็ยังเจือปนไปด้วยความสุขุมนุ่มลึกอยู่ในที
“คุณ…ทราบดีใช่ไหมคะ ว่าหลังจากวันนั้นมา ฉันใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ฉันต้องเจอเรื่องอะไรมาบ้าง…”
ประโยคข้างต้นนั้นทำเอาผมรู้สึกสงสัยขึ้นมา
ถึงไม่พูด ผมก็รู้ดีว่ายูฮยอนอาคิดกับผมอย่างไร หากเปลี่ยนมุมมองแล้วลองคิดดูล่ะก็…
ไม่สิ เมื่อสมัยที่ผมได้พบเบลเฟกอร์ ผู้มีส่วนร่วมต่อการตายของพี่ชายและฮันโซยองนั้น แท้จริงแล้วผมทำอะไรลงไปกันแน่
“คุณทราบดีใช่ไหมคะ ว่าไงคะ”