Memorize - เล่มที่ 20 ตอนที่ 13
ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร ยูฮยอนอานั้นคือ ผู้เล่นคนสำคัญที่ได้ถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์แห่งฮอลล์เพลน ในตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าทำไมหล่อนถึงได้เป็นบุคคลผู้มีความสามารถมากถึงขนาดนั้น แต่พอได้เดินทางมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ ผมก็ดูเหมือนจะพอจับจุด รู้อะไรบางอย่างได้แล้ว
“…”
“…”
ผู้คนที่เคยสัญจรอยู่ในบริเวณนั้นหายไปหมดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ก็ถือว่าเป็นเวลาดี ดีแสนดีเลยล่ะ
ในตอนนี้ ผมเข้าใจเรื่องหนึ่งได้แล้ว
เข้าใจว่า คนที่อยู่ตรงข้ามกับเรา อย่างไรก็ไม่มีวันที่จะเข้าใจเรื่องของเราได้
ผมเปิดปากพูดออกไปอย่างเงียบๆ
“ฉันเองก็มีเรื่องสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง”
“…”
ผมไม่คิดจะขอโทษ และความคิดของผมที่มีต่อยูฮยอนอาก็จะยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงไปแน่ หล่อนพูดเองกับปากแล้วว่าจะไม่มีวันให้อภัยผมได้ ซึ่งผมก็เห็นด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว แม้ตอนนี้ผมจะพอเข้าใจอะไรๆ ได้บ้างแล้วก็ตาม แต่…พวกเราต่างมาไกลกันมากๆ แล้ว
แล้วถ้าผมขอโทษหล่อนไป มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม ถ้าผมยอมพูดออกไป ภายในของยูฮยอนอาจะเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า
คำตอบของผมคือ ไม่
ตอนนี้เหมือนยูฮยอนอากำลังยืนอยู่ปากเหว
ผมก้มหน้ามอง ส่วนยูฮยอนอาเงยหน้ามองผม หยาดน้ำใสที่ไหลรินออกมาไม่ขาดสาย อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความน่าสงสารเจือปนอยู่ในนั้น
“เธอต้องการอะไรจากฉัน”
“ขอโทษฉันได้ไหมคะ”
“ขอโทษแล้วไง ขอโทษแล้วจะทำอะไรต่อ”
“…ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
เหมือนอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด ยูฮยอนอาส่ายหน้าเป็นพัลวัน ผมจึงส่ายหน้าตามหล่อนเช่นกัน
“เรามาไกลกันมากพอแล้วนะ”
ยูฮยอนอาคงเข้าใจในคำตอบของผมเช่นนั้น จึงรีบก้มหน้างุดลงทันที
“ฉันได้ยินคำตอบของคุณแล้วค่ะ”
“…”
“อย่างที่คิดเลย… คุณไม่มีวันเข้าใจจริงๆ ด้วย”
ผมหลับตาลงทันที พร้อมน้อมรับสิ่งที่คิดไว้ก่อนหน้า
ยูฮยอนอาไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์
แต่ทั้งใจดีและแสนบริสุทธิ์
หยดน้ำตาไหลร่วงลงแตะผืนดิน เสียงทุ้มต่ำของหล่อนดังแว่วเข้ามาในหู
“ก็แค่… ตอนนี้ฉันก็แค่รู้สึกว่าอยากจะตายให้พ้นๆ ไปเสียที”
“…”
“คุณช่วยฆ่าฉันหน่อยได้ไหมคะ ทำเหมือนที่คุณเคยทำเมื่อตอนนั้น”
“…ถ้าเธอต้องการแบบนั้น”
ในที่สุด ผมก็ควักดาบออกมา ก่อนที่จะเล็งไปทางหญิงสาวที่อยู่เบื้องล่าง
ผมมองไม่เห็นคมดาบเลย แม้แต่สิ่งใดที่อยู่กลางอากาศก็มองไม่เห็น เห็นเพียงแค่ราชินีผู้หนึ่งที่กำลังร้องไห้โอดครวญ
ผมยกดาบขึ้นสูงอย่างช้าๆ พลางคิดอยู่ในหัว
หากสถานการณ์รอบข้างผมไม่กลับกลายมาเป็นเช่นนี้ ไม่สิ หากหล่อนได้พบกับผมช้าไปกว่านี้เสียหน่อย
ถ้าหาก…
ผมอาจจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับยูฮยอนอาอย่างมีสุขก็ได้ ใครจะรู้
เราอาจจะได้รวมพลังกัน และได้มุ่งไปสู่เป้าหมายที่วางไว้เหมือนกันก็ได้ ใครจะรู้
ยูฮยอนอา ราชินีศักดิ์สิทธิ์
หลับให้สบาย
ผมคิดได้เช่นนั้น พร้อมกับบิดข้อมือ ฟันดาบลงอย่างไม่ออมแรง
“ถ้าอย่างนั้น ขอยุติการประชุมครั้งที่หนึ่งไว้เพียงเท่านี้นะครับ ทุกคนสุดยอดมากๆ ครับ”
สงครามจบสิ้นลง หลังจากนั้นจึงล่วงเลยเข้าสู่วันที่ห้า
การประชุม ณ บาร์บาร่าได้เริ่มต้นขึ้นในตอนเช้าของวันนี้ ใช้เวลาในการประชุมราวสองชั่วโมง ก่อนที่จะประกาศปิดการประชุมในที่สุด
เวลาสองชั่วโมงดังกล่าวนั้น จะเรียกว่าเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก ทว่าหากเหล่าผู้เล่นที่เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ได้ลองมองผ่านมุมมองแคลนลอร์ด พวกเขาคงไม่อาจพูดได้เต็มปากหรอกว่า การประชุมในครั้งนี้มีสาระ
เพราะในมุมมองของผม ผมมองว่าการประชุมในครั้งนี้ไม่ได้เกิดผลประโยชน์ใดต่อตัวผมมากนัก ผมคาดหวังการประชุมครั้งนี้ไว้มากพอสมควร แต่แล้วผลลัพธ์ที่ได้จากการประชุมนั้น ช่างแตกต่างกับที่คาดไว้สิ้นดี
แต่กระนั้น หากมองในมุมที่ไม่นำอารมณ์มาเป็นที่ตั้ง จะพบได้ว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการประชุมครั้งนี้ ก็มีเหตุผลรองรับดีๆ อยู่บ้าง เพราะพวกเขาเริ่มแก้ตั้งแต่ปัญหาเร่งด่วนที่สุด แล้วจึงค่อยแก้ไขเรื่องต่อไปตามลำดับ ซึ่งผมมองว่า เป็นการแก้ไขปัญหาที่ใช้ได้เลยทีเดียว
ตอนนี้สงครามสิ้นสุดลงแล้วก็จริง แต่ก็ยังมีทหารพันธมิตรบางส่วนที่สามารถหนีไปได้ อีกทั้งเมืองที่ได้รับความเสียหายจากการถูกโจมตีก็มีมากถึงห้าแห่ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทั้งภาคตะวันออก, ภาคใต้ และภาคเหนือต่างยกเรื่องการไล่ล่าตามติดทหารพันธมิตร และการฟื้นฟูบ้านเมืองที่ได้รับความเสียหายจากการถูกโจมตีขึ้นมาเป็นประเด็นแรกๆ ในการอภิปราย
การจัดการสภาวะหลังสงครามเรื่องอื่นๆ เช่น กิจกรรมการสงเคราะห์เหล่าผู้เล่น, การดูแลเชลยศึก เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้จะถูกอภิปรายในการประชุมครั้งที่สองและครั้งที่สาม และจะคอยแก้ปัญหาเป็นเรื่องๆ ไป
ซึ่งการแบ่งหน้าที่ก็ถือว่าสมเหตุสมผลเช่นเดียวกัน
ยกตัวอย่าง ในสงครามการต่อสู้ครั้งนี้ เผ่าแฮมิลเป็นเผ่าที่สามารถรักษากำลังพลไว้ได้สมบูรณ์แบบ ครบกำลังมากที่สุด เพราะฉะนั้น เผ่าแฮมิลจึงต้องเข้าร่วมภารกิจการไล่ล่าทหารพันธมิตร บางทีหลังจากสิ้นสุดการประชุมในครั้งนี้ พวกเขาอาจจะต้องเริ่มดำเนินการทันทีเลยก็ได้
อีกด้านหนึ่ง กรณีของเผ่าโครยอ ซึ่งเป็นเผ่าที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดในสงครามครั้งนี้ พวกเขาได้ถูกตัดสินว่า ต้องอาศัยเก็บตัวอยู่แต่ในเมือง และเข้าไปช่วยกิจกรรมสงเคราะห์เหล่าผู้เล่นแทน
และในส่วนของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่นั้น ถือว่าเป็นทหารรับจ้างอิสระ เมื่อสงครามถึงคราวยุติ หน้าที่ของทหารรับจ้างก็ต้องยุติลงด้วยเช่นกัน ต่อจากนี้ไป การตัดสินใจที่จะกระทำภารกิจใดๆ ของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิทธิ์ของผม
ผมคิดได้เช่นนั้น แล้วจึงกวาดสายตามองคนในห้องประชุม บัดนี้เหลือจำนวนคนไม่ถึงครึ่งแล้ว ก่อนที่ตัวเองจะยันกายลุกขึ้นมาบ้าง การประชุมสิ้นสุดลงแล้ว เพราะฉะนั้นผมก็ไม่มีความจำเป็นที่จะนั่งอยู่ต่อเหมือนกัน
ภายนอกห้องประชุม ณ บริเวณประตูทางเข้าแคลนเฮาส์เผ่าสิงโตทอง มีผู้คนที่เพิ่งเสร็จจากการประชุมยืนอออยู่เป็นจำนวนมาก บางคนก็กำลังสาวเท้าไวๆ ดูเหมือนจะรีบกลับเมืองทันที บ้างก็กำลังสนทนากับคนอื่นๆ ด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียด
ในระหว่างที่ผมกำลังเดินผ่าฝูงชนจำนวนมากอยู่นั่นเอง จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงอะไรแปลกๆ ชอบกล ทุกครั้งที่ผมก้าวเท้าเดินไป ผู้คนที่กำลังยืนชุมนุมอยู่ก็รีบชำเลืองตามองทันทีบางคนยอมละเลยคนตรงหน้า แล้วเหลียวมองผมก็มี ผมได้แต่ยืนงง สงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผมอยากจะรีบออกไปจากที่นี่ให้ได้เสียก่อน จึงเร่งฝีเท้าเร็วมากขึ้น และในตอนนั้นเอง
“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
“มะ เมอร์…”
มือนุ่มเข้ามาสะกิดไหล่ผม พร้อมกับเสียงอันแสนคุ้นหูที่ดังขึ้นมาฉุดรั้งการเคลื่อนไหว
วินาทีที่ผมหันเหสายตาไปมอง ก็ต้องรีบกะพริบตาถี่ๆ อยู่ครั้งสองครั้งกันเลยทีเดียว
สตรีทั้งสองที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ กำลังใช้สายตาจดจ้องและเดินเข้ามาหา
คนแรกคือ ฮันโซยอง แคลนลอร์ดแห่งอีสตันเทลลอว์ ราชินีแห่งเลือดและเหล็ก
ส่วนอีกคนคือ นัมดาอึน นักดาบหญิงและราชินีแห่งดาบ
ราชินีทั้งสองได้ยืนอยู่เคียงข้างกัน พลันก่อให้เกิดภาพอันแสนงดงาม น่าจดจ้อง ก่อให้เกิดบรรยากาศอันน่าประหลาดใจอย่างไรชอบกล
“ไม่เจอกันนานเลยนะคะ สบายดีไหมคะ”
“คะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่…”
เสียงทักทายจากฮันโซยองนั้นทำให้ผมค่อยๆ หมุนกายกลับไปหาหล่อน แวบแรกก็เกิดความสงสัยว่า ทำไมสองคนนี้ถึงมาอยู่ด้วยกันได้ แต่แล้วผมก็รับคำทักทายนั้นไว้ เพราะการยืนเหม่ออยู่เฉยๆ ถือว่าเป็นการเสียมารยาท
“ไม่เจอกันนานจริงๆ ด้วยครับ แคลนลอร์ดอีสตันเทลลอว์ นักดาบหญิง”
ฮันโซยองพยักหน้ารับ ก่อนที่จะปรี่ตัวเข้ามาหาใกล้ๆ หากจะถามว่าใกล้ถึงเพียงไหน ก็คงตอบได้ว่าใกล้มากเสียจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยเข้ามาเตะปลายจมูก
แล้วฮันโซยองก็พูดด้วยน้ำเสียงอันแสนแผ่วเบา ราวกับจะกระซิบกระซาบให้ได้ยินกันสองคนว่า
“วันนี้ฉันได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่มาเยอะแยะเลยล่ะค่ะ สุดยอดเลยค่ะ”
“ครับ? เรื่องราวอะไรเหรอครับ”
“ก็ข่าวลือที่ว่า สงครามครั้งนี้คุณสร้างผลงานที่น่าทึ่งน่ะค่ะ”
ประโยคตอบกลับของหล่อน ทำเอาผมรู้สึกได้ว่าดวงตาตัวเองกำลังเบิกโพลงขึ้นมา
ที่ว่าผมทำผลงานไว้น่าทึ่งก็ไม่ผิดอะไรหรอก ก็มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ นี่นา
ทว่าผมน่ะไม่เคยได้อ้างถึงเรื่องราวเหล่านั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว แล้วฮันโซยอง ผู้อยู่ภาคตะวันตกรู้เรื่องราวนี้ได้อย่างไรกัน
ในชั่วพริบตา คำถามและความสงสัยก็พรั่งพรูขึ้นมา
แต่เมื่อได้ลองทบทวนคำพูดของฮันโซยองดูแล้วนั้น ผมก็เข้าใจสถานการณ์ได้เลยทันที สายตาแปลกๆ ที่รู้สึกได้เมื่อครู่ก่อนนี้ ผมก็เริ่มจะเข้าใจได้มากขึ้นแล้วเช่นเดียวกัน
อย่างนี้นี่เอง เพราะข่าวลือสินะ
มันก็คงจะเป็นเรื่องแปลกจริงๆ หากไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ในสงครามอันวุ่นวายถึงเพียงนั้นเลยแม้แต่คนเดียว
ผมพยักหน้าให้น้อยๆ ก่อนที่จะส่งยิ้มเจื่อนๆ ไปให้
“ไม่รู้สิครับ สำหรับผมแล้ว ผมนึกถึงสมาชิกเผ่าที่ไม่สามารถรับมือกับสงครามในตอนนั้นมากกว่าอีกครับ… มากกว่าจะมุ่งสร้างผลงานของตัวเองอย่างเดียวน่ะครับ แม้ตอนนี้จะมีเหลือน้อยก็เถอะ”
ผมมิอาจพูดชมตัวเองได้ว่า ‘งั้นหรือครับ ผมนี่น่าทึ่งจริงๆ’ จึงได้ตอบกลับไปด้วยความนอบน้อมถ่อมตน
“…ขอโทษค่ะ”
“อ้า…”
แต่แล้วดูเหมือนราชินีทั้งสองจะเข้าใจความหมายต่างกัน จึงทำให้คนทั้งคู่มีสีหน้าเสียดายขึ้นมา ผมคิดว่าตัวเองคงจะพูดผิดอะไรไป จึงได้แต่รู้สึกสำนึกผิดอยู่ในใจ
และในตอนที่ผมกำลังถอนหายใจออกไปอย่างไม่มีสาเหตุนั่นเอง
“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”