Memorize - เล่มที่ 20 ตอนที่ 14
จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่แสนเย็นยะเยือก แต่ก็ยังคงแฝงความนุ่มนวลอยู่บริเวณหลังมือ
ด้วยความตกใจ ผมจึงก้มหน้ามอง แล้วก็พบว่าเรียวมืออันแสนงดงามของฮันโซยองกำลังกอบกุมมือของผมเอาไว้เสียแน่น หลังจากนั้น หล่อนก็เอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม และดูน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน
“ฉันเข้าใจความรู้สึกคุณค่ะ ครั้งนี้คงเป็นครั้งแรกของคุณ คงจะลำบากน่าดูเลยนะคะ”
“อ้อ…ครับ”
“ฉันไม่รู้เลยค่ะว่าตัวเองจะต้องปลอบใจคุณในตอนนี้อย่างไรดี…แต่ก็ขอให้คุณสู้เข้าไว้นะคะ”
“ขะ ขอบคุณครับ”
ผมพยักหน้าให้ พลางทำตัวนิ่งเฉย ไม่ลนลานกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วจึงผละมือออกอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกของมือที่จับเข้ามานั้น ยังหลงเหลืออยู่ที่มือบ้างเล็กน้อย แต่แล้วมันก็ค่อยๆ ทุเลาลงไปตามลำดับ
มือ
จู่ๆ ก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา แต่ผมก็สามารถระงับจิตระงับใจได้ในทันที ก่อนที่จะเบนสายตาไป จนพบเข้ากับนักดาบหญิง หล่อนกำลังยกมือทั้งสองข้างขึ้นๆ ลงๆ อยู่เช่นนั้น และยังดูมีสีหน้ากังวลใจอะไรบางอย่างเอาเสียมากๆ และเมื่อเราสองคนสบตากัน หล่อนก็รีบกะพริบตาอย่างรวดเร็วทันที
ผมกังวลว่า ในช่วงสงคราม หล่อนอาจจะได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะหรือไม่ จึงได้เปิดปากพูดออกไปด้วยท่าทีสุขุม
“ว่าแต่ทำไมคุณสองคนถึง…”
“อ้อ พอดีมีเรื่องที่จะต้องคุยกันสักครู่น่ะค่ะ”
ฮันโซยองตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว ผมพยักหน้าให้ครั้งสองครั้ง แล้วหล่อนก็พูดออกมาอีกครั้งว่า
“อีสตันเทลลอว์ได้วางแผนไว้ว่า ในอนาคตจะสร้างให้เมืองทางตะวันตกกลายเป็นป้อมปราการป้องกันน่ะค่ะ ดังนั้น…ฉันก็เลยอยากจะถามท่านนักดาบหญิงว่า พอจะช่วยอะไรพวกเราได้บ้าง…”
ฮันโซยองเหลือบมองนักดาบหญิงชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อออกมาด้วยแววตาอันวิบวับ
“ท่านนักดาบหญิงบอกว่าไม่มีเยื่อใยกับเผ่าที่อยู่ในปัจจุบันแล้ว พร้อมกันนั้น ฉันก็กำลังพยายามเชื้อเชิญให้มาอยู่ด้วยกันน่ะค่ะ”
ฮันโซยองยอมรับออกมาอย่างหน้าชื่นตาบาน ผมเห็นดังนั้ จึงเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้เลยในทันที
พร้อมกันนั้นเหรอ
เหตุผลที่ได้ยินมานั้น ฟังดูแล้วเพลินหู ดูมีทักษะในการพูดที่ดีไม่น้อย แต่ฟังอย่างไรก็จับใจความได้แค่ว่า หล่อนกำลังคิดชวนให้นักดาบหญิงเข้ามาอยู่ด้วย นักดาบหญิงถือเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่มีความสามารถสูง และไม่ว่าใครๆ ก็อยากจะได้ตัวหล่อนทั้งนั้น จากที่ได้ฟังคิมด็อกพิลเล่าแล้ว เห็นว่าหล่อนไม่ค่อยจะลงรอยกับเผ่าที่อยู่ในปัจจุบันเสียเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเห็นทีก็คงจะมีความเป็นไปได้เหมือนกัน
ยิ่งเป็นฮันโซยอง ผู้มากด้วยความปรารถนาต่อตัวบุคคลแล้วนั้น หล่อนก็คงจะเศร้าเสียใจน่าดู เสียใจมากจนไม่อาจปล่อยให้นักดาบหญิงเตร็ดเตร่ไปไหนตัวคนเดียวได้แน่
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเรื่องของฮันโซยอง ไม่ได้เกี่ยวกับผมแต่อย่างใด ผมจึงเปิดปากพูดออกไปด้วยจิตใจอันเบิกบาน
“อย่างนี้นี่เอง ถ้างั้น… ในอนาคตอาจจะได้เจอกันที่โมนิก้าบ้างสินะครับเนี่ย ฮ่าๆ”
ในตอนนั้นเอง
“มะ ไม่หรอกค่ะ”
นัมดาอึนส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนที่จะพูดออกมาบ้าง หล่อนเอาแต่จ้องหน้าผมอย่างเดียว คงจะรู้สึกอึดอัดใจ ฮันโซยองเอาแต่เพ่งเล็งตัวเองไม่หยุดหย่อน แล้วจึงพูดออกมาว่า
“ก็…ยังไม่ได้ตกลงปลงใจแน่นอนอะไรหรอกค่ะ กำลังคิดๆ อยู่ค่ะ”
“อืม…”
นักดาบหญิงปฏิเสธออกมาอย่างละมุนละม่อม ผมจึงเริ่มคิดต่อมาในทันที
เผ่าที่หล่อนอยู่ ณ ตอนนี้แทบจะพังยับเยินอยู่แล้ว… หรือว่าหล่อนจะมีอาการรังเกียจผู้ชายหรือเปล่านะ
ทว่าหากได้สังเกตท่าทีที่หล่อนปฏิบัติกับผม ก็จะรู้ได้ว่าหล่อนไม่ได้รังเกียจผู้ชายจนหนักหนาสาหัสขนาดนั้น จริงๆ แล้วช่วงก่อนสงคราม หล่อนก็ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าหน่วยงานพิเศษ เพราะฉะนั้น ผมจึงคิดว่า หล่อนอาจจะเกิดความรู้สึกปฏิเสธขึ้นมาในระดับหนึ่งก็ได้
ไม่งั้นก็… อาจจะมีใครบอกว่าผมเป็นคนที่ยอดเยี่ยมก็ได้ ใครจะรู้
หรือบางทีผมอาจจะคิดผิดไปเองก็ได้เช่นกัน
ความคิดอันไม่พึงประสงค์ผุดขึ้นมาในหัว ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนที่จะล้มเลิกความคิดเช่นนั้น แล้วเหลือบตาไปเห็นฮันโซยองที่กำลังทำปากเง้างอ สีหน้าเรียบเฉย ไร้อารมณ์ ผมเห็นดังนั้น จึงตัดสินใจว่าจะช่วยเหลืออะไรหล่อนเล็กๆ น้อยๆ
จริงๆ แล้วการที่ได้เห็นทั้งสองคนต่างยื้อยุดฉุดกระชากกันแบบนี้ ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน แต่แล้วการที่นักดาบหญิงยอมไปเข้าร่วมกับอีสตันเทลลอว์ หากมองในระยะยาวแล้วจะพบว่านั่นถือเป็นผลประโยชน์สำหรับตัวผมมาก
“ผู้เล่นนัมดาอึน อย่างที่เรียนให้ทราบครับว่า หากคุณไม่ได้ค้างคาอะไรกับเผ่าที่อยู่ด้วยตอนนี้ ก็ลองมาแวะเวียนแถวโมนิก้าบ้างก็ดีเหมือนกันนะครับ ตอนที่เมอร์เซนต์นารี่ตัดสินใจว่าจะตั้งถิ่นฐานอยู่ที่โมนิก้าเอง พวกเราก็ได้รับความช่วยเหลือจากอีสตันเทลลอว์มามากมายเลยล่ะครับ”
“เมอร์เซนต์นารี่หรือคะ อยู่ที่โมนิก้าหรอกเหรอคะ”
นักดาบหญิงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันแสนน่ารัก ผมเห็นดังนั้น จึงรีบพยักหน้าให้ว่าหล่อนเข้าใจความหมายถูกแล้ว
“ครับ อ้อ ว่าแต่ช่วงสงคราม เผ่าของผมติดหนี้บุญคุณคุณด้วยใช่ไหมล่ะครับ”
“บุญคุณอะไรกันล่ะคะ…”
“ไม่หรอกครับ คือผมได้ยินมาว่าพวกเราได้รับความช่วยเหลือจากคุณมาเยอะเลย พวกเขาเล่าให้ฟังว่า เขาฝ่าวิกฤติต่างๆ มาได้ก่อนที่ผมจะมาถึงเสียอีก ทั้งนี้ก็เพราะการช่วยเหลือของคุณทั้งนั้น”
“หากจะว่าเช่นนั้น ฉันเองก็ได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขามาด้วยเหมือนกันค่ะ”
นักดาบหญิงส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน ดูท่าคงอยากจะเน้นย้ำว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอบคุณ
งั้นก็เหมือนๆ กันน่ะสิ
ผมเอียงคอสงสัยอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้นักดาบหญิงล่ะก็พวกเด็กๆ อาจจะเป็นตายร้ายดีอะไรบ้างก็ไม่รู้ กว่าผมจะเดินทางไปถึงตัวพวกเขาอีก
“หากคุณได้มาเยือนโมนิก้า พร้อมกับลอร์ดอีสตันเทลลอว์ อย่างไรก็ขอให้มาแวะเวียนหาเมอร์เซนต์นารี่บ้างนะครับ”
“ดะ…ได้หรือคะ”
“แน่นอนครับ ก็คุณเป็นผู้ช่วยชีวิตพวกเขาไว้นี่ครับ ถ้าเป็นคุณล่ะก็ ผมจะต้อนรับอย่างดีเลยครับ”
“…จริงหรือคะ”
ปฏิกิริยาที่โต้ตอบออกมาเช่นนั้น ทำเอาผมต้องรีบพยักหน้าให้เป็นการใหญ่
คำพูดเช่นนั้นฟังดูแล้วอาจจะทำให้เกิดการเข้าใจผิดกันได้ก็จริง แต่การอ้างถึงโมนิก้าเช่นนั้น ล้วนกำลังชี้นำไปหาอีสตันเทลลอว์ทั้งสิ้น
ผมปรายตามองฮันโซยอง หล่อนกำลังทำปากยื่นพลางกระแอมไอเบาๆ อยู่ในที
ผมเห็นเช่นนั้นจึงหัวเราะอยู่ในใจ ก่อนที่จะพูดออกไปว่า
“เห็นทีผมจะต้องไปแล้วล่ะครับ”
ต่างคนต่างมีเรื่องต้องสะสาง อีกทั้งการพบกันเป็นครั้งแรกในหนนี้ เราก็ได้แลกเปลี่ยนคุยกันมามากพอสมควรแล้ว อีกทั้งผมยังปรารถนาดี และยังคิดได้ว่า ช่วยอีสตันเทลลอว์ประมาณนี้ก็ดีแล้ว ไม่ควรทำอะไรให้เป็นการเสียมารยาทมากเกินไป เพียงเท่านี้ ฮันโซยองก็คงสามารถจัดการอะไรได้ระดับหนึ่งอยู่แล้วล่ะ
และนี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้สายตาที่จับจ้องมาทางผม ค่อยๆ ลดลงไปตามลำดับ จะว่าใช่ก็คงใช่แล้วล่ะนะ
ฮันโซยองคงคิดเช่นเดียวกับผม หล่อนจึงได้ถอยห่างจากผมไปประมาณสามสี่ก้าว
“งั้นไว้เพียงเท่านี้นะครับ รักษาเนื้อ รักษาตัวด้วยนะครับ”
ผมเริ่มเอ่ยลาก่อน
“ค่ะ งั้นก็เดินทางปลอดภัยนะคะ ไว้คราวหลัง หากเรื่องราวทุกอย่างจบสิ้นลง เราคงจะต้องออกมาเจอกันสักครั้งบ้างนะคะ”
“ครับ ยังไงก็ต้องไปเจอให้ได้อยู่แล้วครับ”
…?
ผมยังแอบติดใจกับคำพูดที่ไม่รู้จะสื่อถึงความหมายใดของนัมดาอึนอยู่เล็กน้อย แต่แล้วก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องดีๆ ก็ได้ จึงได้พยักหน้าตอบรับไป
หลังจากที่ร่ำลาเสร็จเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนั้น ผมจึงรีบหมุนกาย มุ่งออกไปยังประตูทางเข้าทันที
ภารกิจของผมที่เหลืออยู่ในตอนนี้คือ การเดินทางกลับเผ่าเมอร์เซนต์นารี่เท่านั้น
หลังจากเดินทางถึงวาร์ปเกต ผมจึงรีบเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังแคลนเฮาส์เมอร์เซนต์นารี่ทันที ผมคิดไว้ว่า จะส่งข่าวบอกว่ามาถึงแล้วผ่านลูกแก้วสื่อสารดีหรือไม่ แต่แล้วผมก็ตัดสินใจว่าจะไม่ทำเช่นนั้น เพราะผมได้ส่งโกยอนจูกลับไปเมื่อตอนเช้ามืดของวันนี้แล้ว เพราะฉะนั้นพวกเขาคงได้รับรู้เรื่องราวจากหล่อนอย่างแน่นอน
หากมีหนึ่งสิ่งที่ผมปรารถนาอยากจะเห็นเมื่อตอนตัวเองเดินทางไปถึง ก็คงจะเป็นภาพที่พวกเขาสามารถขุดตัวเองออกมาจากความเศร้า พาตัวเองออกมาจากเรื่องการจากไปของชินซังยงได้เสียที
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมวิ่งเป็นระยะๆ กลับไปหรือไม่ จึงทำให้ใช้เวลาเพียงแป๊บเดียวเท่านั้น ผมก็สามารถเดินทางมาถึงแคลนเฮาส์เมอร์เซนต์นารี่ได้
สิ่งที่สัมผัสได้จากภายในนั้นคือ ความเงียบสงัด ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกกังวลใจขึ้นมาตงิดๆ
วินาทีที่ผมเปิดประตูเดินเข้าไปนั้น จู่ๆ ก็ได้พบกับภาพที่ไม่ได้คาดคิดคาดฝันมาก่อน
“…”
ผมเห็นสมาชิก
สมาชิกเผ่าทุกคนกำลังรวมตัวยืนอยู่หน้าสุสานของชินซังยง ซึ่งตั้งอยู่บริเวณมุมหนึ่งของสนามหญ้า
ผมจึงปิดประตูที่เปิดทิ้งไว้อย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงรบกวน
ความรู้สึกที่รับรู้ได้คือ สมาชิกเผ่าต่างเกิดความรู้สึกสงสารกันเอง อีกทั้งยังรู้สึกได้ถึงความเคร่งขรึมที่ตลบอบอวลไปทั่ว
ไม่มีพูด ไม่มีใครขยับเลยสักคนเดียว สมาชิกเผ่าที่ยืนจ้องสุสานอยู่เมื่อครู่นั้น มีบ้างบางส่วนที่เงยหน้ามองท้องฟ้า
ผมยืนอยู่ตรงประตูทางเข้า พลางสังเกตท่าทีของสมาชิกเผ่าอยู่พักหนึ่ง โดยสิ่งที่ทุกคนล้วนกำลังส่งต่อออกมานั้น ทำเอาผมเกิดความรู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่สื่อออกมานั้น คือ ความเศร้าแน่นอนอยู่แล้ว แต่…ใบหน้าของเขากลับดูเรียบเฉย เหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว บรรยากาศช่างไม่เหมือนกับเมื่อก่อนเลยจริงๆ