Memorize - เล่มที่ 20 ตอนที่ 16
พริบตาเดียว ระยะทางระหว่างผมกับเซราฟก็ลดเหลือน้อยเข้าไปทุกที ดาบส่องแสงวูบวาบน่ากลัว พลางวิ่งเข้าไปหวังเสียบหัวใจของเซราฟ แต่วินาทีนั้นนั่นเอง จู่ๆ ร่างกายผมก็เอนไปข้างหลัง ใบหน้าของเซราฟที่ได้เห็นใกล้ๆ อยู่เมื่อครู่ บัดนี้กลับเริ่มไกลห่างไป มวลพลังบางอย่างอันแสนแข็งแกร่งคงจะผลักดันผมออกไป
เมื่อผมรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนผืนดินนุ่มๆ ผมจึงรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วเหมือนเสือดาวไม่มีผิด ก่อนที่จะทรงตัวบนผืนดิน แล้ววิ่งกระโจนเข้าไปอีกครั้ง
ไม่สิ ขณะที่จะกำลังวิ่งเข้าไปอยู่นั้นเอง
“แฮ่ก แฮ่ก”
จู่ๆ ร่างกายของผมก็ล่องลอยอยู่บนกลางอากาศ พลังบางอย่างที่ผมไม่สามารถล่วงรู้ได้เริ่มเข้าครอบงำทั่วทั้งร่างกาย ตอนนี้ผมไม่สามารถขยับเคลื่อนอะไรได้เลย แม้แต่ปลายขน ผมกำลังถูกพลังนั้นสกัดกั้นการกระทำของตัวเอง ไม่ว่าจะใช้แรงมากเท่าใด ผมก็ยังไม่สามารถขยับร่างกายได้อยู่ดี ผมจึงค่อยๆ เบิกตาแล้วจ้องไปที่เซราฟ พลันกับรู้สึกได้ถึงเลือดอุ่นๆ ไหลซึมอยู่บริเวณริมฝีปาก คงเพราะเมื่อครู่ ผมเผลอกัดปากตัวเองแรงไป
เวลาล่วงผ่านเลยไปสักระยะ ก่อนที่ร่างกายของผมจะร่วงหล่นสู่ผืนดินอีกครั้ง พลังที่เข้าสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของผมก็เริ่มคลายออกไปเช่นเดียวกัน ผมจึงคว้าดาบมาถือไว้อีกครั้ง
แม้ว่าค่าความสามารถของผมจะมีน้อยเพียงใด แต่แล้วผมก็พยายามใช้ทุกพลังที่มีอยู่ในการปลุกพลังเวท แล้วใช้สมาธิจดจ่อไปยังดาบ ทันใดนั้นดาบจึงค่อยๆ เปล่งแสงสีน้ำเงินเข้ม ผมเห็นดังนั้น จึงรีบส่งกระแสคลื่นที่ว่ามุ่งไปหาอีกฝ่ายทันที
แต่ผมก็ยังไม่เห็นเซราฟขยับเคลื่อนใดๆ เลยแม้แต่น้อย ทว่าคราวนี้ก็เกิดมีอะไรบางอย่างเข้ามาขวางกั้นกระแสคลื่นที่ผมส่งออกไป
ผมรีบปลุกพลังเฮือกสุดท้าย ก่อนที่จะเลือกใช้พลังเวทอีกครั้งหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดในช่วงเวลาอันสั้น เพราะฉะนั้นจึงแทบไม่มีเวลาจะมายืนยันว่าสิ่งนั้นมันคือสิ่งใดเลย ผมตะโกนออกไปเสียงดังกึกก้อง พลางดึงพลังเหล่านั้นออกมาอย่างรุนแรงทันที
“อ๊ากกก! ย้ากกก!”
และแล้วกระแสคลื่นที่พาดผ่านอยู่บนฟากฟ้านั้นจึงได้กระทบเข้ากับพลังดังกล่าว จนสุดท้ายมันจึงเลือนหายไป นี่มันถือว่าเป็นการปลอบใจที่ผมสามารถทำให้ดวงไฟเกิดการเผาไหม้ได้หรือเปล่า
“ฮ่า… ฮ่า…”
ผมแค่นหัวเราะออกมาอย่างอ่อนแรง ไม่รู้ทำไมถึงทำเช่นนั้นเหมือนกัน
ความรู้สึกแรกที่พุ่งเข้ามาคือ ความรุนแรงที่ถาโถมเข้ามาสู่ร่างกาย และต่อมาคือความโมโห โมโหมากจนตัวสั่นไม่หยุด และแล้วผมจึงได้รู้ความจริงที่ว่า ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไปแล้ว และความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นมาหลังจากความจริงข้อนั้นคือ…
ความอ่อนล้าที่ไม่อาจฝืนทนได้
ผมรู้สึกว่าพลังกายและพลังใจที่ไหลวนอยู่ทั่วร่างนั้น จู่ๆ ก็ลดฮวบลงไป ผมจึงได้แต่นั่งคุกเข่าอยู่อย่างนั้น
และแล้วจึงเริ่มเกิดอาการวิงเวียนศีรษะขึ้นมาทันที แม้ตัวผมในตอนนี้จะนั่งหลับตาอยู่ แต่แล้วผมก็ได้เห็นใบหน้าของใครบางคนลอยเด่นอยู่ท่ามกลางความมืดมิดเหล่านั้น
พี่ชาย ฮันโซยอง และทุกคน
ผมมองภาพใบหน้าที่ลอยผ่านไปทีละภาพ ทีละภาพ พลันรู้สึกว่าหน้าตัวเองกำลังบิดๆ เบี้ยวๆ ในเวลาพร้อมกัน
คิดว่าเดี๋ยวจะได้เจอกันแล้วเสียอีก
คิดว่าเดี๋ยวจะได้ชดใช้แค้นแล้วเสียอีก
คิดว่าเดี๋ยวจะได้กลับไปอยู่ด้วยกันอีกครั้งแล้วแท้ๆ
ตอนนี้เรา… ทำเพื่ออะไรกัน…
ความเป็นจริงที่ไม่อาจยอมรับได้เช่นนั้น กำลังทำให้ผมรู้สึกท้อแท้ใจขึ้นมาอีกครั้ง
ในเวลาต่อ ผมจึงบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงอันแสนแผ่วเบา
“โอเค… ดี นี่ล่ะนะ”
“ผู้เล่น…”
“ทูตสวรรค์กับปิศาจ ไม่ว่าพวกเธอจะมีข้อมูลลับอะไรต่อกัน มันก็ไม่เกี่ยวกับฉันล่ะสินะ แล้ว…ทำไมไม่ยอมบอกกันล่วงหน้าล่ะ”
ผมพูดประโยคข้างต้นออกไป หลังจากนั้นจึงเงยหน้ามองไปยังแท่นบูชา แล้วจึงตะโกนออกมาอีกครั้งราวกับเป็นสัตว์ป่าอันแสนดุร้าย
“ผู้เล่นที่ตายไปแล้วหนหนึ่ง เขาไม่สามารถกลับคืนมาได้อีก! ทำไมไม่บอกเรื่องนี้แต่เนิ่นๆ วะ!”
ทว่าเซราฟก็ไม่ตอบกลับมาอยู่ดี หล่อนได้แต่ก้มมองผมด้วยแววตาอันแสนเศร้าสร้อย สายตาที่มองดิ่งขึ้นสู่กลางอากาศ เริ่มผิดเพี้ยนไปจากปกติมากขึ้นเรื่อยๆ และแล้วทัศนวิสัยของผมก็กลายเป็นสีขาวโพลน ด้วยเหตุนี้ผมจึงเขวี้ยงดาบที่ถืออยู่ในมือออกไปทันที
เคร้ง!
“ทำไม! ทำไมไม่บอกวะ! ทำไมต้องโกหก!”
“มะ ไม่ได้โกหกนะคะ!”
“หา ว่าไงนะ? ไอ้นรก แกมันเลว ชั่วกว่าปิศาจพวกนั้นเสียอีก!”
ผมตะโกนออกไปอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ยังไม่อาจคลายอารมณ์โมโหลงไปได้ ผมจึงกำมือทั้งสองข้างแน่น ก่อนที่จะต่อยลงพื้นหนึ่งครั้ง สองครั้ง และสามครั้ง
พลั่ก พลั่ก พลั่ก!
“ซู…ซูฮยอน!”
“อะไร ไม่ได้โกหกคือ? เรื่องที่ฉันพยายามช่วยพี่ชายกับฮันโซยอง เพื่อจะได้กลับไปยังโลกด้วยกันน่ะ ตอนนี้แกกำลังจะบอกว่าแกไม่รู้เรื่องอย่างนั้นล่ะสิ”
“ข้ายอมรับค่ะว่าอาจมีการเข้าใจผิดกันไปบ้าง แต่มันก็ไม่ควรถึงขั้นนี้!”
“XX! หุบปาก! ที่แอสทารอธบอกน่ะถูกแล้ว! แกแม่งไม่ต่างอะไรไปจากปิศาจหรอก!”
ผมแบมือซ้ายออกมาโดยอัตโนมัติ ก่อนที่จะถือซีโร่โค้ดที่ประคับประคองมาตลอดจนกระทั่งบัดนี้ ลูกแก้วสีฟ้าอันแสนแวววาวชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ และบัดนี้มันกำลังค่อยๆ เปล่งประกายแสงสีฟ้าออกมา
ผมเขวี้ยงมันออกไปหาเซราฟอย่างเต็มแรง
พลั่ก!
ลูกแก้วลอยละล่องอยู่กลางอากาศ ก่อนที่จะร่วงลงไปฟาดเข้าที่ใบหน้าของเซราฟอย่างจัง แรงมากเสียจนหน้าของหล่อนหันไปอีกข้างหนึ่ง ส่วนลูกแก้วนั้นก็ร่วงหล่นสู่พื้นเบื้องล่าง และแล้วลูกแก้วนั้นก็ได้กลิ้งหลุนๆ หยุดอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างผมกับเซราฟ
ผมผงะไปชั่ววินาทีหนึ่ง และจู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่าตัวเองหอบหายใจแรงขึ้น และคางก็เริ่มสั่นขึ้นมา เซราฟค่อยๆ หันหน้ากลับมา ใช้สายตาจับจ้องผมที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ซูฮยอน”
“เหมือน เหมือนจริงๆ”
ผมเห็นหยาดน้ำตาที่กำลังสั่นไหวอยู่ก็จริง แต่ด้วยความโมโหที่พลุ่งพล่านขึ้นมาเช่นนี้ ทำเอาผมลืมสิ่งนั้นไปโดยสิ้นเชิง
“ไม่ว่าจะเป็นพวกแกหรือปิศาจ แม่งก็หลอกใช้พวกเราทั้งนั้น จับๆ ยัดๆ ผู้เล่นมาไม่สนใจห่าเหว แล้วก็หลอกใช้พวกเรา! ทำไมพวกฉันต้องมาเข้ามายุ่งกับสงครามประสาทเสียของพวกแกด้วยวะ ตอบ! ตอบไม่ได้หรือไง งั้นไอ้ตัวอื่นที่เหมือนกับแก ไหนลองตอบให้ฉันฟังหน่อยซิ! ไอ้พวกXX!”
เสีนงตะโกนของผมดังกึกก้องไปทั่วห้องอัญเชิญอันแสนมืดมิดแห่งนี้ และแน่นอนว่าไม่มีใครตอบกลับมา เซราฟที่กำลังนั่งอยู่บนแท่นบูชาไม่ยอมขยับเขยื้อนใดๆ เลย มิหนำซ้ำยังเพิกเฉยคำพูดผมไปเสียอีก
ผมรู้ได้ทันทีเลยว่า ท่าทีของหล่อนเช่นนั้นก็เหมือนกับการเลี่ยงตอบกลายๆ ไม่สิ รู้สึกว่าหล่อนกำลังทำตัวไม่รู้ไม่เห็นเสียมากกว่า และแล้วจู่ๆ ภาพตรงหน้าก็เริ่มหมุนเคว้งไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ฉันชักจะเสียดายแล้วสิ ที่ตัวเองดันฆ่าพวกปิศาจไปเสียหมด อย่างน้อยๆ ถ้ายังมีปิศาจเหลืออยู่สักตัวล่ะก็ ซีโร่โค้ดก็คง…”
“ผู้เล่นคิมซูฮยอน! ท่านพูดอะ…!”
“ทำไม เจ็บใจเหรอ ทีพวกแกทำเลวไว้กับฉัน แกไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่เรื่องนี้แกดันรู้สึกเจ็บใจขึ้นมาอย่างงั้นเหรอ”
ผมยันกายลุกขึ้นมา พลางพูดตัดบทเซราฟในทันที แม้ใจผมอยากจะถือดาบ แล้วบุกเข้าไปหาอีกฝ่ายอีกครั้ง แต่แล้วไม่รู้ทำไมพลังถึงได้ลดฮวบลงไป ตอนนี้ทำได้แต่ยืนอยู่นิ่งๆ เท่านั้น
“จำเป็นต้องพูดถึงเพียงนี้เลยหรือคะ”
น้ำเสียงของผมแหบแห้งไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“อะไร ไม่ได้โกหกงั้นเหรอ โอเค แต่แกเองก็ไม่ได้บอกฉันเลยไม่ใช่หรือไง แกไม่รู้ว่าฉันต้องการอะไร หรือรู้ดีอยู่แล้วล่ะ”
“…”
“แกต้องมอบในสิ่งที่ฉันร้องขอสิฉัน หืม? หรือแกเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ถ้าจะหลอกใช้กันแบบนี้ หลอกกันหน้าด้านๆ แบบนี้! ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่มาขอโทษแกตอนท้ายเลยแม้แต่คำเดียว จำเอาไว้!”
“ซูฮยอน!”
เซราฟเอาแต่ร้องเรียกชื่อผมอยู่เช่นนั้นมาตลอดตั้งแต่เมื่อครู่นี้ พอผมเงยหน้าขึ้นมามอง เหมือนเป็นการบอกให้หล่อนพูดออกมา หล่อนก็กลับหุบปากฉับเลยทันที ตอนนี้หล่อนได้แค่เฝ้ามองผมอยู่จากไกลๆ ด้วยสายตาอันแสนเศร้าโศกเท่านั้น ผมสบตากับเซราฟ พลางเหยียดยิ้มออกมาอย่างเสียมิได้
ใช่สิ ไม่มีอะไรจะพล่ามแล้วใช่ไหมล่ะ
ความเหนื่อยล้าเริ่มถาโถมเข้ามาสู่ร่างกาย จนผมแทบจะล้มลงให้ได้เสียในตอนนี้ แต่ผมก็ยังคิดอยากจะกวนจิตกวนใจเซราฟต่อไปเรื่อยๆ จึงได้พยายามกัดฟันอดทน แล้วจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“โอเค ตอนนี้พวกแกคิดอยากจะพูดอะไร ก็คงพูดได้หมดแล้วสิเนอะ เพราะพวกปิศาจก็หายไปหมดแล้ว ไหนจะซีโร่โค้ดที่ฉันครอบครองอยู่นี่ด้วย เพราะงั้น แกก็คงจะพล่ามต่อไปอยู่ดี ไม่สนว่าฉันจะรู้สึกยังไง เป็นแบบนั้นใช่ไหมล่ะ”
เซราฟส่ายหน้าปฏิเสธ หล่อนกัดปากแน่น ท่าทางดูเจ็บปวด ราวกับใกล้จะระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาเต็มที แต่ก็นั่นแหละ หล่อนแค่เสแสร้ง แกล้งทำเป็นเศร้าไปอย่างนั้น
“อย่ามาทำหน้าแบบนั้น เพราะฉันจะไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจแกอีกต่อไปแล้ว ไม่สิ ตอนนี้ฉันไม่จำเป็นต้องอยู่แล้วนี่เนอะ”
“…”
“สุดยอดจริงๆ เลยว่ะ แต่อย่างน้อย… อย่างน้อยฉันก็เคยหลงเชื่อแกมาก่อนนี่ เซราฟ ตอนที่ฉันสูญเสียหมดทุกสิ่งอย่าง แกก็เป็นสิ่งมีชีวิตตนเดียว ที่คอยช่วยเหลือตามความปรารถนาของฉันได้ การตัดสินของแกก็ฟังดูมีเหตุผลเข้าท่ามาตลอด ไหนจะช่วยชี้แนะ พาฉันไปยังทางที่ถูกที่ควรได้เสมอ ยังไงก็ขอขอบใจละกัน แม้แกจะเป็นแค่ผู้ช่วย คอยแนะนำให้ฉัน แต่อย่างน้อยแกก็ยังทำเพื่อฉันทุกอย่างด้วยความสัตย์จริง ฉันคิดแบบนั้นมาตลอด…”