Memorize - เล่มที่ 20 ตอนที่ 17
แม้กระทั่งผมได้ยินเรื่องราวความจริงทุกอย่างจากแอสทารอธ ผมก็ยังเลือกที่จะเชื่อคำพูดของเซราฟ เพราะผมคิดว่า พวกปิศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่หาความน่าเชื่อถือไม่ได้ เป็นแค่ไอ้พวกยอมหมดความหวังในตอนท้ายได้ง่ายๆ เพียงแค่เพราะความตายมารออยู่ตรงหน้าก็เท่านั้น
“แต่พอฉันลองเปิดฝา พวกแกก็ถือเป็นคนที่ฉันประมาทไม่ได้เหมือนกันนี่หว่า ท้ายที่สุดแล้ว พวกแกก็แค่ช่วยฉันเพื่อหวังไอ้ซีโร่โค้ดบ้าๆ นั่น!”
“ผู้เล่นคิมซูฮยอน ข้าจะไม่ขอปฏิเสธความจริงเพียงเศษเสี้ยวที่ท่านกล่าวอ้าง แต่เรื่องนี้ข้าขอค้านว่ามันไม่ใช่เช่นนั้นอย่างที่ท่านคิดค่ะ”
“แค่เรื่องนี้ของพวกมัน! แค่เรื่องนี้! หนหนึ่งแล้วนะ ทำไมแกไม่คิดจะปฏิเสธเรื่องนี้เลยสักครั้งล่ะวะ”
เซราฟผ่อนปรนลมหายใจออกมาน้อยๆ แล้วจึงค่อยๆ รวบมือทั้งสองข้างไว้บริเวณหน้าแท่นบูชา ก่อนที่จะก้มศีรษะและร่างกายลงตาม เส้นผมพลิ้วสยายร่วงหล่นลงมาซ่อนเร้นใบหน้าของเจ้าหล่อนเสียมิด
หลังจากนั้น หล่อนจึงเปล่งวาจาด้วยเสียงทุ้มต่ำ ณ บนแท่นบูชาแห่งนั้น
“หากตอนนั้น ข้ายอมบอกความจริงทุกอย่างให้แก่ท่าน… ข้าพอจะเดาได้ค่ะ ว่าท่านจะตัดสินใจกระทำสิ่งไหนออกมา ในตอนนั้นข้ากลัว ข้ารู้สึกละอายต่อบาปที่ได้ก่อไว้กับท่าน ข้ากลัวมาตลอด ไม่เคยมีวันใดสักวันที่ไม่…”
“เฮอะ จริงเหรอ เฮ้ ไม่ใช่แล้วมั้ง เซราฟ แกไม่ได้คิดถึงฉันหรอก แกคิดถึงแต่พวกทูตสวรรค์ของตัวเองเสียมากกว่าล่ะมั้ง ผู้เล่นก็มีอยู่กระจัดกระจายเต็มไปหมด แต่แล้วแกก็ยังอุตส่าห์คะยั้นคะยอ วางแผนจะให้ฉันปกป้องซีโร่โค้ดอยู่นั่น…”
“ไม่ใช่แผนนะคะ! เรื่องนั้น! เรื่องนั้น…!”
จู่ๆ เซราฟก็เงยหน้าขึ้นมาทันทีทันใด หล่อนพูดเสียงสูงปรี๊ดออกมาเป็นครั้งแรก
“ข้าไม่อยากให้ท่านตาย ข้าไม่อยากเห็นท่านปลิดชีพตัวเองค่ะ”
พอเซราฟพูดจบ ผมจึงตอบกลับไปทันที ด้วยความรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ช่างเป็นคำแก้ตัวที่ฟังรื่นหูดีจริงๆ เพื่อฉันงั้นเหรอ ดีจังเลยน้า ท่านผู้ช่วยพยายามปรับแก้ สถานการณ์ให้ดีมาตลอด ไม่ว่าฉันจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์แบบไหน นี่มันเป็นคำแก้ตัวที่โคตรยอดเยี่ยมไปเลยว่ะ ว่างั้นไหม”
“…”
เซราฟมีสีหน้าซีดเผือดลง ปีกที่อยู่กลางหลังหล่อนอยู่ในสภาพไร้ซึ่งเรี่ยวแรงตั้งแต่ตอนใดไม่รู้ ผมมองเซราฟที่ดูท่าว่าจะอาการหนักเอาการ พลางแค่นยิ้มออกไปให้
“พูดเองเออเองแบบนี้ ไม่คิดจะเขินหน่อยหรือไง ฉันเพิ่งจะเคยเห็นคนน่าสะอิดสะเอียนมากเท่าแกก็วันนี้เนี่ยแหละ”
เซราฟไม่พูดสิ่งใดตอบกลับมา แล้วค่อยก้มศีรษะลงอีกครั้งหนึ่ง
“ไอ้ชาติชั่ว”
“…”
บรรยากาศรอบข้างเกิดความเงียบสงัดไปชั่ววินาทีหนึ่ง และแล้วผมจึงได้เริ่มเดินออกไปข้างหน้าช้าๆ
เดินไปเรื่อยๆ จนหยุดยืนอยู่ที่บริเวณใจกลาง ผมก้มมองลงพื้นเบื้องล่าง แล้วจึงได้เห็นซีโร่โค้ดที่ยังคงเปล่งแสงออกมาอย่างรุ่งโรจน์
หลังจากนั้นผมจึงค่อยก้มตัว แล้วยื่นแขนออกไป พลางรู้สึกว่าตัวเองช่างน่าเวทนา พร้อมกันนั้นก็รู้สึกได้ถึงความยากลำบากที่กว่าจะได้ครอบครองมันมา ไหนจะวันเวลาที่เฝ้าอดทนมาตลอด ช่วงวันเวลาเหล่านั้นมันกลับแล่นผ่านหน้าไปเหมือนกับเป็นเพียงสายลมหนึ่งเท่านั้น
แท้จริงแล้วมันคืออะไรกันล่ะ…
ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าใด ความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆ ที่โอบคลุมทั่วร่างกายก็ยิ่งทำให้ผมใจหวิวๆ มากขึ้นเท่านั้น ผมยืนจ้องลูกแก้วพักหนึ่ง แล้วก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่จดจ้องมาตรงเบื้องหน้า ผมจึงเงยหน้ามองขึ้นมาทันที
สายตาอันแสนเรียบเฉย ดูสง่างามของเซราฟกำลังจดจ้องมาที่ผมอีกครั้งหนึ่ง ผมเห็นแววตาของหล่อนเช่นนั้นก็เกิดความคิดที่อยากจะฆ่าหล่อนไปให้พ้นทางเสีย แต่แล้วก็ได้ข่มจิตข่มใจไว้เช่นนั้น และจึงได้เอ่ยปากถามเรื่องผลลัพธ์ที่ได้จากการวางแผนครั้งนี้ออกไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เรื่องที่ว่าพี่ชายกับฮันโซยองจะไม่สามารถหวนคืนกลับไปนั่นน่ะ เรื่องนี้ไม่ได้โกหกใช่ไหม”
เซราฟค่อยๆ พยักหน้าขึ้นลง
“ฮ่าๆ อย่างที่คิดเลยแฮะ ตอนนี้ไม่ได้โกหกจริงๆ ด้วยนะเนี่ย”
ทันใดนั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถอดทนรอได้อีกต่อไปแล้ว จึงได้หลับตาลง พร้อมกันนั้นก็รู้สึกได้ว่าจู่ๆ ร่างกายก็เกิดการสูญเสียสมดุลไป ผมจึงปล่อยให้ตัวเองหงายท้องไป
เวลาผ่านเลยไปเท่าไหร่แล้วนะ
เมื่อผมตั้งสติได้อีกครั้งหนึ่ง ผมจึงปัดผมที่รกหูรกตาไป แล้วเหลือบตามองพื้นหินสีเทาซีด บนพื้นนั้นมีลูกแก้วสีฟ้าที่กำลังเปล่งประกาย
ผมมองลูกแก้วนั้น และจึงรู้สึกได้ถึงการปลดพันธนาการทีละนิด ทีละนิด
ความรู้สึกสิ้นหวังที่ปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง
ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าจนไม่สามารถกระทำอะไรต่อไปได้อีก
การโดนทรยศ หักหลัง จากการถูกหลอกใช้
ความรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก อยากจะตายให้พ้นๆ โลกนี้ไปเสียที
และความรู้สึกที่อยากละทิ้งทุกอย่างค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ
ผมใช้ชีวิตมาอย่างโลดโผน ผ่านความรุนแรงมาตลอดระยะเวลาสิบปี แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับพังทลายลงไปเมื่อได้เดินทางมาถึงจุดจบเช่นนี้ ผมอยากทำอะไรต่อมิอะไร แต่กลับไม่มีสิ่งไหนที่ผมจะลงมือทำได้เลย เศร้าใจ แต่ร้องไห้ไม่ออก แค่จะเปล่งเสียง ก็เปล่งออกมาแทบไม่ได้แล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน จู่ๆ ผมก็บ่นงึมงำกับตัวเองอย่างหาสาระไม่ได้
“หึๆ พลังความสามารถรอบด้านและพลังความสามารถอันไร้ขีดจำกัดบ้าบออะไรกัน… สิ่งที่ฉันหวังไว้ ไม่เห็นจะสำเร็จได้ดั่งใจเลยสักอย่าง…”
และ.. .ณ วินาทีนั้น
“…!”
ณ วินาทีที่คำว่า ‘ความสามารถรอบด้าน’ ถูกเปล่งออกมานั่นเอง ผมก็คิดอะไรดีๆ ออกมาได้ความคิดหนึ่ง
และนั่นคือ ความคิดที่ผมมองไม่เห็นวี่แววว่าตัวเองจะคิดได้เช่นนี้มาก่อน
ผู้เล่นที่ตายไปแล้วรอบหนึ่ง จะไม่สามารถกลับไปยังโลกปัจจุบันได้อีกครั้ง
ถ้าเป็นเช่นนั้น หากผมทำให้ความจริงเรื่องความตายนั่น กลายเป็นเรื่องโมฆะไปล่ะ
มันจะไม่มีวิธีที่จะให้เป็นเช่นนั้นได้เลยเหรอ
ตอนนั้นเองผมรู้สึกได้ถึงพลังที่ปะทุขึ้นมาในแววตา
“พากลับไป… ก็ได้สินะ”
ผมเริ่มมีความหวังที่จะพาพวกเขากลับไปได้อีกครั้งหนึ่งแล้วสิ จึงได้เริ่มขยับแขนไปหาซีโร่โค้ดช้าๆ แล้วจึงค่อยก้มตัว ลงไปคว้าซีโร่โค้ดขึ้นมา
“นั่นสินะ ทำแบบนั้นก็ได้นี่นา ฉันพาพวกเขากลับไปโลกได้อีกครั้งแน่”
“คะ?”
“เซราฟ”
วินาทีนั้น ผมรู้สึกได้ถึงพละกำลังที่ไหลกลับคืนสู่ทั่วทั้งร่างกาย และรู้สึกได้ถึงพลังอันปะทุในแววตา ผมยื่นมือขวาออกไปพลางปลุกพลังเวทขึ้นมา ส่วนดาบที่วางทิ้งไว้ที่ไหนสักที่ก็เริ่มขูดลากพื้นจนเกิดเสียง และสุดท้ายมันจึงลอยเข้ามาอยู่ในเงื้อมมือของผมดั่งเดิม ผมใช้ดาบเป็นไม้เท้า แล้วจึงค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นมา
“ฉันจะใช้ซีโร่โค้ด เวลา เธอช่วยย้อนเวลาให้ฉันอีกครั้งหนึ่งที ย้อนกลับไปตอนที่ฉันเข้ามา ณ ที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก”
“ผะ…ผู้เล่นคิมซูฮยอน?”
ในตอนนั้น ดวงตาของเซราฟเบิกกว้าง และดวงตาของหล่อนล้วนเต็มไปด้วยความประหลาดใจกับสิ่งที่ผมพูดอย่างยิ่ง
แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ได้แต่นิ่งเงียบ เสียบดาบเก็บเข้าที่เหมือนเดิม
“เรื่องที่ท่านพูดเมื่อครู่นี้ ท่านหมายความว่าอย่างไรคะ”
ผมถอนหายใจยาวๆ หลังจากนั้นจึงค่อยปล่อยให้หัวโล่ง ปราศจากความคิดรบกวนใดๆ แล้วจึงพูดความปรารถนาหนึ่งสิ่งที่ตัวเองเฝ้ายื้อยุดมาตลอดออกไปให้อีกฝ่ายรับทราบอีกครั้ง
ผมจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอันแสนแหบแห้ง
“ในฐานะผู้สืบทอดซีโร่โค้ดรุ่นที่หนึ่ง”
“ซู…”
“ผมต้องการย้อนเวลา”
ผมคิดอะไรไม่ออกแล้ว ได้แต่ใจลอย ยืนมองลูกแก้วเล็กๆ ที่กอบกุมอยู่ในมือฝั่งซ้าย
“ผู้เล่นคิมซูฮยอน”
สิบปี เวลาอันยาวนานที่ผมใช้เพื่อบรรลุความฝันที่วาดเอาไว้ แต่ก็ไม่เคยจางหายไป ความโดดเดี่ยวและจิตใจที่รวดร้าวคงอัดแน่นอยู่ภายในและคอยกัดกินตัวตนเหมือนเดิม
“ข้าขอสอบถามอีกครั้งได้หรือไม่ ผู้เล่นคิมซูฮยอน”
น้ำเสียงหวานซึ้งทว่าแหบต่ำแว่วเข้าหูมาทำให้สติของผมถูกดึงกลับคืนมา และเงยหน้าขึ้นช้าๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นสิ่งแรกที่ปรากฏในสายตาก็คือพื้นอิฐสีเทา จากนั้นสายตาก็หยุดอยู่กับพื้นที่ราวๆ ร้อยตารางเมตรตรงหน้า
ที่นี่คือ ‘ห้องอัญเชิญ’ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวทั้งหมดและก็จะเป็นจุดสิ้นสุดของเรื่องด้วยเช่นกัน บนแท่นพิธีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ตั้งอยู่ใจกลางห้องมีปีกซึ่งกำลังขยับไปมาเบาๆ เปล่งประกายรัศมีสีขาวออกมา ผมรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าขณะที่กำลังจ้องมอง ‘ทูตสวรรค์’ ซึ่งนั่งอยู่บนแท่นพิธี
“ขอยืนยันความต้องการของผู้เล่นคิมซูฮยอนอีกครั้ง ท่านปรารถนาที่จะย้อนเวลากลับไปที่ฮอลล์เพลนเมื่อสิบปีก่อนใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว”
“พวกข้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ทูตสวรรค์ทั้งหมดรวมทั้งข้าด้วยไม่เข้าใจท่านเลย”
“ไม่หรอก ผิดแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องการให้พวกคุณเข้าใจหรอกนะ เซราฟ”
น้ำเสียงของตัวเองที่พูดออกไปช่างเย็นชา น้ำเสียงของทูตสวรรค์ เซราฟ สั่นพร่าแตกต่างไปจากเดิม ตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่ยังไม่เคยเห็นเซราฟกระสับกระส่ายมาก่อนสักครั้งจนถึงวันนี้ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าคำพูดคงจะกระทบกระเทือนใจมากทีเดียว
แม้จะดูกระสับกระส่ายแต่เพียงครู่เดียวสีหน้าของเซราฟก็กลับสู่ความเยือกเย็น น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเริ่มแข็งกระด้างเพื่อกล่าวเตือน
“ผู้เล่นคิมซูฮยอน ท่านได้บรรลุภารกิจทั้งหมดของฮอลล์เพลนแล้ว และเป็นผู้เล่นคนแรกที่สามารถไขว่คว้าความเป็นหนึ่งมาได้”
“แต่ว่า”
“ไม่มีแต่ ท่านได้รับซีโร่โค้ดที่เคยหวังเอาไว้ ท่านมี ‘คุณสมบัติ’ และท่านสามารถทำให้ทุกอย่างเป็นจริงได้ภายใต้ ‘คุณสมบัติ’ นี้”
“เซราฟ เราคุยกันจบแล้ว”
ดูท่าจะยังไม่ยอมหยุดง่ายๆ ผมถึงกับถอนหายใจออกมา ส่วนมือขวาก็ท้าวไว้ที่เอวเพื่อให้รู้สึกถนัดขึ้นตอนจับด้ามดาบในมือ
“เฮ้อ ผมฟังคำพูดเยินยอพวกนั้นมาตั้งสิบกว่าปีจนเอียนจะแย่แล้ว ตอนนี้ผมเหนื่อยแล้วนะ เซราฟ อย่าพูดต่ออีกเลย ไม่ว่าพวกคุณจะใช้คำพูดแบบไหนมากล่อมผมก็เถอะ ผมก็ไม่คิดเปลี่ยนใจเรื่องการใช้ซีโร่โค้ดหรอกนะ”