Memorize - เล่มที่ 20 ตอนที่ 18
เวทมนตร์ถูกวาดขึ้นตามทำให้ด้ามดาบแตกเป็นเสี่ยง เซราฟที่พยายามอ่านพลังภายในที่พุ่งขึ้นมาภายในร่างของผมเริ่มเม้มริมฝีปากแน่น แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น ใบหน้าของเธอที่กำลังจ้องมองผมเต็มไปด้วยความเห็นใจ แสดงออกว่าไม่มีทางล้มเลิกการโน้มน้าวใจผมแน่นอน
“แน่นอนว่าสิทธิ์ในการใช้ซีโร่โค้ดนั้นเป็นของผู้เล่นคิมซูฮยอนแต่เพียงผู้เดียว พวกเราไม่อาจแตะต้องสิทธ์นั้นได้”
“…”
“นั่นจึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะพลังอันมหาศาลที่ถูกเก็บกักไว้ภายในนั้นกลับถูกนำมาใช้เพียงแค่เพื่อย้อนเวลาเท่านั้น ช่างไร้สาระสิ้นดี””
“…”
“ขอถามเป็นครั้งสุดท้าย ผู้เล่นคิมซูฮยอน ท่านอยากจะย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบปีก่อนที่แสนทุกข์ทรมานอีกงั้นหรือ”
น้ำเสียงของเซราฟนั้นแทบจะกลายเป็นการอ้อนวอน แต่ผมกลับหัวเราะออกมาทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าทำไม เป็นการหัวเราะที่ไร้เหตุผลสุดๆ
ผมหัวเราะอยู่อย่างนั้นพักใหญ่เลยทีเดียว
อรุณสวัสดิ์เช้าวันใหม่ ท้องฟ้าวันนี้ช่างดูขุ่นมัว ไม่แจ่มใสเหมือนอย่างเคย ดวงอาทิตย์แสนรุ่งโรจน์ค่อยๆ ลอยล่องขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้ท้องฟ้าแห่งทิศตะวันออกค่อยๆ สว่างเจิดจ้าเข้าไปทุกขณะ สายลมพัดเอื่อยเข้ามาผ่านบานหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ สายลมนั้นช่างเย็นสบาย พลันทำให้ร่างกายสดชื่น ช่วงเวลาย่ำรุ่งยังคงทิ้งร่องรอยแห่งมวลอากาศเย็นไว้ให้เหมือนอย่างเคย
สายลมเบาบางแสนสดชื่นพัดผ่านเข้ามา หัวของผมปลอดโปร่งขึ้น ผมค่อยๆ หย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ช้าๆ พลางยื่นแขนขวาออกไป มือสัมผัสเข้าที่ถ้วยน้ำชาร้อนๆ หลังทานข้าวเช้าวันนี้เสร็จ โกยอนจูก็ยกถ้วยน้ำชามาให้ผมดื่ม ผมจึงจูบปากหล่อนเบาๆ หนึ่งครั้งให้เป็นการตอบแทน
โกยอนจูขู่ผมไว้ว่า หากในอนาคตยังอยากจะดื่มชาอยู่อีก ก็ต้องตอบแทนกันเสมอๆ ห้ามขาด พอผมคิดถึงภาพของหล่อนที่ขู่ผมไว้เช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ผมนั่งวิเคราะห์กลิ่นหอมของชาอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ ยกขึ้นจิบเบาๆ น้ำชาค่อยๆ ไหลลงผ่านลำคอ ก่อนที่แผ่กระจายไปทั่วร่าง รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร้อนๆ ของชาที่แผ่ซึมทั่วทั้งร่างกาย ทำเอาอารมณ์ดีขึ้นมา จนถึงกับต้องค่อยๆ อ้าปากออกมาอย่างมีความสุข และการอ้าปากของผมในครั้งนี้ ดูเหมือนจะมีใครบางคนที่รออยู่นอกประตูได้ยินเข้าเสียแล้วสิ
“เข้ามา”
อีกฝ่ายที่อยู่นอกประตูคงจะได้ยินแล้ว แต่ผมกลับรู้สึกได้ว่าเขาเกิดอาการผงะไปชั่วครู่หนึ่ง ผมจับได้ว่าเขาคงจะลังเลใจอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นจึงได้ยินเสียงใครบางคนวิ่งออกไปตรงทางเดินอย่างรวดเร็ว คราวนี้ถึงตาผมที่เริ่มรู้สึกเอะใจขึ้นมาบ้าง
“…?”
ผมคิดว่า เขาคงจะหนีไปที่ใดสักพักหนึ่ง แต่แล้วก็คิดได้ว่า ปล่อยเขาไปเช่นนั้นเถอะ จึงค่อยๆ นั่งลงตามเดิม
ผมพอจะเดาได้พอประมาณว่าตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายเป็นใคร ช่วงเวลารับประทานอาหาร อันฮยอนเอาแต่เหลือบตามองผมอยู่ตลอดเวลา วิเวียนเองก็เช่นกัน บางทีหลังจากที่หล่อนได้ยินเรื่องการช่วยชีวิตชินซังยงให้กลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้งโดยใช้ความปรารถนาแล้ว ก็คงจะอยากเข้ามาคุยธุระกับผม
พอผมนึกถึงปัญหานั้น ผมก็ได้แต่ลำบากใจ
‘ผู้เล่นที่ตายไปแล้วหนหนึ่ง จะไม่สามารถหวนคืนกลับไปสู่โลกมนุษย์ได้อีกครั้ง’
ความจริงข้อนี้ ผมเองก็เพิ่งจะได้รู้เมื่อตอนก่อนย้อนเวลากลับมายังอดีต เพราะฉะนั้นกว่าที่ผมจะยอมบอกความจริงข้อนี้ให้เด็กๆ ฟัง ผมจึงต้องพูดอย่างระมัดระวังและรอบคอบมากที่สุด
พอได้มาฟังๆ ดูแล้ว รู้สึกได้ว่าอันฮยอนอยากจะรับผิดชอบต่อการตายของชินซังยงอย่างสุดกำลัง ตอนนี้เขาจึงได้ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องใช้ความปรารถนาให้ได้ แต่พอเขาได้รับทราบความจริงข้อนั้น บางทีเขาอาจจะรู้สึกละอายต่อบาปไปชั่วชีวิต หรือไม่ก็รู้สึกเหมือนมีตราบาปอยู่ในใจไปจนวันตายก็ได้ ใครจะรู้
ไม่เพียงเท่านี้ ผมเกิดสงสัยว่า เหล่าทูตสวรรค์จะช่วยพูด อธิบายให้แต่โดยดีหรือไม่ เพราะความจริงประการนี้ช่างมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดละเอียดอ่อนต่อซีโร่โค้ดเสียเหลือเกิน
ทำไมเหล่าทูตสวรรค์จึงไม่ยอมพูดความจริงเรื่องนี้ให้ผมรู้ตั้งแต่รอบที่แรก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
ผมคิดว่า ตัวผมน่ะ สามารถกลับไปได้แน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ถามอะไรออกไป เหล่าทูตสวรรค์เองก็ไม่ยอมพูดให้ฟังด้วยว่าพวกเขารู้สึกอะไรอย่างไร
ในสถานการณ์เช่นนี้ หากผมบอกไปว่า ‘ไม่สามารถกลับไปได้’ แล้วพวกเด็กๆ จะมีปฏิกิริยาอย่างไรกันบ้าง
จนถึงตอนนี้ จริงๆ แล้วผมก็ยังเป็นเพียงแค่ผู้เล่นปีที่ศูนย์ของฮอลล์เพลนเท่านั้น แต่อย่างน้อยๆ ก็ยังพอสามารถที่จะแก้ตัวต่อไปได้ มีอยู่ช่วงหนึ่ง ผมเคยเข้าๆ ออกๆ ห้องสมุดอยู่บ่อยครั้ง เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่ล้วนถูกจดอยู่ใน ‘บันทึก’ ไว้หมดแล้ว
แต่ประโยคที่ว่า ผู้เล่นที่คืนชีพได้จากความปรารถนานั้นจะไม่สามารถกลับไปได้ ประโยคนั้นน่ะ ผมไม่เห็นว่ามันจะถูกบันทึกไว้ตรงส่วนไหนเลย อันที่จริงแล้วคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวกับ ‘การหวนคืน’ โดยตรงนั้น ถูกเผยให้เห็นกระจ่างชัดก็เมื่อตอนได้เข้าครอบครอง ‘เทร่า’ เพราะฉะนั้น หากพวกเด็กๆ ถามผมถึงแหล่งอ้างอิงความจริงดังกล่าว ผมเองก็คงต้องถึงคราวตกที่นั่งลำบากเหมือนกัน
ว่ากันตามตรง ผมก็ไม่มีความคิดที่จะช่วยให้ชินซังยงฟื้นคืนชีพแต่อย่างใด และคิดว่านี่เป็นการกระทำที่ถูกต้องดีแล้วด้วย อีกทั้งผมก็จะยังคิดเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันเปลี่ยนใจภายหลังแน่นอน
ผมเพียงแค่อนุญาตให้อันฮยอนใช้ความปรารถนาตามที่เขาต้องการ ผมวางแผนไว้ว่าจะคอยจับตา เฝ้าช่วยเหลือเขาอยู่ห่างๆ กันพอแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ผมจะปล่อยเรื่องนี้ให้เลยตามเลย แต่หากได้มีโอกาสบอกเขาล่วงหน้า ผมคิดว่า พอถึงตอนนั้นค่อยพูดให้เขาเข้าใจก็ได้ เพราะผมไม่อยากจะให้เขาต้องมาเผชิญอยู่กับความเศร้าอย่างที่ผมเคยเจอ หากอันฮยอนดันคิดเรื่องชินซังยงขึ้นมาอย่างจริงจัง
สุดท้ายคำเฉลยที่แท้จริงก็อยู่ที่ตัวเซราฟนั่นเองสินะ
ในรอบแรกผมคิดว่าอย่างไรผมก็สามารถกลับไปได้อย่างแน่นอน จึงไม่ได้ถามไถ่อะไรออกไป ส่วนเซราฟเองก็เล่าให้ฟังว่า หล่อนไม่ได้พูดเพื่อผม
แน่นอนว่า คำพูดของเซราฟนั้นไม่ได้น่าเชื่อถือเต็มร้อย แต่ผมก็รู้สึกได้ว่า อย่างน้อยเร็วๆ นี้ก็น่าจะลองไปเยี่ยมเยียน บอกกล่าวต่อหน้าแท่นบูชาดูสักครั้ง เพราะผมจะได้ตัดสินใจกับตัวเองได้เสียทีว่า สุดท้ายแล้ว ผมสามารถพูดคำตอบของหล่อนให้พวกเด็กๆ รับรู้ได้หรือไม่อย่างไร
ถ้างั้นลองไปตอนนี้เลยดีไหมนะ
จู่ๆ ความคิดดังกล่าวก็ผุดขึ้นมา ผมจึงเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างไม่มีสาเหตุ
เราคิดมากไปหรือเปล่า เวลาคงผ่านเลยไปสักระยะหนึ่งแล้ว เพราะท้องฟ้าอันแสนขุ่นมัว เริ่มบังเกิดมีแสงนวลๆ ส่องเจิดจ้าชัดเจนออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ผมจิบชาที่เริ่มจะชืดลงไปเล็กน้อยเข้าปากอีกครั้ง แล้วจึงค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นยืน
* * *
“ผู้เล่นที่เสียชีวิตแล้วครั้งหนึ่ง จะไม่สามารถฟื้นคืนชีพกลับมาเป็นผู้เล่นได้อีกครั้งค่ะ โดยท่านจะมองว่าเขาผู้นั้นเพียงแค่เกิดใหม่มาเป็นชาวเมืองก็ย่อมได้ค่ะ”
“…งั้นขอถามอีกหนึ่งคำถาม เคยมีกรณีที่ชาวเมืองเดินทางกลับไปยังโลกมนุษย์ได้ไหม”
“ไม่มีค่ะ โลกมนุษย์กับฮอลล์เพลนนั้น ถูกสร้างขึ้นด้วยความสัมพันธ์แบบทิศทางเดียว มิใช่ต่างคนต่างสร้างแยกกันเป็นสองทางค่ะ มนุษย์โลกทั่วไปนั้นสามารถเดินทางกลับไปได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่ามีช่องทางตามที่ตัวเองเคยเดินหลุดเข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง ทว่าชาวเมืองนั้นจะไม่สามารถเคลื่อนย้ายถิ่นฐานอะไรใดๆ ได้เลยตั้งแต่ต้นแล้วค่ะ”
ฮอลล์เพลน ห้องอัญเชิญ
พื้นที่โดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยความมืดหม่น ทูตสวรรค์สยายปีกสีขาวนวลอยู่บนแท่นบูชา และชายผู้หนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าทูตสวรรค์ บุคคลดังกล่าวก็คือ เซราฟกับคิมซูฮยอนนั่นเอง
“ถ้าอย่างนั้น…”
หลังจากอีกฝ่ายพูดในส่วนของตัวเองจบสิ้นแล้ว คิมซูฮยอนจึงได้เปรยประโยคข้างต้นออกมา พลางใช้สายตาจดจ้องอีกฝ่าย และเขาก็ได้เห็นว่าเซราฟกำลังพยักหน้าให้กับคำพูดของเขา
“ผู้เล่นที่ได้ฟื้นคืนชีพจากความปรารถนา อย่างไรก็จะเป็นเพียงแค่ชาวเมืองค่ะ ไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลยค่ะ”
คำตอบของเซราฟ ทำเอาในแววตาของคิมซูฮยอนเกิดการกระตุกไปชั่ววินาทีหนึ่ง
“…อย่างนั้นเหรอ”
คิมซูฮยอนตอบกลับไปด้วยท่าทีเรียบเฉย เขาถอนหายใจน้อยๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนในที่สุด สีหน้าของเขาดูเหมือนไม่ได้ตกใจอะไรมากนัก แต่หากพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้วล่ะก็ จะรู้ได้เลยว่าเขาสับสน วุ่นวายใจมากเพียงไหน
“ถ้างั้น ทำไมความจริงเรื่องนั้นถึงได้…”
คิมซูฮยอนเอื้อนเอ่ยออกมา แต่แล้วก็หยุดพูดไปอีกหนหนึ่ง คงเป็นเพราะกังวลใจกับอะไรบางอย่าง
“…”
ในระหว่างที่คิมซูฮยอนกำลังอยู่ในช่วงหนักอกหนักใจเช่นนั้น เซราฟก็ได้จดจ้องไปในแววตาของอีกฝ่าย พลางขบคิดอยู่ในหัว
ลักษณะการพูดหรือท่าทางของอีกฝ่ายที่ปฏิบัติต่อเธอนั้น ดูเย็นชาเหมือนอย่างเคยก็จริง แต่อย่างน้อย เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีเป็นภัย คิดอยากจะทำร้าย ขู่ฆ่าเธอแต่อย่างใด และเหนือสิ่งอื่นใด นัยน์ตาที่ดูเย็นชา แฝงไปด้วยความอันตรายของเขาเช่นนั้น บัดนี้กลับดูเหมือนค่อยๆ อ่อนกำลังลงเล็กน้อยแล้วด้วย
แม้เขาจะไม่ใช้สายตาอันแสนอ่อนโยนมองเธอ แต่หล่อนก็รู้สึกเบาใจ และพอใจอย่างไม่รู้สาเหตุ
“ชิ ช่างเถอะ ยังไงความจริงที่เธอพูดให้ฟัง ฉันก็ต้องเก็บเงียบเอาไว้อยู่แล้ว”
“ถ้าท่านทำได้เช่นนั้น ก็จะขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ”
คิมซูฮยอนดูเหมือนยังอยากจะถามอะไรต่อ แต่แล้วเขาก็หมุนตัวกลับไปทันที ก่อนที่จะเดินไปยังพอร์ทัลที่ส่องแสงสีน้ำเงิน อีกฝ่ายเดินทะลุเข้าไปอย่างไม่มีรีรอ เซราฟเห็นเช่นนั้น จึงถอนหายใจเบาๆ ออกมา
“…เฮ้อ”
เซราฟถูกทิ้งให้อยู่ตัวคนเดียว ณ พื้นที่อันแสนกว้างขวางแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง หล่อนหลับตาลงทันที สภาพการณ์ในขณะนี้ ดูเหมือนจะทุเลาความตึงเครียดลงไปได้พอสมควรแล้ว จึงทำให้ปีกสีขาวนวลของหล่อนคืนสภาพกลับมาเป็นดั่งเดิมอีกครั้งหนึ่ง