Memorize - เล่มที่ 20 ตอนที่ 21
ในตอนนั้น ตอนที่ผมกำลังจะก้าวออกนอกประตูไป เสียงปริศนาของใครบางคนก็ดังขึ้นมาฉุดรั้งผมไว้ ด้วยความสงสัย ผมจึงรีบหันหน้าไปมอง และแล้วก็ได้พบกับบุคคลหนึ่งที่แสนจะคุ้นหน้าคุ้นตายืนอยู่ข้างกาย
สตรีนางหนึ่งปรากฏกายขึ้นมาพร้อมบรรยากาศรอบตัวที่ดูเหมือนอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ในมือของหล่อนถือไพ่อยู่หนึ่งใบ หล่อนคือแคลนลอร์ดของเผ่าหอคอยแห่งเวทมนตร์ และยังเป็นนักมายากลไพ่ทาโร่แห่งคลาสลับอีกด้วย
ตัวตนที่แท้จริงของสตรีผู้นี้ก็คือ ซอนยูลนั่นเอง
“แคลนลอร์ดหอคอยแห่งเวทมนตร์”
“…เรียกแค่แคลนลอร์ดหอคอยก็พอได้ไหมคะ พอได้ยินว่าแคลนลอร์ดหอคอยแห่งเวทมนตร์ทีไร ฉันรู้สึกไม่สบายใจอย่างไรชอบกล”
“ได้สิครับ แคลนลอร์ดหอคอย”
“อืม ค่อยดีขึ้นมาหน่อย แต่คุณไม่จำเป็นต้องเรียกถึงขนาดนั้นก็ได้นะคะ เรียกฉันว่าซอนยูลก็พอค่ะ”
ซอนยูลเรียกร้องออกมาอีกครั้ง ด้วยสีหน้าที่ดูพึงพอใจในอะไรบางอย่างเป็นอย่างมาก แต่ผมก็ได้แค่ยักไหล่ตอบไป หล่อนเองก็ยักไหล่ตอบกลับมาเช่นกัน ดูเหมือนจะเดาได้อยู่แล้วว่าผมจะโต้ตอบกลับมาอย่างไร แล้วจึงค่อยพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉย
“กำลังยุ่งๆ อะไรอยู่หรือเปล่าคะ ฉันเรียกคุณหลายครั้งแล้ว แต่ดูเหมือนคุณจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน”
“อ้อ วันนี้ผมมีนัดสำคัญน่ะครับ เลยมัวแต่คิดนู่นคิดนี่เรื่องนัดนิดหน่อยครับ”
“เอ๋? มีนัดหรือคะ”
พอหล่อนได้ยินคำว่านัดสำคัญก็เบิกตาโพลงขึ้นมาทันที ผมเห็นเช่นนั้นก็เกิดกังวลใจขึ้นมาว่ามันเป็นเรื่องแปลกอะไรกัน และวินาทีนั้น หล่อนก็พูดออกมาด้วยสีหน้าเสียดายเล็กๆ ว่า
“อย่างนี้นี่เอง ไม่นึกเลยว่าคุณจะมีนัดอยู่แล้ว”
“ครับ?”
“อ้า ก็เมื่อก่อนหน้านี้ คุณขอร้องอะไรบางอย่างกับฉันไม่ใช่เหรอคะ ฉันเลยตั้งใจจะมาขอให้คุณเลี้ยงข้าวเสียหน่อย”
“ขอร้อง…? อ๋อ”
พอได้ยินคำว่า ขอร้อง ผมก็รู้สึกแปลกๆ ไม่คุ้นหูเสียเท่าใดนัก แต่แล้วก็เข้าใจได้ในทันที
เมื่อก่อนหน้านี้ ผมคิดว่ามีสิ่งของสิ่งหนึ่งที่จำเป็นจะต้องมีมาครอบครองเอาเสียมากๆ จึงได้เริ่มสืบเสาะหาสิ่งของชิ้นนั้น ทว่ามันกลับกลายเป็นของที่หายากเอาเรื่อง อีกทั้งยังไม่สามารถหาได้อย่างง่ายดาย แต่แล้วก็ได้ทราบผ่านโกยอนจูว่า มีเผ่าหนึ่งได้ครอบครองเจ้าสิ่งของชิ้นนั้นอยู่ ผมจึงได้เข้าไปเจรจาตกลงกับเผ่านั้น จนสุดท้ายก็สามารถครอบครองสิ่งของชิ้นนั้นมาได้อย่างลำบากยากเย็น
และเผ่าที่ได้ครอบครองสิ่งของชิ้นดังกล่าวที่ว่านั่นก็คือ เผ่าหอคอยแห่งเวทมนตร์ที่ซอนยูลเป็นแคลนลอร์ดนั่นเอง
“ของชิ้นนั้นไม่ค่อยสำคัญสำหรับพวกเราเท่าไหร่นัก… ก็เลยให้ในราคาถูกกว่าเดิมได้…”
“ฮ่าๆ”
หล่อนเอาแต่บ่นพึมพำไม่หยุดหย่อน ผมได้แต่หัวเราะอย่างอายๆ ไปเท่านั้น ซอนยูลเห็นดังนั้นจึงเดาะลิ้น พลางทำหน้าไม่พอใจเท่าไหร่นัก
“มีเรื่องราวนู่นนี่มากมายที่ฉันอยากจะฟังแท้ๆ แต่… ช่างเถอะค่ะ คุณมีนัดสำคัญล่วงหน้าไว้แล้วนี่นา ฉันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”
“ขอโทษครับ นัดสำคัญจริงๆ ครับผม ยังไงคราวหน้าผมจะเชิญคุณเองครับ”
ผมรู้สึกขอโทษหล่อนนิดหน่อย ซึ่งมันก็น้อยมากจริงๆ ก่อนที่จะพูดออกไปว่า คราวหน้าจะเชิญหล่อนไปก่อน พอซอนยูลได้ยินเช่นนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าไปโดยปริยาย
“อ๋อ อย่างนั้นเหรอคะ”
“…ครับ”
“เชิญฉันก่อนงั้นเหรอ อืม…อื้ม โอเคค่ะ แบบนั้นก็ดีสิคะ โบราณเขาว่า ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้นนี่เนอะ ฉันจะรอวันนั้นนะคะ”
ช่างเป็นผู้หญิงที่พูดฟังไม่รู้เรื่องจริงๆ แฮะ
ผมคิดขึ้นมาได้ว่า การยืนประจันหน้ากับหล่อนเช่นนี้ ช่างสูบพลังชีวิตมากเสียจริง จึงได้แต่ส่ายหัวไปมาอยู่ในอก และแล้วผมก็ได้ยินน้ำเสียงอันแสนมีเสน่ห์ดังแว่วเข้ามาในหูอีกครั้ง
“งั้นก็ไว้เท่านี้นะคะ อย่างไรก็อย่าให้สุภาพสตรีอย่างฉันคอยนานล่ะ”
“ผมเองก็ต้องขอตัวเช่นกันครับ”
ภายนอกผมดูร่ำลาหล่อนอย่างสุภาพนอบน้อมมาก แต่ภายในนี่สิ ได้แต่หัวเราะเหอะ ยิ้มกระหย่องอยู่ในใจ
สุภาพสตรีงั้นหรือ ชื่อเสียงเรียงนามของซอนยูลน่ะ แท้จริงแล้วคือ นางผู้หญิงเจ้าเล่ห์ จอมดื้อเงียบไม่ใช่หรอกหรือ
หากเป็นผม ผู้ซึ่งสามารถดูข้อมูลผู้เล่นได้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่มีวันพูดเช่นนั้น ไม่มีวันพูดเพื่อให้ตัวเองเกิดรู้สึกละอายใจเป็นแน่
หลังจากปลีกตัวออกมาจากซอนยูลได้สำเร็จ ผมก็เดินออกมานอกอาคาร พอเดินมาจนถึงประตูทางออก ผมก็ได้พบเข้ากับพี่ชายที่กำลังโบกมือเรียกผม ผมเห็นดังนั้นจึงส่งยิ้มน้อยๆ ไปให้ แล้วจึงสาวเท้าเข้าไปหาเขา
จริงๆ แล้ว พี่ชายผม ไม่สิ เผ่าแฮมิลจะต้องถูกส่งตัวกลับไปยังศูนย์บัญชาการเดิมเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้ว การถอนกำลังพลในสงครามระหว่างทหารพันธมิตรนั้น ไม่ได้ส่งผลร้ายแรงเท่าไหร่นัก หลังจากนั้นเขาจึงได้ซ่อมแซม ฟื้นฟูกำลังสักเล็กน้อย แล้วจึงได้เข้าร่วมกับหน่วยสร้างวงล้อมป้องกัน
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สัญญาที่นัดแนะกันไว้ตั้งแต่ช่วงสงครามนั้น จำต้องเลื่อนออกไปอย่างไร้กำหนด แล้วหลังจากที่พี่ชายเดินทางกลับมานั่นเอง ผมก็ได้ส่งข่าวคราวไปตามสัญญา แม้ธุระที่ว่าจะเป็นเพียงแค่ ‘มากินข้าวกันสักหน่อยเถอะ’ แต่พี่ผมน่ะ ดูอย่างไรก็รู้แล้วว่าเขากำลังคอยให้ผมส่งข่าวไปบอกเขาก่อน
‘ฉันจะรอการติดต่อจากนายนะ ถ้าจัดการกับตัวเองได้แล้ว ก็ช่วยติดต่อมาหาฉันก่อนด้วยล่ะ ฉันจะรอนายเสมอ’
ก่อนที่เราจะได้แยกจากกันที่วาร์ปเกตแห่งนั้น เขาพูดกับผมไว้แบบนั้นนี่นา
“นึกว่าออกมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วเสียอีก ช้าจังเลยนะ”
“พอดีเจอคนที่ไม่คิดว่าตัวเองจะเจอเข้าให้น่ะ”
“เอ๊ะ? ใครกัน”
“มีอยู่แล้ว ก็คนแบบนั้นไง”
พี่ชายผมเป็นคนประเภทหวั่นไหวเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเพศตรงข้ามเป็นอย่างมาก ผมจึงแกล้งยิ้มเจื่อนๆ พลางพูดตอบกำกวมกลับไป
หลังจากนั้นผมกับพี่ชายก็เดินออกมาจากประตูทางออก แล้วค่อยเริ่มเดินเคียงข้างกันอีกครั้ง แม้ผมจะชวนเขาไปกินของอร่อยๆ ก็จริง แต่ตอนนี้กลับเดินไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ตัดสินใจแน่ชัดว่าจะไปที่แห่งใดกันแน่ แต่กระนั้นผมกับพี่ชายก็ยังเดินต่อไปเรื่อยๆ เราสองคนก้าวเท้าออกไปในทิศทางเดียวกัน การกระทำเช่นนี้กำลังแสดงให้ผมได้รู้ว่าพี่ชายกำลังคิดเช่นเดียวกันกับผมอยู่
ในระหว่างที่เรากำลังเดินทางไปยังวาร์ปเกตอยู่นั้นเอง ผมก็ได้จมอยู่กับห้วงความคิดตัวเองไปครู่หนึ่ง
ต้องบอกกับเขาอย่างไรดีเนี่ย
จริงๆ แล้ว เรื่องที่ผมกำลังจะพูดออกไปต่อจากนี้ มันถือว่าเป็นข้อมูลที่เรียกได้ว่าลับสุดยอดเลยทีเดียว แน่นอนว่าผมเชื่อมั่นในตัวพี่ชายผม และพี่ชายผมก็เชื่อในตัวผมเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นผมจึงพูดออกไปได้อย่างมั่นอกมั่นใจ
ทว่าหากจะมีปัญหาใดปัญหาหนึ่ง เห็นทีก็คงจะเป็นเรื่องราวที่ผมกำลังพูดเนี่ยแหละ มันช่างมีมากมายจนพูดไม่หวาดไม่ไหวกันเลยทีเดียว ชีวิตของผมดำเนินมาเรื่อยๆ จนได้เผชิญกับช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ แต่ตอนนี้ผมกลับไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเริ่มบอกเรื่องราวเหล่านี้กับเขาอย่างไรดี
“…”
“…”
ผมกับพี่ชายเดินมาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ถึงวาร์ปเกต เราสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยระหว่างนั้น นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดจริงๆ ทว่าผมก็เข้าใจพี่เขาอยู่ดี อย่างที่ผมเคยว่าไว้เมื่อครั้งก่อน พี่ชายผมน่ะ กำลังรอให้ผมเป็นคนเริ่มพูดก่อน
จู่ๆ ผมก็รู้สึกเครียดขึ้นมากะทันหัน จึงได้กัดริมฝีปากตัวเองเสียแน่น และในตอนนั้นเองที่พี่ชายได้หันกลับมามองผม
“ไปโมนิก้า? หรือพรินสิก้า?”
“…พรินสิก้า”
“พรินสิก้าเหรอ ฉันอยากจะลองไปแคลนเฮาส์ของนายดูสักครั้งแท้ๆ เชียว”
“เรื่องแคลนเฮาส์เมอร์เซนต์นารี่น่ะ ไว้คราวหลังเถอะ พอดีที่พรินสิก้ามีที่ที่ผมอยากจะไปให้ได้อยู่น่ะ”
“หืม…อย่างนี้นี่เอง”
พี่ชายพยักหน้าให้ผมอยู่ครั้งสองครั้ง ก่อนที่จะหันกลับไปมองข้างหน้าเหมือนเดิม
ไม่รู้ว่าอาจเป็นเพราะช่วงกลางวันหรือเปล่า จึงทำให้ผู้คนดูบางตาผิดหูผิดตา เหล่าผู้เล่นที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเราในขณะนี้ ทั้งหมดมีเพียงแค่สามสี่คนเท่านั้นเอง
“ลำดับถัดไป เชิญเข้ามาได้เลยครับ”
หลังจากนั้นก็ถึงคิวของพวกเราจนได้ ผมกับพี่ชายก็ยังนิ่งเงียบเหมือนเดิม ต่างคนต่างเดินเข้าไปยังพอร์ทัล
บรรยากาศรอบข้างเริ่มเงียบสงัดอีกครั้งหนึ่ง แม้ผมจะไม่ได้รู้สึกไม่สบายใจหรือเคอะเขิน แต่สุดท้ายก็ดันเกิดรู้สึกอึดอัดขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
วินาทีนั้น ผมจึงวางมือลงบนแผ่นอกของตัวเองโดยอัตโนมัติ
ในอกของผมตอนนี้มี ‘คริสตัลแห่งความสัตย์จริง’ ที่ได้มาจากเผ่าหอคอยแห่งเวทมนตร์ ต่อให้ผมจะคิดว่ามันเป็นเพียงของที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรมาก แต่ก็ถือเป็นของชิ้นหนึ่งที่ผมตระเตรียมเผื่อมาด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นหลักประกันอะไรบางอย่างให้กับตัวเอง
ผมทาบมือลงบนแผ่นอกของตัวเอง พลางรู้สึกได้ถึงคริสตัลลูกกลมที่นูนออกมาจากเสื้อ และคิดต่อไปว่า เราได้ตัดสินใจไปแล้ว เมื่อครั้งนั้น ครั้งที่ผมได้ร้องขอให้ ‘เทพเจ้าสายฟ้า’ แผลงฤทธิ์เดชออกมา มันช่างเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก บอกไม่ถูกเสียจริง
โอเค ตอนนี้แหละที่เราต้องพูดออกไปได้แล้ว ไม่สิๆ อารมณ์มันยังไม่ได้
หลังจากนั้น พวกเราก็เดินขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ และเมื่อเดินทางมาอยู่ตรงหน้าพอร์ทัลได้สำเร็จ ผมก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง พลางเอื้อนเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงอันแสนแผ่วเบาว่า
“พี่”
“สองคนครับ ไปพรินสิก้า… หืม? ทำไมเหรอ”
“ผม…มีเรื่องจะบอกกับพี่”
“…”
อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ท่าทางเหมือนเขาได้คาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้ว พี่ชายค่อยๆ หันกลับมามองผมอย่างช้าๆ ก่อนที่จะส่งรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นกลับมาให้
เวลาล่วงผ่านไประยะหนึ่ง และแล้วพี่เขาก็ตอบกลับมา ราวกับว่าเขากำลังรอคำนี้จากผมอยู่พอดีเลย
“โอเค”