Memorize - เล่มที่ 20 ตอนที่ 22
แสงแดดเลือนรางลอดผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบกาย อาการแบบนี้เรียกว่า กำลังกรึ่มๆ หรือเปล่านะ ดวงอาทิตย์ยังคงลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าแท้ๆ แต่สายตาผมช่างพร่ามัวเสียเหลือเกิน ทัศนวิสัยในขณะนี้ช่างเลือนรางอย่างบอกไม่ถูก ผมจึงกะพริบตาอยู่ครั้งสองครั้ง แล้วจึงเริ่มเห็นอะไรต่อมิอะไรชัดเจนมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดก็ได้เห็นภาพของห้องรกๆ ห้องหนึ่งปรากฏอยู่เต็มสองตา
ขวดเปล่ากลิ้งเกลือกไปทั่วทุกมุมห้อง กับแกล้มเหล้าที่อยู่ในจาน บัดนี้กลับกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดไปทั่วทุกสารทิศ เหล้าไหลออกมาจากปากขวด ทำเอาพื้นห้องที่ปูทับไปด้วยผ้าเปียกซก แถมยังเหนียวเหนอะหนะอีกต่างหาก
พูดง่ายๆ ก็คือ สภาพห้องเละเทะมาก ปกติแล้ว ผมกับพี่ชายเป็นคนรักสะอาดในระดับหนึ่งก็ว่าได้ หากผมได้มาเห็นสภาพห้องเช่นนี้ในยามปกติสุขล่ะก็ ผมไม่มีทางปล่อยให้มันเละเทะสกปรกมากถึงขั้นนี้เป็นแน่
ถ้าพี่จินฮาเห็นเข้า คงจะรับไม่ได้แน่ๆ
พี่จินฮาที่ส่งสายตาเหมือนจะล้อเลียนว่า ‘คุณหนู คุณหนู’ แม้กระทั่งในตอนที่ส่งกับแกล้มให้ หากได้มาเห็นสภาพห้องจะพูดอะไรออกมากันนะ อ้า บางทีเห็นแล้วอาจจะยังยิ้มเหมือนเดิมก็ได้ ฮ่าๆ
ความคิดอันหาสาระไม่ได้โผล่ขึ้นมาทันควัน ส่วนตัวผมก็ได้แต่หัวเราะอยู่ในใจเงียบๆ ก่อนที่จะค่อยๆ ถอนหายใจออกมา ผมนั่งเหม่อมองไปสักพัก แล้วจึงอ้าปากหวอ พร้อมรับอากาศเข้าไปใหม่ และแล้วก็ได้ยินเสียงหวานๆ เสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามาในหู
“เหนื่อยไหม”
เขาอาจจะคิดว่าผมหาว ผมจึงหุบปากฉับเหมือนเดิม แล้วจึงหันไปมองข้างกาย เห็นสีหน้าอันแสนสดใสของพี่ชายอยู่เต็มสองตา พี่กำลังนั่งคู้ตัวอยู่บนเตียงพลางจ้องมองมาที่ผม ในมือของเขาถือขวดเหล้าที่ใกล้จะหมดเต็มที
พอได้มาลองคิด ๆ ดูแล้ว ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า บางทีพี่เขาคงจะคอแข็ง ดื่มเหล้าเก่งกว่าผม ไม่ว่าจะโลกปัจจุบันหรือฮอลล์เพลนก็ยังคอแข็งกว่าผมอยู่ดี
“ถ้าเหนื่อยก็นอนพักสักนิดสักหน่อยสิ ห้องมันว่างพอดีนี่นา”
พี่ชายเอ่ยปากออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วช่างเห็นอกเห็นใจผมเสียเหลือเกิน ผมได้ยินแบบนั้นจึงส่ายหน้าน้อยๆ ให้เป็นการปฏิเสธ
“ผมไม่ได้เมา”
“รู้น่า ฉันไม่ได้ถามว่านายเมาไม่เมา ฉันถามว่าเหนื่อยหรือเปล่าต่างหาก”
“พี่นี่นะ”
ผมมองพี่ชายตัวเองที่กำลังหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะรู้สึกเหมือนคอแห้งขึ้นมา จึงหันกลับไปมองตรงเบื้องหน้าตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ยื่นแขนไปหยิบขวดเหล้าที่ยังไม่ได้เปิดฝา
ผมค่อยๆ บิดเกลียวฝาขวดออกช้าๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นบางอย่างสัมผัสอยู่ตรงแผ่นหลัง
“นี่ ว่าแต่ทำไมถึงชวนมาที่นี่ล่ะ ถึงจะกินเหล้าด้วยกันก็เถอะนะ… หรือที่ที่นายบอกอยากมาก็คือที่นี่งั้นเหรอ”
“ก็แค่สถานที่หนึ่งที่ได้มานั่งคิดเรื่องเก่าๆ ได้เยอะน่ะ”
“คิดเรื่องเก่าๆ?”
“…จำตอนที่อยู่โลกปัจจุบันได้หรือเปล่า”
ผมเปลี่ยนเรื่องคุยไปเสียดื้อๆ และแน่นอนว่าพี่ชายคนเก่งฉลาดเป็นกรดของผมก็เข้าใจในจุดประสงค์ของการเปลี่ยนเรื่องครั้งนี้ดีเสียด้วย
“โลกปัจจุบัน? เรื่องอะไรล่ะ”
“ก็จำได้ว่าเมื่อก่อนนู้น ผมกับพี่เคยติดหนังอเมริกากันงอมแงมเลยนี่นา ตอนนั้นพวกเราก็เลยตกแต่งห้องให้เหมือนกับเป็นโรงหนังเสียเลย”
“อ้อ จำได้ล่ะ ใช่เรื่อง ‘ทฤษฎีวุ่นหัวใจ[1]’ ฮ่าๆ ตอนนั้นยุ่งวุ่นวายไม่น้อยเลยนะ”
“ผมสนุกมากเลยนะ อุตส่าห์ลงทุนไปหาถังป๊อบคอร์นมาใบ แล้วจัดการใส่ขนมเสียท่วม ไม่ก็นอนเลื้อยเป็นงูอยู่หน้าจอ…”
“ตอนนั้นนายทำจอหล่นแตกด้วยนี่”
ด้วยความที่ผมนั่งหันหลังให้จึงไม่ได้เห็นสีหน้าจริงๆ ของพี่ชาย ทว่าผมรู้สึกได้ถึงแรงสั่นน้อยๆ บริเวณหัวไหล่ แล้วก็รู้ได้ทันทีเลยว่าพี่ชายผมกำลังหัวเราะคิกคักอยู่แน่นอน ผมเองก็พลอยหัวเราะเบาๆ กับเขาไปด้วย หลังจากนั้นจึงค่อยยกขวดเหล้าขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง ก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง หลังจากเช็ดปากตัวเองเสร็จ
“ดูกันถึงซีซั่นสี่ใช่ไหม ตอนนี้มีออกมาจนถึงเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้”
“เขาก็ต้องออกมาเรื่อยๆ อยู่แล้วสิ ถ้าพวกเราได้กลับไป มีหวังได้ดูกันเต็มอิ่มแน่…ยังไงก็เหอะ เหตุผลของนายก็คือเรื่องนี้น่ะเหรอ”
“ฮะ? อะไร”
“ก็เห็นเลือกห้องนี้ให้เป็นที่ที่ตัวเองอยากจะมานี่นา เกิดคิดถึงบ้านที่ตัวเองอยู่ตอนอยู่ในโลกปัจจุบันหรือไง”
พี่ชายหยุดพูดไปชั่วขณะหนึ่ง พลางกวาดสายตามองรอบๆ ห้อง หลังจากนั้นเขาจึงพูดต่อออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“จริงๆ ก็ไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่นะ”
ในตอนนั้นเอง
“…เปล่า ไม่ใช่เหตุผลนั้นหรอก”
จู่ๆ หัวผมก็ว่างเปล่าขึ้นมากะทันหัน กะทันหันจริงๆ แล้วจึงเหลือบตาไปมองพื้นผนังเรียบๆ ตรงหน้า พลางพูดออกมาด้วยอาการเหมือนคนที่กำลังลุ่มหลงอยู่กับอะไรบางอย่าง
“ที่นี่…”
“อืม”
“เป็นหอพักที่ผมเคยอยู่ เมื่อครั้งยังเป็นสมาชิกเผ่าแฮมิล”
“…หืม?”
“ตอนนี้ก็เกือบจะครบหนึ่งปีเต็มแล้ว… ผมเข้ามาอยู่ในเผ่าแฮมิลตั้งแต่เมื่อเก้าปีก่อนเลยนะเนี่ย”
“ซูฮยอน?”
ผมรู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่ท้ายทอย ตอนนี้ดูเหมือนพี่จะพอรู้ถึงสัญญาณอะไรแปลกๆ ได้แล้วล่ะ
“เรื่องนั้นหมายความ…”
“พี่”
แต่แล้วผมก็พูดตัดบทเขาไปเสียดื้อๆ ผมหันหลังกลับไปมอง แล้วก็ได้เห็นว่าพี่เขากำลังมองผมด้วยแววตาสงสัยอย่างเต็มเปี่ยม เราสองคนใกล้ชิดมากเสียจนมองเห็นใบหน้าของตัวเองสะท้อนอยู่ในนัยน์ตาของกันและกัน
“พี่กำลังคิดว่ามันมีอะไรแปลกๆ ไปใช่ไหมล่ะ ผมรู้อยู่แล้วล่ะน่า เพราะงั้นก็อย่าขัด ช่วยฟังสักหน่อยเถอะ”
“นาย…”
“ขอร้องล่ะนะ ขอร้องเลย”
“…”
พี่ชายไม่ตอบอะไรกลับมา
ผมไม่กล้าที่จะสบตาคู่นั้นได้อีกต่อไป จึงได้หันกลับไปจดจ้องผนังที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งหนึ่ง
“…”
“…”
และแล้วก็เกิดความเงียบชวนน่าอึดอัดใจขึ้นมาเสียได้ ผมค่อยๆ วิเคราะห์ความเงียบสงัดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ก่อนที่จะคิดอะไรบางอย่างออกมาได้ทันที ความคิดที่ว่านั่นก็คือ ผมต้องพูดมันออกไปให้ได้ ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งลังเลใจอีกต่อไปแล้ว
“งั้นจะเริ่มแล้วนะ”
เอาล่ะ ไม่จำเป็นต้องรอให้พี่เขาตอบกลับมาแล้ว
ผมตัดสินใจปุบปับออกมาทันที ก่อนที่จะเริ่มเปิดประเด็นพูดออกมาในที่สุด
“มีชายหนุ่มคนหนึ่ง เจ้าหนุ่มคนนั้นโคตรบ้า พอปลดประจำการจากทหารก็นั่งรถไฟโดยสารกลับมา จู่ๆ ก็เผลอหลับไปเสียได้”
เรื่องที่ผมกำลังจะเล่าต่อจากนี้ไป คือเรื่องราวก่อนที่ผมจะได้เข้ามาในฮอลล์เพลน เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน
“พอตื่น ลืมตาขึ้นมา เจ้าหนุ่มคนนั้นก็ได้รู้ความจริงเข้าให้ว่า ตัวเองได้เข้ามาอยู่ในสถานที่แปลกๆ เขาต้องเข้ารับบททดสอบที่ชื่อว่า ‘พิธีเปลี่ยนสภาวะ’ จนแทบไม่มีเวลาจะมานั่งวิเคราะห์สถานการณ์ใดๆ เลย แถมตอนนั้นยังได้เจอเข้ากับสัตว์ประหลาดที่เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเห็น ได้แต่วิ่งหนีเอาเป็นเอาตายอยู่ท่าเดียว เขาใช้ชีวิตลำบากมาจนครบเจ็ดวัน หลังจากนั้นเขาก็ได้รับคุณสมบัติอะไรบางอย่าง จนสุดท้ายก็ได้เข้ามายังสถานที่ที่ชื่อว่า ‘ฮอลล์เพลน’ ทุกอย่างมันช่างแตกต่างกับที่เขาคาดหวังไว้โดยสิ้นเชิงเลยล่ะ”
มือที่ยื่นเข้ามาสัมผัสแผ่นหลังนั้น จู่ๆ ก็ผละออกไปชั่วขณะหนึ่ง แต่แล้วก็ยื่นกลับมาสัมผัสเหมือนเดิม ความอบอุ่นที่แฝงอยู่ในนั้นพลอยทำให้ผมรู้สึกสงบใจขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ สุดท้ายจึงตัดสินใจออกมาว่า
ตอนนี้จะเริ่มพูดบทสรุปแล้วนะ เผื่อตัวเองทนเล่าช่วงกลางเรื่องไม่ไหว จนสุดท้ายประโยค ‘จริงๆ แล้วผมล้อเล่นน่ะ’ จะออกมาเสียก่อน เราต้องรีบชิงขีดเส้นตายเสียแต่เนิ่นๆ
“และหลังจากนั้น ผ่านมาได้สิบปี เจ้าหนุ่ม…ไม่สิ ผู้ชายคนนั้นก็สามารถไต่เต้าขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของฮอลล์เพลนจนได้ ปลายทางของมันสลับซับซ้อนเอาเรื่อง จนไม่สามารถคิดไตร่ตรองอะไรได้เลยล่ะ ด้วยความที่เขาเดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางที่ว่าแล้ว เขาจึงได้รับคุณสมบัติให้สามารถกลับไปยังโลกมนุษย์เหมือนเดิมได้อีกครั้ง”
“…”
“แต่ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ยอมกลับไปโลกมนุษย์เหมือนเดิม ไม่สิๆ ตัวเองกำลังจะได้กลับไปโลกมนุษย์แล้วแท้ๆ แต่แล้วเขาก็ขอย้อนเวลา เลือกที่จะกลับมาอยู่ในสมัยที่ตัวเขาได้เข้ามายังฮอลล์เพลนเมื่อครั้งแรกๆ เพราะอะไรน่ะเหรอ… เพราะชายคนนั้นมีเป้าหมายหนึ่งอยู่น่ะสิ”
“…”
“ผู้ชายคนนั้นคือผมเอง”
ผมพูดต่อไปโดยไม่เว้นช่องว่างเผื่อให้ตัวเองเปลี่ยนใจ
พอเล่ามาเรื่อยๆ จนถึงบทสรุปสุดท้ายได้สำเร็จ ผมก็ได้รู้ว่าตัวเองใจเต้นแรงมากๆ ผมค่อยๆ นั่งกอดเข่าตัวเอง พร้อมกันนั้นก็รู้สึกได้ถึงอาการสะดุ้งของอีกฝ่าย ความรู้สึกตกอกตกใจที่เกิดขึ้นมากะทันหันถูกสื่อสารออกมาให้ผมได้รับรู้
ผมจึงค่อยๆ หันหลังไปมองอย่างเฉยชา
สีหน้าของพี่ชายดูไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ เขากำลังจดจ้องมาที่ผม แต่กระนั้นผมก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้อยู่ดีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ผมสบตาอีกฝ่ายพักหนึ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงการสั่นไหวน้อยๆ ที่ปรากฏอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย พร้อมกันนั้น พี่ชายก็ค่อยๆ ปริปากพูดออกมาว่า
“ซูฮยอน พี่น่ะ… ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่านายกำลังจะบอกอะไรกันแน่ ไม่เข้าใจแต่แรกเลย”
วินาทีที่ผมได้ยินประโยคนั้น ผมจึงหลับตาลง
แหงอยู่แล้ว แม้แต่ตัวผมเองก็ยังคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเป็นไปได้เลย แต่…ทำไมผมถึงรู้สึกเพลียๆ ขึ้นมาเสียล่ะ
ในตอนนั้นเอง
“เพราะงั้น…”
ผมรู้ดีว่าพี่ยังพูดไม่จบ แล้วจู่ๆ ตอนนั้นผมก็เผลอลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่รู้ตัว
“ช่วยเล่าให้ละเอียดกว่าเมื่อกี้สักหน่อยเถอะ แค่หน่อยเดียวก็ได้”
[1] ทฤษฎีวุ่นหัวใจ หรือ The Big Bang Theory