Memorize - เล่มที่ 20 ตอนที่ 23
ประโยคดังกล่าวถูกเอื้อนเอ่ยออกมาช้าๆ ผมได้ยินเช่นนั้นจึงได้กะพริบตาอยู่ครั้งสองครั้ง
โอเค อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด พี่ไม่ได้ตอบกลับมาว่า นายพูดอะไรของนาย แต่เขาขอให้ผมเล่าให้ฟังใหม่อีกครั้ง นี่แหละคือหลักฐานชั้นดีที่กำลังบอกว่า คำทุกคำที่ผมพูด ล้วนแล้วแต่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือทั้งสิ้น ถึงจะไม่ถึงขั้นเชื่อเต็มร้อย แต่อย่างน้อยท่าทีแบบนี้ของพี่ทำให้ผมอุ่นใจขึ้นมาบ้าง
ผมยังคงกะพริบตาต่อไปเรื่อยๆ ก่อนจะเม้มริมฝีปากที่สั่นเทาเอาไว้ พลางพยักหน้าตอบรับอีกฝ่ายอย่างช้าๆ
และแล้วผมก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงอันแสนแผ่วเบา
“…ผมก็เลยตัดสินใจ ผมไม่อยากจะกลับโลกมนุษย์ไปตัวคนเดียว ก็เลยจะเริ่มใหม่ตั้งแต่แรกอีกครั้ง จะเปลี่ยนแปลงอดีต จะช่วยทุกคน จะกลับไปพร้อมกับทุกคนให้ได้”
หลังจากที่ผมพูดประโยคสุดท้ายออกไปจนหมด ผมก็ค่อยๆ เบนสายตาจากที่เอาแต่มองพื้นตลอด เหลือบขึ้นไปจ้องหน้าต่างแทน
ตอนที่พวกเราเดินทางมาถึงแรกๆ แสงแดดยังส่องประกายอยู่เลย แต่แล้วจู่ๆ พระอาทิตย์ก็แปรเปลี่ยนเป็นสีส้มเข้มไปเสียได้ ผมนั่งมองแสงอัสดงที่ส่องเลือนรางอยู่บนพื้นห้อง พลางถอนหายใจเบาๆ
แค่คำเดียวเท่านั้น แค่คำเดียวเท่านั้นจริงๆ
เพียงแค่พี่ขอร้องให้เล่าอย่างละเอียด เพียงแค่นั้นที่ทำให้ผมสามารถรวบรวมความกล้าขึ้นมาได้ และเปิดเผยทุกเรื่องราวที่เคยเผชิญมาตลอดระหว่างนั้น
ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ ผมก็ไม่ได้เล่ารายละเอียดปลีกย่อยทุกอย่างให้เขาฟังจนหมดเปลือก ส่วนไหนที่พูดแล้วตัวเองจะรู้สึกขัดเขิน เช่น เรื่องการสังหาร, การจี้ปล้น ผมก็พยายามตัดออกไปให้ได้มากที่สุด แล้วจึงค่อยๆ พูดไหลไปตามเนื้อเรื่องหลักเรื่อยๆ จนจบ
ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นเองก็มีมากมาย ถึงขนาดให้พูดหมดคงไม่ไหวแน่ เรื่องราวเหล่านั้นได้เข้าไปปั่นหัวสมอง ให้พี่ชายผมได้ใช้ความคิดกับเขาบ้าง แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับผมแล้วล่ะ ไม่สิ ผมคงจะพูดสรุปรวบรัดมากเกินไป จนทำให้เขาคิดว่ามีบางส่วนที่ผมอธิบายไม่ละเอียดพอก็ได้เช่นกัน
แต่มันเป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ในช่วงเวลาสิบปีอันแสนยากลำบากนั้น เรื่องราวแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ช่างเป็นเรื่องที่รับมือยากเกินทน
ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้พัก เอาแต่เล่านู่นนี่แท้ๆ แต่กระนั้นพี่ชายก็ยังคงรับฟังคำพูดผมอย่างดีเหมือนเดิม บางช่วงบางตอนอาจจะขัดขึ้นมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการบาดเจ็บของผมทั้งนั้น
ยกตัวอย่าง เมื่อตอนที่ผมเล่าว่าตัวเองโดนเบลเฟกอร์แทงเข้าที่ท้อง พี่เขาก็จะขัดขึ้นมาว่า ‘อะไรนะ’ พูดขัดขึ้นมาด้วยความโมโหจัดด้วย
อย่างไรก็ตาม ผมก็คิดว่าตัวเองได้เล่าหมดทุกอย่างเท่าที่ตัวเองจะเล่าให้คนคนหนึ่งฟังได้แล้วล่ะ
เรื่องเล่าทุกอย่างจบลงเพียงเท่านั้น และในที่สุด พี่ชายของผมก็ได้เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นครั้งแรก
“…อย่างนี้นี่เอง เรื่องราวมันเป็นแบบนี้เองสินะ”
หลังจากนั้นพี่เขาก็ใช้มือเคาะพื้น จนเกิดเสียงกึกๆ ดังขึ้นมา การกระทำเช่นนั้นเป็นการกระทำที่ทั้งผมและพี่ชายมักจะทำตอนที่หัวสมองปั่นป่วน ทำจนติดเป็นนิสัยเลยก็ว่าได้
สีหน้าของพี่เขาดูสงบเสงี่ยมกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก แต่ว่ากันตามตรง ดูเหมือนเขาพยายามตีท่าวางเฉยเสียมากกว่าล่ะมั้ง อย่างไรก็เถอะ มีความจริงหลายประการที่ผมเล่าข้ามไปบ้างบางช่วง และนั่นคงทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนอยู่ในหัวสมองเป็นแน่
ผมมองพี่เขาอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดออกไปประโยคหนึ่งว่า
“ไม่เป็นไรหรอก อยากพูดอะไรก็พูดมา”
“…ไม่รู้สิ ทำไมจู่ๆ นายถึงเล่าเรื่องพวกนี้ออกมาล่ะ… สิ่งที่นายเล่ามา มันฟังดูยิ่งใหญ่เกินจะรับมือได้”
พี่เขาตอบกลับมาเช่นนั้น
“เฮ้อ…”
ผมถอนหายใจออกไปแรงๆ และวินาทีนั้นการเคลื่อนไหวของนิ้วชี้ก็ชะงักลง
“ซูฮยอน ฉันได้ฟังเรื่องราวของนายหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี แต่เรื่องราวก่อนที่นายจะเข้ามาน่ะ… เรื่องราวหลายอย่างที่ฉันไม่เคยเล่าให้นายฟัง นายก็รู้ เรื่องที่ฉันทำทุกอย่างหลังจากที่นายก้าวเข้ามาที่นี่ก็ด้วย พอมาคิดๆ เรื่องพวกนี้ดูแล้ว ที่นายพูดมามันถูกต้องเป๊ะๆ ตามสถานการณ์เลยล่ะ”
“ตามสถานการณ์เหรอ…”
“ไม่ใช่ฉันไม่เชื่อนายนะ”
พี่เขาพูดตัดบทขึ้นมาทันที
“แต่…”
แต่แล้วดูเหมือนเขาจะกำลังลังเลใจอะไรบางอย่าง จึงไม่ยอมพูดออกมา
จู่ๆ ผมก็รู้สึกคอแห้งขึ้นมา จึงได้หยิบขวดเหล้าที่ถูกย้อมไปด้วยแสงยามอัสดง กระดกเข้าปากทันที ของเหลวที่ไหลรินเข้าสู่ปากนั้น ช่วยทำให้ลำคอสดชื่นขึ้นมาก็จริง ทว่าผมก็ยังกระหายน้ำอยู่เหมือนเดิม ราวกับทุ่งนาหน้าแล้ง
ผมมองขวดเหล้าเปล่าไร้ซึ่งของเหลวบรรจุอยู่ในนั้น ก่อนที่จะพูดออกมาในที่สุด
“แต่อะไร?”
พี่ชายผมกำลังก้มมองลงพื้นด้วยแววตาอันแสนโดดเดี่ยว อ้างว้างผิดปกติ ดวงหน้าอาบย้อมไปด้วยแสงจากพระอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า หน้าดูแดงก่ำผิดหูผิดตา
เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง และแล้วพี่เขาจึงพูดออกมาว่า
“ไม่รู้สิ ตั้งแต่ได้ยินนายเล่าว่า นายได้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ฉันก็รู้สึกตื้อๆ ตันๆ เหมือนหายใจไม่ค่อยจะออกอยู่ตลอดเวลาเลยล่ะ ส่วนเหตุผล…ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนว่าทำไม ทำไมจู่ๆ ฉันถึงอึดอัดใจขึ้นมาล่ะเนี่ย”
ผมรับฟังคำพูดของเขา พลางพยักหน้าตอบรับ ตอนนี้เขาคงกำลังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จริงๆ แล้วเขาจะต้องยอมรับตามสภาพการณ์ที่ผมพูด แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยยอมรับนัก
และผมเองก็เข้าใจมุมมองของพี่ดี ลองคิดกลับกันดู ถ้าจู่ๆ อันซลพูดออกมาว่า ‘ฉันย้อนเวลากลับมาจากอนาคต!’ แล้วผมจะแสดงอากัปกิริยาแบบไหนออกไปกัน แม้เขาจะบอกว่าผมพูดถูกมากเพียงใด แต่เขาก็ไม่ได้ดูมั่นอกมั่นใจกับคำพูดของผมมากนัก
ในเวลาต่อผม ผมจึงลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะล้วงมือเข้าไปด้านใน แล้วจึงนำคริสตัลแห่งความสัตย์จริงออกมาให้พี่ชายเห็น จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้อยากจะใช้มันสักเท่าไหร่หรอกนะ แต่ว่า…
“พี่ รู้ใช่ไหมว่ามันคืออะไร”
“นั่นมัน… คริสตัลแห่งความสัตย์จริงนี่นา”
“ใช่แล้ว”
ผมปลุกพลังเวทไปยังคริสตัลที่กอบกุมอยู่ในมือ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดดวงไฟเล็กๆ ปะทุอยู่ภายในคริสตัลลูกใส เพียงเท่านี้ก็ถือว่า ผมสามารถปลุกพลังคริสตัลแห่งความสัตย์จริงให้เริ่มทำงานได้อย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ผมมองดวงไฟสีน้ำเงินที่ไหวอยู่ภายในคริสตัลลูกนั้น ก่อนที่จะค่อยๆ เงยหน้า แล้วจึงพูดออกไปว่า
“สิ่งที่ผมพูดคือ ความจริง”
“นาย…”
พี่ชายขมวดคิ้วพักหนึ่ง แล้วจึงเบนสายตาลงมามองคริสตัลแห่งความสัตย์จริง ผมเห็นเปลวไฟบางอย่างที่ปะทุขึ้นมาในดวงตาของอีกฝ่าย ดูเหมือนเขาจะยังไม่ยอมเปลี่ยนทีท่ามาเชื่อผมเสียเท่าใดนัก
ด้วยเหตุนี้ผมจึงพูดออกไปเพื่อเป็นการยืนยันใหม่อีกครั้งว่า
“ผมจะขอพูดอีกรอบ หลังจากที่ผมได้ก้าวเข้ามาอยู่ในห้องนี้แล้ว ทุกเรื่องราวที่ผมเล่าให้พี่ฟัง มันคือความจริงทุกประการ ผมคือผู้เล่นที่มองเห็นปลายทางของฮอลล์เพลนแห่งนี้ และได้ย้อนเวลากลับมา ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องราวในอดีตเสียใหม่ และตอนนี้ผมเองก็ย้อนเวลากลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง”
ดวงไฟสีน้ำเงินยังคงปะทุโชติช่วงเหมือนเดิม
และในตอนนั้นนั่นเอง พี่ชายผมก็เริ่มเปลี่ยนแปลงท่าทางอะไรบางอย่างออกมาให้เห็นแล้ว
อากัปกิริยาของพี่ชายยังคงเหมือนเดิมตั้งแต่แรก ตั้งแต่ที่เราได้เจอกันนอกอาคาร จนกระทั่ง ณ ตอนนี้ เขาก็ยังมีท่าทีเหมือนเดิม น้ำเสียงก็เหมือนเดิม การกระทำก็เช่นกัน
ทว่าตอนนี้ สีหน้าเขากลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด มีทั้งอะไรบางอย่างที่แข็งกล้า เย็นชา ผสมผสานกับความนุ่มนวล อ่อนโยนแฝงอยู่ภายในนั้น
เวลาผ่านเลยไปสักระยะหนึ่ง
“เฮ้อ…”
พี่ชายค่อยๆ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าตัวเองไว้ แล้วจึงกางนิ้วออก จนผมได้ยินเสียงลมหายใจที่เสียดสีกันออกมา แล้วจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหมือนไร้ซึ่งพลังใดๆ เป็นครั้งแรก ในขณะที่ตัวเองก็ยังไม่ยอมผละมือออกมาดวงหน้า
“โอเค เป็นแบบนั้นจริงๆ สินะเนี่ย”
“อืม”
“อืม? ฮ่าๆ จริงๆ…จริงๆ สินะเนี่ย นายได้เคลียร์โลกนี้แล้วจริงๆ ด้วยสินะ”
“ใช่”
เดี๋ยวอีกไม่นาน เวลาของคริสตัลแห่งความสัตย์จริงก็จะหมดลงแล้ว
“และด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ทำให้ผมต้องเสียโอกาสที่จะได้กลับไปยังโลกมนุษย์”
“อืม…เอ๋?”
ในตอนนั้น พี่ชายค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ เขาลดมือทั้งสองข้างที่กอบกุมใบหน้าลง ก่อนที่จะใช้สายตาจดจ้องมาที่ผม
เมื่อผมได้สบตาเข้ากับดวงตาอันแสนดุดันคู่นั้น จู่ๆ ก็ทำให้ผมรับรู้ได้ว่าพี่ชายได้ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างไปแล้ว
“ตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะว่าทำไมฉันถึงไม่สบายใจ คิมซูฮยอน ถึงนายจะพูดแบบนั้นก็เถอะนะ การที่นายได้ย้อนเวลากลับมาอีกครั้งหนึ่งเนี่ย ฉันเองก็ดีใจกับนายอยู่หรอก…”
พี่ชายดูเหมือนจะพูดอะไรออกมาอีก แต่แล้วเขาก็รีบเงียบปากทันที ดูเหมือนเขาจะกำลังขบคิดเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ในหัว แล้วจึงค่อยพูดออกมาอีกครั้งว่า
“ไม่สิ ไม่ เฮ้อ…โอเคๆ ปลุกพลังคริสตัลแห่งความสัตย์จริงอีกครั้งสิ ฉันขอถามอะไรนายอีกสักข้อเถอะ วางมือไว้แบบนั้นนั่นแหละ”
“…”
ผมนั่งทบทวนคำพูดที่พี่ชายได้เอ่ยออกมาข้างต้น ในเวลาต่อมาผมก็เข้าใจว่าพี่เขากำลังรอให้ผมพูดต่อไปอยู่ จึงได้พูดออกไปด้วยความเร่งรีบว่า
“อะไรล่ะ”
“ก็นายว่าแบบนั้นมานี่นา ฉันได้ช่วยชีวิตนายไว้ แล้วตัวเองก็ต้องตายลงไป ไอ้ส่วนนี้น่ะ ไหนช่วยพูดให้มันละเอียดๆ อีกครั้งหนึ่งสิ”
“ระ เรื่องไหนล่ะ”
ผมตอบออกไปเช่นนั้น พลันรู้สึกร้อนวูบวาบอยู่ในอก เพราะส่วนนั้นที่พี่ชายอ้างออกมานั่นน่ะ ผมไม่ได้พูดโกหกเขาจริงๆ แต่มันเป็นส่วนที่ผมตั้งใจพูดเลี่ยงออกไปต่างหากเล่า
แต่แล้วพี่เขาก็พูดต่อออกมาอีก ไม่ยอมเว้นช่องว่างให้ผมได้พูดแทรกเลย
“ซูฮยอน ตอนที่ฉันตายไป ฉันได้ขอร้องให้นายมาช่วยฉันด้วยหรือเปล่า ถ้าไม่งั้น ฉันขอร้องให้นายพยายามช่วยฉันทุกทาง ค้นหาวิธีที่จะให้พวกเราได้เดินทางกลับไปโลกมนุษย์ด้วยกันอย่างนั้นเหรอ”
“…”
“ตอบสิ”
“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น”