Memorize - เล่มที่ 20 ตอนที่ 26
จู่ๆ ก็มีเสียงใครบางคนร้องดังลั่นไล่หลังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เสียงของอันซลนั่นเอง
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ!”
ผมได้ยินดังนั้น จึงรีบหลับตาลงทันที
ตรงนี้ก็เรื่องใหญ่ ตรงนู้นก็เรื่องใหญ่
เมื่อครู่ก่อนหน้านี้ที่ได้เจออันฮยอนกับฮันบยอล ผมยังรู้สึกเบาใจอยู่เลย แต่แล้วทุกอย่างกลับตาลปัตร เปลี่ยนแปลงไปเสียหมด ตั้งแต่ผมได้ก้าวเท้าเข้ามายังห้องอาหารแห่งนี้
…ขอให้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ทีเถิด
ทว่าจะให้ผมละเลยอันซลก็เห็นจะเป็นเรื่องยากเต็มที เพราะหน้าที่หลักของเจ้าหล่อนก็คือ ผู้ติดตามของผมดีๆ นี่เอง ด้วยเหตุนี้ผมจึงรีบข่มจิตข่มใจให้กลับมาสงบโดยเร็ว ก่อนที่จะหันหลังกลับไป ในขณะที่ดวงตายังปิดแน่นอยู่เช่นนั้น
แล้วอันซลก็พูดต่อมาว่า
“คะ แคลนลอร์อีสตันเทลลอว์กับ… เอ่อ… แขกคนหนึ่งเข้ามาเยี่ยมน่ะค่ะ!”
วินาทีนั้น ผมก็รีบลืมตาขึ้นมาทันที
แขกงั้นหรือ?
ฮี้ ฮี้…
โดนตีก้นมาเสียเต็มแรงขนาดนี้ คงเจ็บน่าดูเลยสินะ เจ้ายูนิคอร์นน้อยไม่ยอมออกจากอ้อมอกผม งานเข้าผมแล้วสิทีนี้ เรื่องร้องไห้น่ะมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่ขืนผมปล่อยตัวเขาลงแม้แต่นิดเดียวล่ะก็ เห็นทีขาทั้งสี่ข้างของเขาคง้พร้อมสะบัดเข้ามาหาอีกเป็นแน่
เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ผมจึงตัดสินใจว่าจะเข้าไปพบแขก พร้อมกับอุ้มเจ้ายูนิคอร์นน้อยเข้าไปด้วยเสียเลย เขายังเด็กอยู่ คงไม่ได้เป็นภาระให้ผมมากขนาดนั้น และคงจะเป็นการเสียมารยาทน่าดู หากจะให้ฮันโซยองคอยนาน
“ทำอะไรตามใจชอบไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ เข้าใจไหม”
ฮี้
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับเขาไปเสียอีกรอบ ก่อนที่จะรีบวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว
ผมผลักประตูเข้าไป แล้วก็ได้พบเข้ากับฮันโซยอง หล่อนนั่งอยู่บนโซฟา ถือถ้วยชาอยู่ในมือ และชายหนุ่มคนหนึ่งที่ผมเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก ทั้งสองคนกำลังรอผมอยู่
บางทีชายหนุ่มผู้นี้อาจจะเป็นแขกที่อันซลพูดถึงก็เป็นได้
ผมละสายตาออกจากริมฝีปากของอีกฝ่ายที่กำลังจิบชาอยู่ ก่อนที่จะตั้งสติให้มั่น แล้วจึงพูดออกไปว่า
“รอนานเลยสินะครับ แคลนลอร์ดอีสตันเทลลอว์”
ฮันโซยองปรายตามองผมครั้งหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าลงน้อยๆ ลำคอของหล่อนเคลื่อนไหวขึ้นลง คงจะค่อยๆ เริ่มกลืนน้ำชาที่อยู่ในปาก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันต่างหากที่เข้ามากะทันหัน…เอ่อ”
หล่อนทักทายตอบกลับมา แต่แล้วจู่ๆ ก็หยุดพูดไป
หืม?
ผมสงสัยทันทีว่าทำไมจู่ๆ หล่อนถึงเป็นเช่นนั้น ก่อนที่จะค่อยๆ พิจารณาดูอย่างละเอียด สายตาของเจ้าหล่อนมองตรงเข้ามาที่หน้าอกของผม
ในตอนนั้นเอง
ฮี้?
เจ้ายูนิคอร์นน้อยที่เอาแต่มุดหน้าก็รีบโผล่หน้าออกมาให้เห็นทันที เขาเป็นเด็กขี้สงสัยที่หนึ่งอยู่แล้ว ดูท่าว่าคงจะสนใจที่ได้พบเจอหน้าคนใหม่ๆ ล่ะสิท่า
ผมค่อยๆ ลูบหัวของเขาที่กำลังเอียงคอสงสัยกับบุคคลตรงหน้า หลังจากนั้นจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอันแสนแผ่วเบาว่า
“เอาล่ะ ไหนทักทายหน่อยสิ”
ฮี้?
“เขาเป็นคนดีนะ”
ฮี้ ฮี้
ทันใดนั้น เจ้ายูนิคอร์นน้อยก็รีบก้มหัวทักทาย พลางส่งเสียงฮี้ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ออกมา หล่อนที่กำลังจะวางถ้วยชาลงนั้นถึงกับหยุดการเคลื่อนไหวไปทันที
ผมมองดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ ทันใดนั้นเอง นัยน์ตาของเจ้าหล่อนก็ออกอาการไหวหวั่นออกมาให้เห็น ผมเอียงคอสงสัยน้อยๆ ก่อนที่จะหย่อนกายนั่งลงบนโซฟาที่ยังว่างอยู่ และตอนนั้นนั่นเองที่ฮันโซยองได้มองตรงกลับมาที่ผมดังเดิม
และแล้วหล่อนก็เอื้อนเอ่ยออกมาว่า
“ใช่… ยูนิคอร์นหรือเปล่าคะ”
“ครับ แต่เขาก็ยังเป็นแค่เด็กน้อยเท่านั้นแหละครับ เอ่อ ว่าแต่คุณเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเหรอครับ”
“เคยได้ยินมาเยอะน่ะค่ะ แต่เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกก็ตอนนี้เอง”
บนโต๊ะรับแขกเรียงรายไปด้วยน้ำชาและขนมครบถ้วน เจ้ายูนิคอร์นเริ่มดิ้นเร่าๆ อยู่ในอ้อมกอดพลางทำจมูกฟุดฟิดไปมาไม่หยุดหย่อน สงสัยจะร้องไห้มานานเสียจนหิวเข้าให้แล้วสิท่า แต่แล้วผมก็รีบหยิกพุง บอกให้เขาอยู่เฉยๆ ก่อนที่จะเหลือบไปมองชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ
จากความรู้สึกของผมแล้วนั้น พฤติกรรมและการกระทำของเขามันช่างดูเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเหลือเกิน ถ้าถามว่าทำไมถึงคิดเช่นนั้น ก็เพราะผมเห็นเขามีท่าทางอึดอัด เหมือนไม่สบายใจกับอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ผมเดินเข้ามาในห้องนี้แล้ว ไม่สิ อารมณ์ที่ปะทุอยู่ในแววตาเมื่อครู่นี้นี่มัน… ใช่ความหวาดกลัวหรือเปล่านะ
ผมปรายตามองเขาเพียงครู่เดียวเท่านั้น แล้วจึงเริ่มพูดเปิดประเด็นไปว่า
“วันนี้มาด้วยเรื่องอะไรหรือครับ”
“ค่ะ ก็ไม่อะไรหรอกค่ะ… เอ่อ ถ้าไม่เป็นการเสียมารยาท ฉันขอเรียนถามอะไรบางอย่างได้หรือไม่คะ”
ผมพยักหน้าอนุญาตให้อีกฝ่ายถามไถ่ ทันใดนั้น เจ้าหล่อนก็มีสีหน้ากังวลใจขึ้นมา ปกติแล้วหล่อนเป็นคนที่รักษาสีหน้าเอาไว้ได้อยู่ตลอดเวลา สมกับฉายาราชินีแห่งเลือดและเหล็ก แต่ทว่าสีหน้าที่ผมได้เห็นเมื่อสักครู่นี้ ทำเอาผมรู้สึกประหลาดใจ ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นกับตาตัวเอง
“พอดีตอนขามา ฉันเห็นว่าตรงประตูทางออกมีธงของเผ่าแฮมิลประดับอยู่น่ะค่ะ…”
อ๋อ
วินาทีนั้น ผมก็เข้าใจถึงปฏิกิริยาเช่นนั้นของฮันโซยองได้ทันที
เหตุผลที่มีธงประดับอยู่นั่นน่ะหรือ ตอบได้ง่ายๆ เลยล่ะ
หลังจากที่ผมได้เล่าความลับให้พี่ชายฟัง เผ่าเมอร์เซนต์นารี่กับเผ่าแฮมิลจึงกระชับความสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกันเมื่อไม่กี่วันก่อน ส่วนระดับของความเป็นพันธมิตรนั้น ก็เรียกได้ว่าเป็นทั้งฝ่ายรุกและฝ่ายรับในการโจมตี ร่วมโจมตีและร่วมป้องกันไปด้วยกัน ถือว่าเป็นขั้นสุดยอดของการเป็นพันธมิตรแล้ว เว้นแค่ว่าพวกเราไม่ได้รวมกำลังกันเป็นหนึ่งเดียวก็เท่านั้น
ด้วยสาเหตุนี้จึงปรากฏสัญลักษณ์ที่สื่อถึงเผ่าแฮมิลอยู่บริเวณประตูทางออก ถือว่าเป็นการประดับประดาเล็กๆ น้อยๆ แต่การกระทำเช่นนี้ก็อาจทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้ด้วยเช่นเดียวกัน เมอร์เซนต์นารี่ของพวกเรายังไม่ได้ตกลงปลงใจเรื่องสัญลักษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น หากคนที่สนใจในเรื่องนี้เกิดมาเห็นเข้า เขาอาจจะคิดว่ามันแปลกหูแปลกตาไปก็เป็นได้
“ก่อนหน้านี้พวกเราได้กระชับความสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกับเผ่าแฮมิลน่ะครับ แล้วก็เมอร์เซนต์นารี่ยังไม่ได้กำหนดสัญลักษณ์ใดๆ ด้วย จึงไม่ได้ประดับธงของตัวเองน่ะครับ เรื่องราวทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้แหละครับ”
“ถ้าแค่นี้ล่ะก็…”
“พวกเราไม่ได้รวมกำลังพลกัน และก็ไม่ได้ไปอยู่ในสังกัดของพวกเขาด้วย เพราะฉะนั้นเมอร์เซนต์นารี่จะไม่มีวันย้ายถิ่นฐานออกจากโมนิก้าแน่นอนครับ”
ผมพูดป่าวประกาศออกไปเช่นนั้น สีหน้าของฮันโซยองจึงสดใสมากขึ้น
“อย่างนี้นี่เอง โชคดีแล้วสินะคะเนี่ย ขอโทษทีนะคะที่ฉันถามอะไรไม่เข้าท่า”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ จริงๆ ก็เป็นความผิดของพวกเราด้วยส่วนหนึ่งน่ะครับ แต่ก็ยังดีที่ผมได้มีโอกาสอธิบายเพื่อไม่ให้คุณเข้าใจผิด”
ดูท่าทางแล้วฮันโซยองคงไม่อยากจะพลาดท่าสูญเสียพวกเราไป ส่วนตัวผมเองก็ไม่มีความคิดที่จะย้ายออกจากโมนิก้าแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นผมจึงนึกขอบคุณหล่อนเหมือนกันที่ทำให้ผมได้มีโอกาสชี้แจงออกเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าตอนนี้ควรจะเริ่มเข้าประเด็นหลักได้แล้วเสียที จึงได้ปรายตามองคนที่นั่งนิ่งอยู่ แล้วก็พูดออกไปว่า
“ว่าแต่ท่านที่อยู่ข้างๆ ผมนี่คือใครหรือครับ”
ทันใดนั้น หล่อนจึงรีบพยักหน้าลงอย่างรู้เท่าทัน ก่อนที่จะหันไปพูดว่า
“อ้อ ฉันยังไม่ได้แนะนำเขาเลยสินะคะเนี่ย คุณซงซึงกยูคะ”
“…”
“ผู้เล่นซงซึงกยูคะ?”
“…อ้อ! คะ ครับผม”
อย่างที่คิดไว้เลย ปฏิกิริยาเขาดูแปลกจริงๆ ดังนั้นผมจึงใช้ดวงตาที่สามในการยืนยันข้อมูลของอีกฝ่าย วินาทีนั้น ผมรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ปะทุอยู่ในแววตา ผมจึงรีบคลำรอบเอวตัวเองโดยอัตโนมัติ แล้วจึงได้รู้ว่าตัวเองลืมดาบไว้เสียได้ ผมจึงค่อยๆ ส่งเสียงฮึมฮำอยู่ในลำคอ
ไม่หรอกน่า ดูๆ ไปก่อนไม่เห็นจะเป็นอะไร
ชายหนุ่มที่ชื่อซงซึงกยูนั้น ค่อยๆ ลอบพิจารณามองผมอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยอาการตื่นเต้น
“สะ สวัสดีครับ ผะ…ผมซงซึงกยูครับ ผมเป็นผู้เล่นนำขบวนคาราวานเล็กๆ เมื่อไม่กี่วันก่อนครับ”
เมื่อไม่กี่วันก่อนที่เขาว่า เห็นคงจะไม่ใช่เมื่อวานเป็นแน่ ผมเหมือนได้กลิ่นตุๆ ว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาขอร้องอะไรบางอย่าง แต่ก็คิดว่าจะรอฟังอีกฝ่ายพูดให้จบเสียก่อน และแน่นอนว่าผมไม่ลืมที่จะสังเกตพฤติกรรมของเขาในแต่ละช่วงด้วย
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คิมซูฮยอน แคลนลอร์ดของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ครับ”
“ถ้าเป็นแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่…ไม่ทราบว่า…”
“…?”
“ใช่…ท่านผู้นั้นที่สร้างผลงานไว้อย่างยอดเยี่ยมในสงครามเมื่อครั้งก่อนหรือไม่ครับ”
ท่านผู้นั้นเลยเหรอ คำพูดของเขาดูแฝงไปด้วยความหมายมากมายอย่างไรชอบกล
อย่างไรก็ตาม ผมก็พยักหน้าตอบรับอีกฝ่ายไป เขาจึงหันไปมองฮันโซยองด้วยสีหน้าเบาใจ
ฮันโซยองจึงพูดออกมาทันทีว่า
“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่คะ ที่วันนี้ฉันเข้ามาหาคุณกะทันหันแบบนี้ ก็เพราะมีเรื่องที่อยากจะขอร้องอะไรอย่างหนึ่งน่ะค่ะ”
“ขอร้องหรือครับ”
“ค่ะ เอ่อ จะบอกว่าเป็นการขอฝากฝังอะไรบางอย่างก็ได้นะคะ ไม่ทราบว่าคุณเคยเข้าไปในป่าน้ำแข็งหรือเปล่าคะ”
ด้วยความที่ผมรู้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว จึงได้พยักหน้าน้อยๆ กลับไป
หลังจากนั้น ฮันโซยองก็เหลือบมองซงซึงกยูอีกครั้งหนึ่ง เขาหลับตาลงทันที ราวกับกำลังจะหวนนึกคิดอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้น เขาก็เอื้อนเอ่ยออกมาช้าๆ ว่า
“คือว่า…อาจจะช่วงราวๆ สองเดือนก่อนน่ะครับ พอดีผมกับสหายร่วมคาราวานได้เข้าร่วมสงครามระหว่างทหารพันธมิตรน่ะครับ หลังจากนั้นพวกเราก็ได้เข้าร่วมในกลยุทธ์สร้างวงล้อมที่จะสร้างขึ้นด้วย โดยไม่กี่วันก่อนที่จะมีคำสั่งสลายตัวบัญชาการลงมานั้น ผมได้รับคำสั่งให้เข้าไปลาดตระเวนบริเวณรอบนอกของป่าน้ำแข็งน่ะครับ”
“ครับ”
“ดังนั้นก็เลย…”