Memorize - เล่มที่ 20 ตอนที่ 28
กลางดึก ณ ป่าอันแสนมืดมิด
และหนาวมาก
“หืม”
สายลมที่พัดผ่านร่างมันช่างหนาวเหน็บมากเสียจนผมต้องนั่งห่อตัวกันเลยทีเดียว หลังจากนั้นผมจึงค่อยๆ ลุกขึ้น พาตัวเองไปยังกองไฟที่กำลังลุกโชติช่วงอยู่ท่ามกลางผืนป่าแห่งนี้
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้ายามค่ำคืน เห็นดวงดาวน้อยใหญ่แต่งแต้มอยู่บนฟากฟ้า คืนนี้คงเป็นอีกคืนที่แสนยาวนาน
คร่อก…ฟี้
ผมคิดว่าจะกินสตูที่เหลือจากมื้อเย็นสักชามหนึ่ง จึงใช้ผ้าห่มห่อหุ้มร่างเดินออกไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกรนเบาๆ จากใครคนหนึ่งดังแว่วเข้ามาในหู ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครคือเจ้าของเสียงนั้น ผมยิ้มเจื่อนๆ เล็กน้อย พลางถอนหายใจ กวาดสายตามองไปรอบด้าน
ต้นไม้เติบโตสูงใหญ่ ป่าไม้เขียวชะอุ่มงอกเงยขึ้นจนหนารกตา มองเท่านี้ก็คงจะคิดว่าที่นี่เป็นผืนป่าที่ไม่มีวันร่วงโรย ทว่าทิวทัศน์โดยรอบนั้นกลับมีสิ่งหนึ่งที่แปลก แตกต่างไปจากป่าปกติทั่วไป
และสิ่งนั้นก็คือ เกล็ดน้ำค้างแข็งที่เกาะอยู่ตามต้นไม้ต่างๆ
ไม่สิ ไม่ได้เกาะอยู่แต่กับต้นไม้เท่านั้น ผืนป่าโดยรอบต่างก็โดนปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งเช่นเดียวกัน ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงใจกลางขั้วโลกใต้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผมกำลังกวาดมองทั่วอาณาบริเวณอย่างไม่ให้คลาดสายตา ทั้งนี้ก็เพื่อปฏิบัติหน้าที่เฝ้าเวรยามตอนกลางคืนให้ได้อย่างดีที่สุด พอยืนยันได้แล้วว่าไม่มีใครอื่นอยู่อีก ผมจึงก้มหน้ามองลงอีกครั้งหนึ่ง
เวลาผ่านเลยไปขนาดไหนแล้วนะ
เสียงประกายไฟดังขึ้น ผมจึงเบนสายตาขึ้นมามอง ทันใดนั้นก็ได้เห็นดวงไฟที่ค่อยๆ ปะทุขึ้นกลางอากาศเป็นดวงๆ แล้วพอมองข้ามไปอีกก็ได้เห็นใครบางคนที่กำลังนอนสัปหงกอยู่หน้ากองไฟ และคนนั้นก็คือ อันฮยอนนั่นเอง
“อืม อืมม ท่านพี่ยอนจู ทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ…”
แอบหลับตอนเฝ้ายามยังไม่พอ นี่เขายังฝันอะไรทะลึ่งตึงตังอีกด้วยหรือเนี่ย
เดิมทีแล้ว ผมว่าจะปล่อยไปสักสิบห้านาทีก่อน แล้วค่อยปลุกเขาขึ้นมาเสียใหม่ แต่อาการละเมอของอันฮยอนนี่แหละที่ทำให้ผมเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาทันควัน ถ้าเขาฝันถึงยูจอง หรือฮันกยอล ผมก็คงยอม ปล่อยผ่านไป แต่โกยอนจูคือข้อยกเว้น
เจ้าหมอนั่นเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาให้เห็น ผมจึงรีบเอ่ยปากออกไปทันทีอย่างไม่รอช้า
“เฮ้ย อันฮยอน”
“ฮ…ฮะ…เฮือก!”
อันฮยอนแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมาทันที และการกระทำที่เขาทำต่อมาทำให้ผมตกใจขึ้นมาอีกครั้ง จู่ๆ เขาก็ยืดคอตรงแน่ว ก่อนที่ขึงตามองไปทั่วอาณาบริเวณ
“อะแฮ่ม พี่ครับ! ดูเหมือนจะไม่มีจุดน่าสงสัยอะไรเลยครับ อึก”
“…งั้นเหรอ”
“แค่ก แค่ก! อึก”
“…”
ผมพยายามแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนที่จะสังเกตเห็นได้ถึงคราบน้ำลายที่ไหลย้อยออกมาจากริมฝีปาก
ทันทีที่ผมหรี่ตามอง อันฮยอนก็จ้องผมด้วยแววตาอันแสนแปลกประหลาด
“…ขอโทษครับ”
ผมมองหาฟืนที่วางกองอยู่ข้างตัว พลางเอื้อนเอ่ยออกไปเบาๆ ว่า
“เดี๋ยวเราจะออกเดินทางกันในช่วงสายๆ ของวันนี้ ถ้าง่วงก็กลับเข้าไปนอนเสียเถอะ เวลาสำคัญก็อย่าทำผิดพลาดเสียล่ะ”
“ไม่…ไม่เอาสิครับ! ท่านพี่ยืนเฝ้ายามอยู่แท้ๆ จะให้ผมไปนอ…ผมเสียใจครับพี่”
“อย่าพูดไปทำตาปรือไปสิ ถ้าง่วงมากก็น่าจะบอกให้รู้สิ เมื่อก่อนตอนอยู่มิวล์ก็เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอ”
ประโยคที่ผมพูดหมายถึง ถ้าง่วงก็ช่วยบอกให้รู้กันก่อน ให้เขาไปนอนสักสิบห้านาที พอตื่นเต็มที่ สมองพร้อมทำงาน ก็ค่อยออกมายืนเฝ้ายามเสียใหม่ ทำเช่นนี้อย่างไรก็ยังดีเสียกว่าการให้เขายืนตาปรือสอดส่องไปมาอย่างเงอะๆ เงิ่นๆ และแน่นอนว่าการเฝ้าเวรตอนกลางคืนในแต่ละครั้ง มีเงื่อนไขว่าควรจะต้องมีคนอย่างน้อยสองคนในการช่วยสอดส่อง
“แหะๆ”
อันฮยอนได้แต่หัวเราะแห้งๆ เหมือนกับจะบอกว่าตัวเองทำผิดซ้ำซากมาเป็นร้อยครั้งพันครั้งแล้ว
ผมมองเขาพลางถอนหายใจเบาๆ แล้วจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะจี้ให้เขาจนมุม อย่างไรก็ตาม การยืนเฝ้าเวรยามตอนกลางคืนในตอนนี้ก็เป็นเวลาที่ทำพวกเราเหนื่อยล้ามากที่สุด ผมเองยังมีแอบง่วงบ้างบางครั้งเลย
อันฮยอนอ้าปากหาว ดูเหมือนเขาจะเอาชนะความง่วงไม่ไหวเสียแล้ว สุดท้ายจึงค่อยๆ พูดอ้อมแอ้มออกมาว่า
“คือว่า…พี่ครับ เวลาเฝ้ายามยังเหลืออยู่อีกเยอะใช่ไหมครับ”
“อืม กว่าจะเปลี่ยนเวรกันก็ยังอีกไกล”
“ถ้างั้นผมต้องขอโทษจริงๆ ครับ ขอผมนอนสักนาทีสองนาทีได้ไหม ผมง่วงมากจริงๆ”
“…อีกห้านาทีเดี๋ยวฉันไปปลุก ในส่วนของนายเดี๋ยวฉันดูให้เอง”
อันฮยอนได้ยินผมอนุญาตเช่นนั้น จึงรีบโค้งตัวให้ผม หลังจากนั้นประมาณสิบวินาที เขาก็เริ่มกรนออกมาอีกครั้ง
ในตอนนั้น ผมนำฟืนไม้ที่รวบรวมมาได้เมื่อครู่โยนเข้าไปในกองไฟ ก่อนที่จะจดจ้องประกายไฟที่ปะทุขึ้นมา
ผมนั่งมองเปลวไฟพักหนึ่ง ทันใดนั้นก็เริ่มคิดอะไรบางอย่างไปเรื่อยเปื่อย
ผ่านมาสองสัปดาห์แล้วที่ผมรับคำขอร้องจากอีสตันเทลลอว์
ผมรับคำร้องขอจากพวกเขา และได้รู้ว่าเขารีบเร่งแค่ไหน เพราะมันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของชีวิตคนหลายคน จึงได้ประกาศแจ้งเรื่องนี้ให้ทุกคนได้รับทราบ และคัดเลือกบุคคลที่จะร่วมภารกิจนี้ภายในวันนั้นเสียเลย ก่อนที่จะเริ่มออกเดินทางมายังป่าน้ำแข็งในวันถัดมา
สมาชิกเผ่าที่เข้าร่วมคณะเดินทางสำรวจในครั้งนี้มีทั้งหมดหกคน ซึ่งก็ถือว่าไม่ได้มากมายอะไรนัก มีผม อันฮยอน วิเวียน ชินแจรยง อิมฮันนาและจองฮายอน ถ้านับซงซึงกยู ผู้เข้าร่วมภารกิจ โดยจะทำหน้าที่เป็นผู้ชี้นำให้ครั้งนี้เข้าไปด้วย ก็จะมีทั้งหมดเจ็ดคนด้วยกัน
คำขอร้องจากอีกฝ่ายก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นจึงอาจมองว่าจำนวนคนในครั้งนี้น้อยกว่าที่คิดไว้ก็ย่อมได้ ทว่าผมก็ได้แต่เร่งให้รีบออกเดินทาง อยากจะไปถึงที่หมายเร็วๆ สักหนึ่งชั่วโมงล่วงหน้าก็ยังดี
ป่าน้ำแข็งแห่งนี้ไม่ได้เป็นหนึ่งในโบราณสถานที่ผมวางแผนว่าจะเข้าสำรวจ แต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่อยู่ในความทรงจำของผม
จริงๆ แล้ว หากอิงตามมาตรฐานของผม ก็คงต้องขอบอกว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้ยากมากมายถึงเพียงนั้น เพราะงั้นจึงได้เว้นตำแหน่งสำคัญๆ ออกไปก่อน ซึ่งหากอิงตามประสิทธิภาพที่จะได้รับนั้น การพาโกยอนจูมาด้วยก็จะยิ่งดีมากขึ้นไปอีกก็จริง แต่ด้วยสภาพการณ์ของเมอร์เซนต์นารี่ในปัจจุบัน ทำให้ผมจำต้องปล่อยให้มีผู้แทนแคลนลอร์ดประจำอยู่ด้วย
หลังจากนั้น พวกเราคณะเดินทางสำรวจก็ได้เคลื่อนตัวไปยังทิศตะวันตก ก่อนที่จะเริ่มเดินขบวนไปสู่จุดมุ่งหมาย และในที่สุดพวกเราก็เดินทางมาถึงป่าน้ำแข็งได้อย่างปลอดภัยตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน
และตอนนี้เหลือเพียงแค่เคลื่อนตัวเดินทางไปยังเจดีย์น้ำแข็งอันเป็นจุดหมายสุดท้ายของภารกิจครั้งนี้
จากการประเมินส่วนตัว ผมพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างจนถึงตอนนี้ราบรื่นมาก ไม่ค่อยได้พบเจอเหล่าสัตว์ประหลาด ซึ่งทั้งนี้ก็เพราะการสร้างวงล้อมป้องกันในช่วงสงครามใหญ่นั่นเอง ถ้าตัดปัญหาเรื่องอากาศอันแสนหนาวเหน็บออกไป ก็ไม่มีสมาชิกเผ่าคนใดที่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
หากจะมีหนึ่งตัวแปรสำคัญ ก็คงจะเป็นคนขอร้องที่…
เอ๊ะ?
ในตอนนั้นเอง
ทันใดนั้น ผมก็รับรู้ได้ถึงลางสังหรณ์แปลกๆ บางอย่างที่เกิดขึ้นทั่วอาณาบริเวณนั้น ผมจึงตื่นจากความคิดของตัวเอง พร้อมทั้งเรียกสติกลับคืนมาดังเดิม
ผมพยายามทำให้จิตใจให้สงบ ก่อนที่จะกวาดสายตามองซ้ายขวา จึงเห็นอะไรบางอย่างสีขาวฟุ้งค่อยๆ พวยพุ่งออกมาระหว่างเหล่าต้นไม้น้อยใหญ่ ผมนั่งนับจำนวนเงียบๆ อยู่ในใจ มีประมาณหลายร้อยเห็นจะได้ มองเผินๆ อาจจะคิดว่าเป็นไอน้ำสีขาวหรือไม่ก็พวกคลื่นพลังงานบางอย่าง แต่ทว่า…
ไม่มีทางที่แก๊สปริศนาจะปะทุตัวออกมาพรวดเดียวแบบนี้หรอก
อย่างไรก็ตาม พวกมันเหล่านี้ไม่มีรูปร่างให้เห็น แม้แต่เสียงฝีเท้าก็ยังไม่ได้ยินเลย
ฮือออ…..
เสียงโหยหวนชวนน่าขนลุก เสียงที่อัดแน่นไปด้วยความหิวกระหายเนื้อมนุษย์เยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน ผมคว้าดาบที่ซุกอยู่ในผ้าห่ม คิดว่าจะไปปลุกอันฮยอนให้ตื่นเสียก่อน แล้วจึงจดจ้องไปยังทิศเบื้องหน้า
“อัน…”
“พี่”
แต่แล้วอันฮยอนกลับตื่นขึ้นมาเอง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่หรือไม่ จึงทำให้เขากะพริบตาถี่ๆ ทว่ากลับยังมีอาการอ่อนล้าแฝงอยู่ให้เห็นในแววตาดังเดิม ในมือของเขากำลังกุมหอกสีดำขลับ
อันฮยอนถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“พี่ครับ มันคืออะไรกันแน่เนี่ย”
“…วิญญาณร้าย”
“วิญญาณร้ายหรือครับ”
อันฮยอนจับหอกที่อยู่ในมือเอาไว้แน่น ก่อนที่จะมองซ้ายทีขวาทีอย่างว่องไว ทันใดนั้นเอง จู่ๆ เจ้าหมอนั่นก็ทำท่าเหมือนจะวิ่งกลับไปเต๊นท์ ผมจึงส่งสัญญาณบอกให้หยุดรอสักครู่ ก่อนที่จะเริ่มวิเคราะห์ลางสังหรณ์แปลกๆ ที่รู้สึกได้จากบริเวณนี้
ไม่เห็นจะรู้สึกได้ถึงความเป็นศัตรูเลยแฮะ
[ไปสิ…]
[ลุยเข้าไปเลย…]
เอ๊ะ เดี่ยวก่อนนะ
นี่มัน…
เสียงของอะไรบางอย่างกำลังพูดออกมาให้ได้ยิน
ผมยังคงจับดาบแน่นเหมือนเดิม ไม่ปล่อยให้ห่างกาย และในขณะเดียวกันเสียงโหยหวนของพวกวิญญาณร้ายทั้งหลายก็ยิ่งดังเข้ามาในหูมากขึ้นเท่านั้น
[ตรง…ไป!]
[ช่วย…ช่วย…เรา…ที]
โอเค ชัดเจนแล้วล่ะ เสียงครวญครางที่ผมได้ยินว่าเป็นเสียงลมพัดในตอนแรกนั้น ตอนนี้ผมได้ยินเหมือนกับว่าเขากำลังพูดอะไรบางอย่างออกมาอยู่ ซึ่งผมก็คงไม่ได้ยินอยู่แค่คนเดียวหรอก เพราะอันฮยอนเองก็ยืนกลอกตา สลับกันมองไปมองมาอยู่เหมือนเดิม
“พะ พี่ครับ ผะ ผมได้ยินเสียงพึมพำแปลกๆ ถึงจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ว่ามัน…”