Memorize - เล่มที่ 20 ตอนที่ 4
จ๋อม!
“อื้ม”
ผมหย่อนกายแช่ลงบ่อน้ำร้อน ก่อนที่จะส่งเสียงพึมพำออกมาอย่างสบายอารมณ์ ทั่วทั้งร่างกายเริ่มรู้สึกได้ถึงความร้อนจากน้ำ และพลังความร้อนเหล่านั้นค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของร่างกาย พลอยทำให้ภายในรู้สึกร้อนรุ่มไปตามๆ กัน รู้สึกได้ว่าความร้อนเหล่านั้นกำลังเข้ามาไล้เลียกระดูกภายใน ความเหนื่อยล้าที่สะสมอยู่ตามร่างกายค่อยๆ ถูกความร้อนหลอมละลายไปจนหมดสิ้น
จนคิดได้ว่าที่แห่งนี้คือสวรรค์ดีๆ นี่เอง และในตอนที่กำลังจะหลับตา แช่ตัวอย่างสบายอุรา
“โอ๊ย ร้อนๆ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง ผมจึงรีบหันหน้าไปมอง แล้วก็ได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่นุ่งผ้าปกปิดหน้าอก ไล่ลงมาจนถึงขาอ่อน
อิมฮันนานั่นเอง
อิมฮันนาบ่นงึมงำ พลางเอาเท้าค่อยๆ จุ่มลงในบ่อน้ำร้อน
หยาดน้ำค่อยๆ ไหลรินลงมาจากปลายนิ้วเท้าอันแสนบอบบางของหล่อน ดูท่าว่าคงจะตกใจที่อุณหภูมิน้ำสูงกว่าที่ตัวเองได้คาดไว้
ผมเห็นภาพอันแสนบันเทิงเริงใจเช่นนั้น จึงได้หัวเราะคิกออกมา
อิมฮันนาจึงรีบตอบโต้กลับมาทันที
“ขำทำไม”
“ถ้าอารมณ์ไม่ดี ก็ต้องขอโทษด้วยครับ”
ผมรีบขอโทษ ขอโพยหล่อนไปในทันที แต่สีหน้าของอิมฮันนาดูแปลกอย่างไรชอบกล แปลกมากจริงๆ…สีหน้าของหล่อนเหมือนคนทำตัวไม่ถูกเลยล่ะมั้ง
อิมฮันนาได้ยินเช่นนั้น จึงค่อยๆ หย่อนเท้าลงมาแช่น้ำอย่างระมัดระวัง พลางทำปากบู้บี้เหมือนกับกำลังงอน
“ในที่สุดฉันก็ได้พูดสบายๆ กับคุณบ้างเสียที มันต้องใช้ความกล้าบ้าบิ่นเอาเรื่องเหมือนกันนะ…”
“ในที่สุดอะไรกัน ไม่ใช่สักหน่อยนะครับ เมื่อกี้ก็พูดออกมาแล้วนี่ครับ”
“อะ…เอ๋?”
“พูดว่าอะไรนะ เธอเห็นฉัน แล้วพูดว่าเดี๋ยวจะรออยู่ตรงนี้เฉยๆ ก็แล้วกัน ล่ะมั้ง? แบบนี้ใช่หรือเปล่าไม่รู้ เธอพูดมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะ”
จ๋อม!
อิมฮันนาสามารถหย่อนกายลงมาแช่น้ำได้สำเร็จ พลางมีสีหน้าสงสัยในประโยคที่ผมพูดข้างต้นอีกด้วย แต่แล้วหล่อนก็รีบเปลี่ยนสีหน้าไปทันที ดูเหมือนจะนึกคำพูดและการกระทำของตัวเอง เมื่อครั้งที่อยู่ในสงครามได้แล้ว
“…เกินไปแล้วนะ”
อิมฮันนาหน้าแดงก่ำ สงสัยคงจะทนต่อคำล้อเล่นของผมไม่ไหว
อย่างไรก็ตามแต่ ผมคิดว่าเห็นทีคงจะต้องหยุดล้อเลียนทำให้หล่อนช้ำใจไว้เพียงเท่านี้ จึงได้หันกลับไปมองข้างหน้าอีกครั้งหนึ่ง พลางพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาว่า
“ไหนบอกว่ามีอะไรจะพูดไม่ใช่หรือไง”
ไม่มีคำตอบออกมาจากอีกฝ่าย กลับได้ยินแค่เสียงสายน้ำที่กระจายตัวออกจากกันกับระลอกคลื่นน้อยๆ ที่ไหวอยู่บนผิวน้ำ
“ก็…”
หลังจากนั้น ผมจึงได้ยินน้ำเสียงอันแสนเรียบเฉยดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พลันรู้สึกได้ถึงมือนุ่มนิ่มที่ยื่นออกมาสัมผัสกับแผ่นหลังของผมอย่างแผ่วเบา หล่อนคงจะสนใจในรอยแผลที่แผ่นหลังของผมเสียกระมัง
วินาทีนั้น ผมจึงคิดในใจว่าหล่อนเองก็เป็นคนดื้อเงียบกับเขาเหมือนกัน และในตอนนั้นเอง อิมฮันนาจึงพูดออกมาว่า
“คุณดูเหนื่อยๆ ยังไงชอบกล”
“…”
ผมได้ยินเช่นนั้นจึงค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ และนั่งขบคิดกับตัวเองอยู่ชั่วขณะ
หากคิดเช่นนั้น โดยอิงจากมุมมองเป็นหลัก ก็จะได้ว่าผมไม่ได้เหนื่อย ยากลำบากอะไรเลย แม้ร่างกายของผมจะอ่อนล้า แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นกระทบกระเทือนต่อจิตใจอะไรมากนัก
เพราะฉะนั้น จะบอกว่านั่นคือผมในยามปกติ เห็นทีก็คงจะไม่ใช่แล้วล่ะ ไม่สิ…ต้องพูดว่ามันไม่เหมือนปกติมากกว่าล่ะมั้ง
เราก็คิดแล้วนี่นา ว่าตัวเองไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกไปให้คนอื่นเห็นสักหน่อย…
อิมฮันนามองเห็นสภาพที่ผมกำลังเผชิญอยู่เช่นนี้ได้อย่างไรกัน
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ”
“อืม…คงเพราะเห็นเจ้ายูนิคอร์นน้อยล่ะมั้ง”
หลังจากผ่านตอนนั้นมา เจ้ายูนิคอร์นก็ขังตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ได้ออกมาให้เห็นแต่อย่างใด ผมจึงส่ายหน้าทันที ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงมืออันแสนอบอุ่นที่กำลังค่อยๆ นวดไหล่ของผมอยู่ มือของหล่อนเริ่มหมาดๆ ได้ที่ ไม่ได้ชุ่มโชกไปด้วยน้ำแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รู้สึกเหนอะหนะตามร่างกายไปเสียบ้าง ผมถอนหายใจเบาๆ ออกมา
“ยังไงเหรอ ร้องไห้?”
“อืมมม ก็ไม่ได้ร้องไห้นะ แต่ดูเศร้ามากเลยล่ะ ได้แต่ฟุบตัวลง ไม่แสดงท่าทีออกมาให้เห็นเลย ดูไม่มีเรี่ยวแรงเหมือนเก่า ว่าแต่คุณรู้เรื่องนั้นหรือเปล่า”
“…?”
“ก็ที่เขาบอกกันว่า ยูนิคอร์นเป็นสัตว์อารมณ์อ่อนไหวมากๆ ไม่ใช่เหรอ”
“แหงอยู่แล้ว”
“เห็นเขาบอกกันว่า ยูนิคอร์นจะอารมณ์อ่อนไหวง่ายมากๆ โดยเฉพาะกับเจ้าของ”
ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า หล่อนเห็นเจ้ายูนิคอร์นน้อยมีอาการเช่นนั้น ก็เลยลามมาคาดเดาตัวผมด้วยล่ะสิ
แม้จะยังรู้สึกสงสัยเล็กๆ อยู่บ้าง แต่คิดว่าจะลองฟังต่อไปเรื่อยๆ ดูเสียก่อน ผมจึงได้เปิดปากพูดออกไปว่า
“จริงๆ แล้ว เธออยากจะพูดอะไรกันแน่”
“อืม ก็เพราะ…พอจบสงคราม แล้วได้กลับมาอีกครั้ง… จู่ๆ ฉันก็เกิดคิดแบบนั้นขึ้นมาได้น่ะ ถ้าตอนนั้นความโลภมากของฉัน ใช้ฉุดรั้งตัวคุณไว้ไม่ได้ล่ะ จะเป็นยังไง เพราะงั้นก็เลย…”
กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย
“ไร้สาระ”
ผมพูดตัดบทอิมฮันนาไปอย่างลวกๆ แล้วก็รู้สึกได้ว่ามือบอบบางของหล่อนได้หยุดการเคลื่อนไหวไปเช่นกัน
“อย่าคิดโทษตัวเอง ถ้าคิดตามนั้น มันก็คงเป็นความผิดของฉันสิ ก็ฉันตัดสินว่าจะเข้าร่วมสงครามตั้งแต่แรกเลยนี่”
“จริงเหรอ คิดแบบนั้นจริงๆ เหรอ คุณไม่ได้รู้สึกเคืองอะไรใช่ไหม”
“การตายของคุณชินซังยงน่ะ เป็นเรื่องน่าเศร้าก็จริง แต่มันก็เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถเข้าไปจัดการอะไรได้อยู่ดี เพราะมันเกิดขึ้นในช่วงระหว่างสงคราม”
ผมพูดออกมาเช่นนั้น พร้อมขีดเส้นตัดจบทันทีทันใด น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกไป ฟังแล้วอาจแหลมบาดหูเล็กน้อย แต่นั่นก็เป็นการบอกกลายๆ แล้วว่าอย่าพูดอะไรเหลวไหล ไร้สาระออกมาให้ได้ยินอีก
“…”
ดูเหมือนอิมฮันนาเข้าใจถึงสิ่งนั้นได้ดี หล่อนจึงไม่แสดงท่าทีอะไรตอบโต้กลับมาเลย แล้วก็ค่อยๆ ใช้มือนวดให้อีกครั้งหนึ่ง
เราทั้งคู่ต่างเงียบสนิท ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เวลาเดินผ่านไปเช่นนั้นอยู่สักระยะหนึ่ง
“แผลเยอะมาก น่าสงสารจัง…”
“…”
ผมรู้สึกได้ว่า หล่อนกำลังออกแรงถูเพิ่มมากขึ้น คงตั้งใจจะชำระล้างรอยเลือดอันแห้งกรังออกไปให้หมดจด ผมจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น พลางใช้สายตาจดจ้องไปยังไอน้ำสีขาวขุ่นมัวที่พวยพุ่งขึ้นมาอยู่ตรงเบื้องหน้า
ตั้งแต่ที่ผมก้าวเท้าเข้ามายังห้องอาบน้ำแห่งนี้ ความรู้สึกที่หล่อนได้สื่อสารออกมานั้น มีแต่ความนุ่มนวล อ่อนโยน อ่อนหวานมาก เหมือนกับได้แก้ข่าวเรื่องนิสัยก่อนหน้าไปเสียสนิท
นี่มันคือความทรมานอันแสนหอมหวานชัดๆ
ในตอนนั้นเอง
“โชคดีจัง…”
“…?”
“ก็คุณน่ะ เหมือนเป็นคนอื่นอีกคน ที่เหมือนกับพี่ฉันเลยล่ะ ตอนนี้ฉันสบายใจขึ้นมาหน่อยแล้ว หึๆ”
ไม่รู้ว่าหล่อนต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ ผมว่าจะหันกลับไปมอง แต่ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะรับรู้ได้ว่าอิมฮันนากำลังยื่นหน้าเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างมือสองข้างที่กำลังสัมผัสแผ่นหลังผม จังหวะในการผ่อนลมหายใจของหล่อน ทำเอาผมรู้สึกจั๊กจี้น้อยๆ จึงได้ปริปากพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า
“พี่เหรอ…นี่เธอกำลังพูดถึงเจ้าของตึกคนเก่าของเลิฟเฮาส์หรือเปล่า”
“อ๊ะ จำได้ด้วยเหรอ”
“ก็มีได้ยินเรื่องเล่าสมัยก่อนมาบ้าง จำได้ว่าเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นมากๆ น่ะ”
เจ้าของตึกแห่งเลิฟเฮาส์
เขาได้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคาราวานที่กำลังรุ่งโรจน์สุดๆ ในขณะนั้น แต่แล้วล้มเหลวไม่เป็นท่าจากภารกิจออกสำรวจ จึงทำให้คาราวานดังกล่าวแทบจะต้องแตกกระเจิงไปเลย เขาจึงได้รวบรวมเหล่าชาวคาราวานที่หลงเหลือจากเหตุการณ์ครั้งนั้น และในระหว่างที่กำลังจะเข้าร่วมไปอยู่กับเผ่าๆ หนึ่งนั้นเอง อิมฮันนาไม่สามารถทนต่อความกระทบกระเทือนอะไรบางอย่างได้ จึงได้แยกตัวออกมาในที่สุด
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวที่ผมได้ยินมาคือ ผู้เล่นคนนั้นเปรียบเสมือนผู้มีพระคุณของอิมฮันนา และเมื่อเผ่าหนึ่งได้เดินทางไปที่ที่ราบสูงแห่งความเพ้อฝันแล้วขาดการติดต่อไป เขาได้เข้าร่วมหน่วยกู้ภัยในรอบแรกด้วย จนกระทั่งเสียชีวิตลงในที่สุด
ความจริงผมก็แอบมีเดาเองอยู่บ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่พอได้รับอิมฮันนาเข้าร่วมเผ่าแล้วนั้น ผมก็จดจำเรื่องราวที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ได้อย่างแม่นยำ ตอนนั้นผมคิดว่า หล่อนเองก็คงมีเรื่องราวภูมิหลังอะไรมาก่อนบ้าง เลยคิดต่อเนื่องมาอีกว่า หากมีโอกาสจะลองถามไถ่ดูสักครั้ง
อิมฮันนาพูดต่อมาว่า
“โดดเด่นสิ ไปได้สวยด้วยล่ะ แต่ความผิดพลาดที่เขากระทำขึ้นมาเพียงครั้งเดียว กลับทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างหายวับไปกับตา”
“…”
“พี่คนนั้น ดูภายนอกแล้วช่างสุขุม นิ่งเฉยเอาเสียมากๆ แต่… แต่ตอนนั้นเหมือนเขาได้สูญเสียมิตรสหายกับคนรักไปมั้ง หลังจากนั้นมาเขาเลยรู้สึกผิดมาตลอด”
“รู้สึกผิดเหรอ… ก็เป็นไปได้”
“อือ แค่ดูการกระทำของเขาก็รู้แล้วล่ะ พี่สาวที่เคยเป็นคนรักของเขาน่ะ เป็นดอกไม้กลางคืนมาก่อน แล้วจู่ๆ พี่เขาถึงได้ใช้เหรียญทองที่สะสมมา สร้างอาคารเพื่อดอกไม้กลางคืนผู้นั้น พอเห็นฉันทีไร ก็มักจะคอยปฏิบัติตัวอย่างดีกับพวกเธอตลอด…”