Memorize - เล่มที่ 20 ตอนที่ 5
ยิ่งอิมฮันนาพูดต่อไปเรื่อยๆ เท่าไหร่ จุดจบของประโยคนั้นก็ยิ่งเลื่อนลอยออกไปมากทุกขณะ หล่อนปิดปาก นิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยพูดต่อมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วแอบดูถูกตัวเองอยู่กลายๆ
“ช่างเป็นความสนใจที่หาสาระอะไรไม่ได้เลยจริงๆ…”
ผมจึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า อิมฮันนาอาจจะชอบผู้เล่นที่หล่อนเรียกว่า ‘พี่’ ก็เป็นได้ แต่ผมก็ไม่ได้พูดเรื่องนั้นออกไปตรงๆ เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะน้ำเสียงของหล่อนที่กำลังเล่าให้ฟังอยู่ไงล่ะ น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความหลงใหลได้ปลื้มมากขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย
“ที่ผู้เล่นคนนั้นเข้าร่วมหน่วยกู้ภัย ก็เพราะรู้สึกผิดด้วยหรือเปล่าล่ะ”
“นิดหน่อยมั้ง เห็นว่ามีเพื่อนที่เคยทำกิจกรรมด้วยกันเมื่อก่อนอยู่ด้วย”
“งั้นคงมีอะไรเกี่ยวข้องกันก็ได้ ไม่ก็คงอยากลองทำดูล่ะมั้ง”
“ใช่ไหมล่ะ แต่เขาก็เป็นแบบนั้นมาตลอดเลยนะ เอาแต่บอกว่าไม่ต้องห่วง ให้รออยู่เฉยๆ ฉันก็เลยรออยู่เฉยๆ เหมือนที่เขาว่า หึๆ พอมาคิดๆ ดูแล้ว พี่เขาก็เป็นแบบนั้นอยู่เรื่อยเลยล่ะ เขาพูดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า รอก่อนนะ เชื่อพี่นะ อย่ากังวลนะ… แต่ฉันน่ะ ไม่มีอะไรจะพูดเลยล่ะ”
วินาทีนั้น ความคิดหนึ่งจึงได้ผุดขึ้นมาในหัวผม
‘ไม่เอา! จะให้ผมรออยู่อย่างนี้เฉยๆ อีกแล้วเหรอ’
“ตอนนั้นเธอก็เลยพูดไปแบบนั้นน่ะเหรอ ที่บอกว่าคราวนี้จะไม่ยอมอยู่เฉยๆ แล้วนั่นน่ะ”
“…อื้อ ฉันได้แต่รออยู่เฉยๆ ตามที่เขาบอก เมื่อตอนที่ฉันรู้ว่าพี่เขาเสียแล้ว ฉันก็นึกเสียใจกับการกระทำของตัวเองมาก ถึงจะบอกว่าไม่ใช่ยังไง…แต่ดูไปดูมา สาเหตุที่ทำให้พี่เขารู้สึกผิดก็คือ ตัวฉันเอง”
สาเหตุ?
ผมถอนหายใจเบาๆ ให้กับคำตอบของอิมฮันนา พร้อมรู้สึกสงสารในใจอยู่หน่อยๆ เพราะผมก็เคยมีประสบการณ์เช่นเดียวกับหล่อนเหมือนกัน
พี่ชาย
ถ้าจะว่าเรื่องความแตกต่าง ก็คงจะเป็นผมที่เอาแต่ออกอาละวาด ฆ่าทุกคนไม่เลือกหน้า เพราะไฟแค้นที่สุมอยู่ในอก ส่วนอิมฮันนานั้น ด้วยความที่เจอเรื่องกระทบกระเทือนมา จึงทำให้ตัวเองต้องมานั่งหวั่นวิตกในสิ่งที่ได้กระทำลงไป
“ดูเหมือนผู้เล่นคนนั้น จะคิดว่าเธอเป็นคนสำคัญสำหรับเขานะ”
ผมเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา ทันใดนั้นอิมฮันนาจึงยักไหล่น้อยๆ พร้อมส่งเสียงหัวเราะคิกๆ ออกมาให้ได้ยิน
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราสองคนอีกครั้งหนึ่ง แต่มันก็แค่ชั่วขณะเดียวเท่านั้น
“…”
“…”
ผมนึกสงสัยว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า แต่แล้วก็รู้สึกได้ว่าศีรษะของหล่อนกำลังเคลื่อนเข้ามาอยู่บริเวณแผ่นหลังอย่างช้าๆ
“ซูฮยอน ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะสารภาพ เรื่องที่ฉันไม่เคยพูดมาก่อน”
“อะไรล่ะ”
“ที่คาราวอนตอนนั้น มันกลายเป็นแบบนั้นไปเสียได้น่ะ… จริงๆ แล้วเป็นความผิดของฉันเอง ฉันเป็นตัวถ่วง ทำให้สถานการณ์มันเลวร้ายลง พวกเราเลยเสียท่า โดนพวกสัตว์ประหลาดจู่โจมเข้ามาจนพังยับเยิน”
“…เรื่องนั้นมันเป็นความผิดของเธอหรอกเหรอ”
อิมฮันนาได้ยินคำถามของผมเช่นนั้น จึงได้พยักหน้าน้อยๆ ให้หนึ่งครั้ง
“ฉันไม่มีหน้าจะไปมองใครได้เลยสักคน โดยเฉพาะพี่เขา ฉันแค่คิดว่าตัวเองเป็นตัวการ ทีนี้พอเขาชวนให้มาอยู่เผ่าเดียวกัน ฉันเลยปฏิเสธไป แล้วถอนตัวออกมาทันทีเลย ฉันคิดแค่ว่าไม่อยากจะอยู่เป็นตัวถ่วง ทำให้เขาลำบากอีกต่อไปแล้ว”
…มีสาเหตุมาจากเรื่องแบบนี้เองเหรอ
ผมจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง แล้วจึงค่อยพูดออกมาอย่างแผ่วเบาว่า
“แต่ฉันไม่คิดว่านั่นมันเป็นความผิดของเธอหรอกนะ”
“เอ๋? ทำไมล่ะ รู้เรื่องนั้นได้ยังไง”
“ก็เดาเอาไง ลองคิดดูอย่างใจเย็นลงหน่อยสิ มันไม่ใช่กรณีที่คล้ายกับของคราวนี้นี่นา ยกตัวอย่าง ถ้าเธอไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง เรื่องแบบนั้นมันก็จะไม่มีวันเกิดขึ้นเลย นี่ล่ะ และถ้าเธอทำผิดร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มๆ แล้วทำไมผู้เล่นคนนั้นถึงรู้สึกผิดล่ะ ก็เพราะมีเธอเป็นข้อแก้ตัวที่ดีของเขาไง”
“…!”
ผมรู้สึกได้ว่าอิมฮันนาเกิดอาการผงะ ดูท่าว่าคำพูดของผมคงจี้ใจดำหล่อนไม่น้อย
อิมฮันนาไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาอีก คงเพราะไม่มีคำใดจะพูดแล้วในขณะนี้ ดังนั้น ผมจึงเริ่มเปิดประเด็น พูดออกไปอีกครั้ง
“ฉันสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง”
“เอ๋? อื้ม”
“เมื่อก่อนเธอเคยบอกฉันไว้นี่ บอกว่าอยากจะลิขิตโชคชะตาของเธอใหม่น่ะ มันหมายความว่าอะไรกันแน่”
“อ้า…”
อิมฮันนาเปล่งเสียงอุทานออกมาน้อยๆ ให้กับคำพูดเช่นนั้นของผม
จ๋อม แจ๋ม
ในเวลาต่อมา ผมก็รู้สึกได้ว่าอิมฮันนากำลังค่อยๆ ปล่อยผมตัวเองอย่างช้าๆ แล้วจึงค่อยเคลื่อนตัวมาอยู่ตรงหน้า ประสานสายตาเข้ากับผม เส้นผมของหล่อนลอยละล่องอยู่ท่ามกลางสายน้ำใสสะอาด ดวงตาที่รื้นไปด้วยหยาดน้ำใสนั้นออกอาการสั่นไหวให้เห็น
“ตอนที่ฉันเจอคุณครั้งแรก ฉันตกใจมากเลยล่ะ ทั้งการกระทำหรือสายตาที่คุณมองรอบข้าง มันเหมือนกับพี่เขามากจริงๆ ฉันแอบมองคุณมาตลอดตั้งแต่แรกเลย…ไม่รู้เลยเหรอ”
“ไม่รู้ แต่พอได้มาฟังอย่างนี้ ก็คิดว่ามีส่วนคล้ายอยู่บ้าง…”
“คล้ายเลยล่ะ ก็คุณเอาแต่ทำอะไรต่อมิอะไรอยู่ตัวคนเดียวตลอดนี่”
พอหล่อนพูดออกมา ผมก็พูดอะไรต่อไม่ออก ความเงียบจึงเข้าปกคลุมพวกเรา
ทันใดนั้น อิมฮันนาก็หัวเราะหึๆ ก่อนที่จะสูดลมหายใจลึกๆ เข้าเต็มปอด แล้วหล่อนก็ได้พูดยืดยาวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำกว่าปกติ
“เพราะงั้นตอนที่พี่ยอนจูชวนให้ฉันเข้ามาร่วมเผ่าด้วยนะ ฉันถึงกังวลเอามากๆ เลย ใจหนึ่งก็อยากไป อีกใจหนึ่งก็คิดว่าจะไปดีไหมนะ ฉันจะทำได้ดีหรือเปล่า ฉันจะไม่ได้เข้าไปสร้างเรื่องอะไรอีกใช่ไหม ฉันเอาแต่เครียด ไม่สบายใจอยู่แบบนั้นแทบทุกคืน เครียดแล้วเครียดอีกเลยก็ว่าได้”
“เธอนี่ก็นะ…”
“ฉันเกิดคำถามมากมายอยู่ในใจเลยล่ะ แต่ด้วยความที่ฉันยังสนใจอะไรบางอย่างในตัวคุณ ฉันคิดอยากจะลองดูสักตั้ง ก็เลยตัดสินใจเข้าร่วมในที่สุด”
ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า นั่นคือเหตุผลจริงๆ ของเรื่องนั้น ส่วนดอกไม้กลางคืนถือเป็นเหตุผลลำดับที่สอง หากลองคาดเดาจากความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าตอนนั้นอิมฮันนาอาจจะรู้สึกสับสนกับตัวเอง และได้หลีกหนี ปลีกตัวออกมา โดยอ้างปัญหาเรื่องดอกไม้กลางคืน
“แต่คุณรู้อะไรไหมล่ะ ว่าเรื่องน่าขำมันคืออะไร หลังจากฉันเข้ามาได้ไม่เท่าไหร่ คุณก็ดันเดินทางไปมิวล์เสียได้ ทีนี้พอพวกเร่ร่อนมันโจมตีเข้ามาอีก ก็เลยขาดการติดต่อกันไปใช่ไหมล่ะ ตอนนั้นดูเหมือนฉันจะคิดอะไรขึ้นมาได้ด้วยล่ะมั้ง”
“หรือเธอจะคิดว่านั่นเป็นความผิดของเธออีก”
“…ก็สถานการณ์รอบตัวคุณมันเป็นแบบนั้นนี่ มิตรสหายก็ตาย พี่เขาก็ตาย ฉันเลยคิดว่าคุณเองก็คงจะตายจากฉันเหมือนกัน ทีนี้ฉันเลยคิดถึงเรื่องโชคชะตาขึ้นมาได้ไง อ้า ฉันนี่มันนางแม่มดดีๆ นี่เอง เรื่องราวหลังจากตอนนั้นมา ก็คงจะมีเรื่องโชคชะตาฉันเข้าไปเอี่ยวด้วยสินะ ฉันคิดแบบนั้น”
“ไม่มีทาง”
ผมส่ายหน้าเป็นพัลวัน ด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
แต่แล้วตอนนี้ ดูเหมือนผมจะพอรู้อะไรได้เล็กน้อยแล้วล่ะ ว่าสิ่งที่อิมฮันนาคิดมาตลอดจนถึงตอนนี้และสิ่งที่หล่อนตั้งใจจะพูดกับผม ณ ตอนนี้ แท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่ ผมไม่รู้หรอกว่าทำไมหล่อนถึงอ่อนโยนและสุขุมได้ตลอดเวลาเช่นนั้น ทว่าข้างในใจของหล่อน ดูเหมือนจะสับสนวุ่นวายอยู่พอตัว
“เธอก็เลยกังวลเรื่องฉันน่ะหรือ เธอรู้สึกผิด รู้สึกหวั่นใจ เพราะเรื่องครั้งนี้มันคล้ายกับกรณีของพี่คนนั้นล่ะสิ”
อิมฮันนาไม่ได้ตอบกลับมา หล่อนพยักหน้ารับแทน พร้อมกับขอบตาแดงก่ำที่มีน้ำตาคลอหน่วยใกล้จะไหลรินเต็มที
วินาทีที่ผมเห็นภาพเหล่านั้น จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุว่า อิมฮันนาก็เป็นผู้หญิงที่น่ารักเหมือนกัน
จึงเกิดเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้นมาอีกครั้ง
“ยิ้มทำไม…”
“เครียดอะไรไร้สาระเนอะ”
“…ชิ”
“ก็นะ ยังไงก็เถอะ ฉันไม่รู้หรอกว่าผู้เล่นที่เธอเรียกว่าพี่คนนั้น เขามีลักษณะท่าทางยังไง…”
ผมหยุดพูดไปชั่วขณะหนึ่ง หลังจากนั้นจึงค่อยๆ ลุกขึ้นมา
บทสนทนาระหว่างเรายาวกว่าที่คิดไว้เสียอีก ผมคิดได้ว่าตอนนี้ตัวเองก็แช่น้ำมาพอสมควรแล้ว ควรรีบไปล้างตัว และออกไปเลยจะดีกว่า
ผมสบตากับอิมฮันนาที่ช้อนตาขึ้นมามองผม พร้อมกับยื่นแขนทั้งสองข้างออกไป
“เมื่อกี้ได้ยินคำตอบของฉันแล้วใช่ไหม”
วินาทีนั้น หยาดน้ำใสในดวงตาที่ใกล้จะไหลรินของอิมฮันนาจึงได้ออกอาการสั่นไหวรุนแรงมากขึ้น หล่อนกัดริมฝีปากตัวเองน้อยๆ ก่อนที่จะค่อยๆ เผยรอยยิ้มบางออกมาให้เห็น
“อื้อ ได้ยินแล้ว”
อิมฮันนาจับมือผมแน่น ก่อนที่จะยันกายลุกขึ้นตาม สรีระร่างกายของหล่อนที่เผยโฉมให้เห็นอยู่ตรงหน้านี้ ทำเอาผมต้องลอบเบนสายตามองไปทางอื่นเลยทีเดียว
อิมฮันนาคงรู้สึกได้ถึงสีหน้าของผมเช่นนั้น จึงได้โปรยยิ้มหวานออกมา พร้อมพูดประโยคถัดมา ในขณะที่มือยังคงจับไว้เช่นเดิม
“หึๆ ทำไมเหรอ”
“ออกไปกันเถอะ”
“เดี๋ยวก่อนสิ”
“…?”
จังหวะที่ได้ยินเสียงนั้น แล้วหมุนกายกลับไปมองนั่นเอง ผมก็รู้สึกได้ว่า อิมฮันนากำลังเดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ