Memorize - เล่มที่ 20 ตอนที่ 7
ผมก้มมองอาหารหลากหลายที่โปะอยู่เต็มถาด พลางสะกิดเจ้ายูนิคอร์นน้อย เจ้านั่นรีบยกขาหน้าทั้งสองข้าง ก่อนที่จะเคลื่อนตัวเอาหน้ามาถูไถไม่หยุด แล้วจึงช้อนตาขึ้นมามองผม
ผมคิดว่าจะป้อนซุปเขาสักช้อนหนึ่งก่อน จึงเอื้อมมือไปหยิบช้อนขึ้นมา และในตอนนั้นนั่นเอง
“คือว่า… ท่านพี่”
ผมได้ยินเสียงเบาๆ ร้องเรียก จึงได้เงยหน้าขึ้นมอง แพคฮันกยอลกำลังมองผมด้วยสีหน้าประหม่าไม่น้อย
“ทำไม นายรู้เหรอ”
“มะ…ไม่ได้อยู่ที่ห้องวิจัยหรอกเหรอครับ”
“ห้องวิจัย? แล้วจะไปทำไมตอนนี้ล่ะ”
“ก็…เขากับพี่ซังยงเคยโต้รุ่งอยู่ด้วยกันที่ห้องวิจัยตลอดเลยนี่ครับ…”
ในตอนนั้นเอง
สมาชิกคนอื่นๆ ที่กำลังรับประทานอาหารในส่วนของตัวเองอยู่เงียบๆ ก็ได้หันหน้ามาจับจ้องแพคฮันกยอลพร้อมๆ กัน เจ้าหมอนั่นจึงได้แต่อ้าปากหวอ ผงะไปชั่วครู่หนึ่ง
“…?”
หลังจากนั้นพวกเขาก็พร้อมใจกันค่อยๆ เบนสายตามองไปทางอื่นแทน
ผมเอียงคอสงสัย พลางเบนสายตามองตามพวกเขาไปด้วย แล้วก็ได้เห็นอันซลที่นั่งกำช้อนในมือแน่น ไหล่ของเจ้าหล่อนออกอาการสั่นไหวอยู่เล็กน้อย ท่าทางเหมือนคนที่ใกล้จะแหกปากร้องไห้ออกมาเต็มที
“ทำไมจู่ๆ ทุกคนถึงได้…”
วินาทีที่ผมเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัยใคร่รู้นั่นเอง
“…อึก”
อันซลเงยหน้าขึ้นมากะทันหัน พลางส่งเสียงครวญครางสั้นๆ อยู่ในลำคอ จังหวะที่หล่อนเงยหน้าออกมาให้ทุกคนเห็นนั้น ผมก็เข้าใจได้เลยทันที ว่าทำไมหล่อนถึงได้เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่ตลอดเวลา
ดวงตาของอันซลแดงก่ำ คงเป็นเพราะเอาแต่ร้องไห้มาสักพักใหญ่แล้ว รอยคราบน้ำตาที่ไหลรินลงมา ยังคงประทับอยู่บนพวงแก้มให้เห็นอย่างเด่นชัด
“อันซล? ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ”
ผมพอจะรู้สาเหตุแล้ว แต่ก็ยังเอ่ยปากเรียกอันซลไปเช่นนั้น หล่อนได้ยินจึงรีบเม้มปากตัวเองแน่น
“ฮึก…”
ท่าทางของหล่อนเหมือนคนที่กำลังพยายามกลั้นใจ ไม่ให้ร้องไห้ ถึงกระนั้นหยาดน้ำตาก็เริ่มไหลริน ไหล่ที่เคยสั่นสะท้านอยู่น้อยๆ เมื่อครู่นั้น บัดนี้กลับเริ่มสั่นไหวรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ก็เลย
“แงงงงงง~”
ในที่สุดอันซลก็ไม่สามารถอดทนอดกลั้นได้อีกต่อไป จึงแหกปากร้องไห้กระจองอแงออกมาเสียงดังลั่น แต่เสียงร้องไห้หนนี้กลับฟังดูแปลกหูไปสักหน่อย อาจเป็นเพราะยังมีอาหารคาอยู่เต็มปากกระมัง
“เฮ้อ”
“ขะ ขอโทษ…”
เสียงถอนหายใจเบาๆ ต่างพร้อมใจกันดังขึ้นมาทั่วทุกสารทิศ มีอยู่บางคนที่ดูเหมือนจะกำลังสนอก สนใจจับตาดูปฏิกิริยาของผม
“ซล ฮึบไว้นะ อย่าร้องไห้สิ ท่านพี่อยู่ด้วยนะ หืม?”
เสียงจองฮายอนพูดปลอบประโลมอีกฝ่ายดังขึ้น แต่แล้วผมก็ได้แต่นั่งถอนหายใจ แล้วจึงมองข้ามเรื่องราวเช่นนั้นไปเสีย
“ฮึก แงง”
“มะ ไม่ได้การแล้ว ซูฮยอน! รอแป๊บนะ…”
ประโยคดังกล่าวของหล่อนดูเหมือนกำลังจะขออนุญาตทำอะไรบางอย่างอยู่กลายๆ ผมเห็นดังนั้น จึงยักไหล่กลับไป เหมือนบอกให้หล่อนทำได้เลยตามที่ต้องการ ทันใดนั้น จองฮายอนก็มองหน้าผมสลับกับอันซล ท่าทางของหล่อนดูเหมือนคนลนลาน ไม่รู้จะต้องจัดการอย่างไรต่อไป แล้วจึงค่อยพาตัวอันซลออกไปจากห้องอาหารในเวลาต่อมา
เสียงร้องไห้ค่อยๆ เบาลงไปเรื่อยๆ บรรยากาศรอบข้างกลับมาเงียบเหงาอีกครั้งหนึ่ง โกยอนจูจึงได้เอ่ยปากพูดออกมาอย่างแผ่วเบา
“ดูเหมือนจะยังสะเทือนใจไม่หายเลยนะคะ ก็นะ เราได้ร่วมคาราวานกัน ได้ทำอะไรด้วยกันตอนอยู่มิวล์…”
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นครับ”
“ยังไงก็เถอะ เจ้าเด็กนี่จริงๆ เลยเชียว ไม่เก็บอาการเลย…”
“เก็บอาการหรือ อันฮยอนกับอียูจองก็เป็นเหมือนๆ กับอันซลด้วยหรือเปล่าครับ”
ผมถามกลับไปด้วยท่าทีเรียบเฉย โกยอนจูได้ยินเช่นนั้น จึงยืนเกาหัวแกรกๆ พลางพูดต่อมาว่า
“งั้นให้ฉันพาพวกเขามาที่นี่ทั้งหมดเลยไหมคะ”
ผมไม่ตอบอะไรกลับไป แต่กลับตักซุปขึ้นมาหนึ่งช้อน ก่อนที่จะยื่นช้อนนั้นเข้าไปหาเจ้ายูนิคอร์นน้อย ดูเหมือนมันจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ในขณะนี้ ก็เลยหันซ้ายหันขวามองไปเรื่อย แต่แล้วก็หันกลับมากินซุปที่ผมป้อนแต่โดยดี
พอผมเห็นว่าเจ้ายูนิคอร์นน้อยเริ่มกินอาหารที่ตัวเองนั่งป้อนเรียบร้อยแล้ว จึงได้พูดกับอีกฝ่ายออกไปว่า
“ปล่อยเขาเถอะ”
“คะ?”
“ปล่อยเขาไปเถอะครับ เรื่องนี้เป็นปัญหาส่วนตัวของพวกเขาเอง ไม่ใช่ปัญหาที่สมาชิกเผ่าคนอื่นๆ จะต้องมานั่งใส่ใจด้วย เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปบังคับให้เขาออกมาหรอกครับ ปล่อยเขาไปจนกว่าเขาจะยอมก้าวเดินออกมาเอง ตอนนี้เรายังมีเรื่องที่จะต้องทำอีกเยอะ”
เมื่อผมพูดประโยคดังกล่าวจบ จู่ๆ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็ดูแปลกๆ ไปอย่างไรชอบกล แม้ผมจะไม่ได้สังเกตตรงๆ แต่ก็พอรับรู้ได้ว่าพวกเขาแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด
“ซูฮยอน ที่คุณว่ามามันก็จริงอยู่นะ แต่…”
“ผู้เล่นโกยอนจู”
“ค…คะ?”
โกยอนจูพลันมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย คงรู้สึกได้ถึงลักษณะการพูดของผมที่ผิดแผกไปจากเดิม แต่ด้วยประโยคนั้นนั่นแหละ ที่ทำให้หล่อนหยุดพูดได้
หลังจากผ่านช่วงเช้ามืดของวันนี้มาแล้ว ผมก็สามารถตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ จึงไม่มีความคิดที่จะพาตัวพวกเขามาปลอบ มาโอ๋แต่อย่างใด ไม่ได้คิดจะทำเช่นนั้นแต่แรกแล้วด้วย
“เดี๋ยวก่อนๆ…เอ้า ลองกินนี่ดูนะ”
ฮี้
ผมคิดว่าจะค่อยๆ ป้อนต่อไปทีละน้อย ทีละน้อย จึงได้ใช้มือฉีกขนมปังกรุ่นๆ แล้วยื่นส่งให้เจ้ายูนิคอร์นน้อย แต่มันกลับส่ายหน้าเป็นพัลวัน แล้วจึงค่อยดันขนมปังกลับมาหาตัวผม ท่าทางดูเหมือนกำลังจะบอกว่าให้ผมกินขนมปังชิ้นนี้ ให้ผมกินกับมันด้วย
ผมยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะกัดขนมปังในมือเสีย พอกลืนลงท้องไปได้สำเร็จแล้วนั้น จึงค่อยหันไปมองโกยอนจูอีกครั้งหนึ่ง หล่อนยังคงเฝ้ารอคำพูดของผมอยู่เช่นเดิม
“แล้วศพของคุณชินซังยงเป็นอย่างไรบ้างครับ”
“อ้อ ฉันจัดการให้เรียบร้อยแล้วค่ะ เก็บเอาไว้ในห้องที่เขาเคยใช้…”
“เหนื่อยแย่เลยนะครับ งั้นถ้าทานอาหารเสร็จแล้ว ขอให้นำเขามาที่บริเวณสนามหญ้าด้วยนะครับ”
“…รับทราบค่ะ”
ดูเหมือนหล่อนยังมีอะไรที่อยากจะพูดต่อ แต่แล้วโกยอนจูก็ได้พยักหน้าตอบกลับมาด้วยสีหน้าไม่เต็มใจเท่าใดนัก
หลังจากนั้น ผมจึงหันกลับไปสนใจอาหารของเจ้ายูนิคอร์นน้อยอีกครั้งหนึ่ง สมาชิกเผ่าคนอื่นค่อยๆ คลายสีหน้าแปลกๆ เมื่อครู่ทีละคน ทีละคน แล้วจึงเริ่มจัดการอาหารที่ยังหลงเหลืออยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
ผมจัดการอาหารในส่วนของตัวเองเสร็จสิ้น แล้วจึงเดินปลีกตัวออกมาจากห้องอาหารทันที และได้เดินไปกำชับลูกจ้างว่าให้เตรียมเสียมสำหรับขุด พอได้ตามที่ต้องการแล้ว ผมจึงรีบออกมายังสนามหญ้าในทันที
สนามหญ้าอันมีแสงแดดแสนอบอุ่นปกคลุมอยู่ ณ ขณะนี้ ผมกลับมองไม่เห็นใครเลยแม้แต่คนเดียว จึงค่อยๆ ใช้สายตากวาดมองทั่วอาณาบริเวณอย่างละเอียดถี่ถ้วน พอเจอตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว ผมจึงรีบเคลื่อนตัวไปยังตำแหน่งนั้นทันที
นี่แหละ ผมคิดว่าจะฝังศพของชินซังยงเอาไว้ในแคลนเฮาส์เมอร์เซนต์นารี่แห่งนี้ ไม่ได้คิดจะเผาศพเขาทิ้งไปแต่อย่างใด
ครั้งแรก และครั้งสุดท้าย
ผมคว้าเสียมในมือ ก่อนที่จะเริ่มขุดผืนดินที่จะไว้ฝังศพชินซังยง
แม้จะใช้เพียงพละกำลัง แรงกายของตัวเองล้วนๆ ไม่ใดปลุกพลังเวทมาช่วยแต่อย่าง แต่แล้วผืนดินเบื้องล่างก็เริ่มค่อยๆ บังเกิดหลุมออกมาให้เห็น แม้ผมจะใช้แรงขุดลงไปไม่ถึงสามสิบครั้ง แต่ผืนดินของสนามหญ้าอันแสนราบเรียบแห่งนี้ก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหลุมที่ใหญ่ขึ้นทีละนิด ทีละนิด วินาทีที่ผมกำลังตั้งใจจะขุดต่อลงไปอีกสักสิบครั้งนั่นเอง ก็รู้สึกได้ว่าใครบางคนกำลังเดินเข้ามาจากหน้าทางเข้าสนามหญ้าอย่างช้าๆ ผมหยุดการเคลื่อนไหวไว้เช่นนั้น ก่อนที่จะหันหน้ากลับไปมอง และแล้วก็ได้เห็นโกยอนจูที่กำลังเดินเข้ามา มือทั้งสองข้างของหล่อนกำลังโอบอุ้มโลงศพที่ทั้งกว้างและยาว
ผมมองโกยอนจูที่เดินเข้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนวางโลงศพลงในที่สุด พลางพยักหน้าให้หล่อนน้อยๆ
“จัดการได้ดีเลยครับ เหนื่อยแย่เลยนะครับ”
“ค่ะ ซูฮยอน…คือว่า”
“…?”
“ฉันสั่งไม่ให้สมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ออกมาข้างนอกสักพักหนึ่งไว้น่ะค่ะ เพราะฉันยังมีอะไรบางอย่างที่อยากจะพูดด้วย”
“จริงๆ ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่เห็นจะเกี่ยวกันสักเท่าไหร่เลย”
ผมตอบหล่อนไปพอประมาณ ก่อนที่จะก้มลงมองโลงศพที่โกยอนจูหอบหิ้วมา นี่ไม่ใช่เพียงแค่โลงศพธรรมดา แต่เป็นโลงศพกึ่งโปร่งแสง ที่ประดับประดาไปด้วยคริสตัลสีฟ้าสวย
ผมมองทะลุเข้าไปด้านใน แล้วก็ได้เห็นชินซังยงที่กำลังนอนยิ้มอยู่น้อยๆ สภาพศพของเขาได้ถูกฟื้นฟูขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีบาดแผลให้เห็นเลยแม้แต่จุดเดียว
ผมปรายตามองชินซังยงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ทันใดนั้นโกยอนจูที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“เมื่อกี้คุณคงจะเจ็บใจมากเลยล่ะสินะคะ พวกเด็กๆ เขาไม่รู้หรอกว่าซูฮยอนมีสภาพจิตใจเป็นยังไง ได้แต่…”
“ครับ? อ๋อ ไม่หรอกครับ ผมก็ไม่ได้เศร้ามากเท่าไหร่หรอก”
“ที่บอกว่าให้ปล่อยพวกเขาไปแบบนั้นน่ะ… พูดจริงใช่ไหมคะ”
ผมคว้าเสียม แล้วจึงเริ่มขุดดินอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะพยักหน้าตอบคำถามหล่อนกลับไป
“อย่างนี้นี่เอง คือ…ถึงฉันจะเข้าใจจุดประสงค์ของซูฮยอนอยู่แล้วก็เถอะ แต่มัน…”
“…”
“พวกเด็กๆ ยังเป็นแค่ผู้เล่นปีที่ศูนย์อยู่เลย ครั้งแรกที่ต้องเผชิญกับสงคราม และครั้งแรกที่ต้องสูญเสียคนรู้จัก…”
ผมรวบรวมเรี่ยวแรงขุดดินต่อไปเรื่อยๆ
“ผมทราบดีครับ และเพราะผมเข้าใจดี ผมเลยทำแบบนั้นไป ยังไงก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอยู่ดีนี่ครับ”
“ซูฮยอนกับพวกเด็กๆ น่ะเหมือนกันเสียที่ไหนกันเล่า ฉันคิดว่าถ้าซูฮยอนลองไปพูดเรื่องนี้กับพวกเขาสักนิด สักหน่อยก็คงจะดีนะคะ”
“ผมไม่คิดแบบนั้นนะ”