Memorize - เล่ม 14 ตอนที่ 14
เป็นการสละสิทธิ์อันง่ายแสนง่าย แต่ในตอนนั้น ผมจึงรับรู้ได้ว่าแววตาของจองฮายอนมีแสงสีฟ้าแวบผ่านไป พอแม้แต่วิเวียนก็ยังส่งสายตาสับสนให้ เธอจึงถอนหายใจสั้นๆ จากนั้นจึงยกยิ้มตรงมุมปากอย่างสดใสพร้อมกับพูดขึ้น
“ถ้าสิ่งที่พูดเป็นความจริง ฉันก็คิดว่าการมอบให้คุณวิเวียนเหมาะสมกว่าให้ฉันค่ะ ก็แค่รู้สึกแบบนั้นเท่านั้นค่ะ แน่นอนว่าเสียดายอยู่เหมือนกัน แต่ฉันก็ไม่อยากจะละโมบมากเกินไปด้วยค่ะ”
“จะ จริงเหรอ ฉันเอาไปได้จริงๆ เหรอ”
“ถ้าคุณซูฮยอนอณุญาตน่ะนะคะ”
“ว้าว!”
ผมได้ยินเสียงอันดีอกดีใจจนแทบกระโดดของวิเวียน แต่สายตาของผมยังคงจับจ้องอยู่ทางจองฮายอน คงรับรู้ได้ถึงสายตาแบบนั้นของผม เธอจึงส่ายหน้าเบาๆ โดยที่ยังไม่ลบรอยยิ้มออกไปจากใบหน้า
“จองฮายอน! ขอบคุณนะ! ขอบคุณจริงๆ!”
“ขอบคุณอะไรกันคะ ก็คุณ…”
จองฮายอนหยุดพูด จากนั้นเธอก็เว้นช่วงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“…เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีความสามารถนี่คะ”
จู่ๆ ผมก็คิดว่าจองฮายอนเปลี่ยนคำพูดกลางคันหรือเปล่า ถ้าลองคิดดู เธออยู่ในสถานะที่สูญเสียน้องสาวจองจียอนเพราะวิเวียน ถ้าเป็นเช่นนั้นก็น่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่น่าอึดอัดเป็นอย่างมาก แต่เธอกลับไม่แสดงออกอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อยตั้งแต่มิวล์มาจนถึงตอนนี้ ไม่สิ ถึงแม้จะใช้คำว่าสนิทสนมไม่ได้แต่ก็แสดงให้เห็นความสัมพันธ์อันปกติธรรมดาในฐานะสมาชิกเผ่าเสียด้วยซ้ำ
‘บางทีคงอ่านความคิดภายในใจของฉันก็ได้ เพราะอย่างนั้น…’
ไม่ว่าเรื่องไหนจะเป็นความจริง แต่ความตั้งใจอันแน่วแน่ของจองฮายอนเพียงพอที่จะได้รับความชื่นชม และผมถึงกระทั่งรู้สึกขอบคุณด้วย ผมคิดแบบที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการชวนให้เข้าร่วมเผ่าที่มิวล์เป็นการเลือกที่ดีจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยจองฮายอนประกาศอย่างเป็นทางการแบบนั้น ลูกตุ้มตาชั่งจึงเอนเอียงอย่างชัดเจน พอหันหน้าไป ผมก็เห็นวิเวียนซึ่งกำลังรอคำพูดของผมอย่างใจจดใจจ่อ เธอกำลังทำสีหน้าประหม่าราวกับลูกหมาปวดอึ ผมตัดสินใจว่าจะสรุปเรื่องออร์โดแห่งข้อบังคับให้จบตรงนี้
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะส่งมอบออร์โดแห่งข้อบังคับให้วิเวียนนะครับ กรณีที่จัดการพิธีส่งมอบเจ้าของไม่สำเร็จ ผมจะมอบอำนาจและสิทธิให้จองฮายอนนะครับ”
“ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลนะจ๊ะ!”
วิเวียนผวาอย่างกะทันหันแล้วส่งเสียงแว้ดออกมา
วิเวียนได้ครอบครองออร์โดแห่งข้อบังคับไปแบบนั้น เพราะความเสียสละของจองฮายอนจึงสามารถข้ามผ่านส่วนที่เรียกได้ว่าเป็นอุปสรรค(?)ที่สุดไปได้อย่างอุ่นใจ เนื่องจากแก้ปัญหาเรื่องออร์โดแห่งข้อบังคับได้แล้วจึงไม่ต่างอะไรกับข้ามผ่านภูเขาลูกใหญ่ไปได้
และขั้นตอนการแบ่งสรรปันส่วนหลังจากนั้นก็เป็นไปได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น เพราะอุปกรณ์ที่เหลือส่วนใหญ่มีข้อจำกัดที่แคบพอสมควรอยู่แล้ว
ผมแบ่งพาราดิซุส เพลท เมลกับตำนานแห่งฮอปโลนให้แพคฮันกยอล ทุกคนไม่มีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องที่ว่าคุณสมบัติของเครื่องป้องกันทั้งสองอย่างกับการสะท้อน ทักษะเฉพาะตัวของเขานั้นเหมาะสมกันเป็นอย่างดี ผมลองถามอันฮยอนเรื่องพาราดิซุสเผื่อเอาไว้ แต่เขาก็ส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ บางทีเขาคงคิดว่าตะวันเกรียงไกรน่าจะดีกว่า
แน่นอนว่าถ้าแพคฮันกยอลใช้ของพวกน้ันได้จนคุ้นเคยก็น่าจะเพิ่มค่าความสามารถได้ระดับหนึ่ง มีเงื่อนไขว่าเลื่อนออกไปจนกว่าจะถึงตอนนั้นก็จริง แต่เขาก็รับมันไปด้วยใบหน้าขอบคุณ
บันทึกการทดลองของมาร์โวลโลเป็นของวิเวียนโดยไม่มีอะไรต้องดูเลย ส่วนซีเคร็ตคลาส จอมเวทสายมืดแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงินก็ถูกมอบให้จองฮายอน คงสละสิทธิ์ออร์โดแห่งข้อบังคับไปจนหมดสิ้นจริงๆ เธอจึงดูไม่มีความเสียดายเลยแม้แต่น้อย กลับแสดงให้เห็นท่าทางที่รับหนังสือเล่มสีน้ำเงินที่ผมส่งให้ไปกอดด้วยใบหน้าพออกพอใจเสียด้วยซ้ำ
แรร์คลาสนักสู้ยามรุ่งสางกับรัตติกร อียูจองได้ครอบครองไป นักสู้ยามรุ่งสาง ผมคิดอยู่ตั้งแต่แรก ส่วนรัตติกรก็เป็นกริชซึ่งเป็นอาวุธหลักของเธอ สีหน้าของอียูจองซึ่งได้รับดาบเก่าๆ กับกริชสีขาวเงินนั้นนิ่งเป็นอย่างมาก
ไม่สิ เธอกำลังแกล้งทำเป็นนิ่งมากกว่า ดวงตาของเธอสั่นระริก ส่วนปากขยับขึ้นลงไม่หยุด ทั้งมือทั้งขาก็กำลังสั่นระรัวอยู่ เนื่องจากได้สืบทอดคลาสที่หวังไว้ถึงขนาดนั้น ผมจึงสามารถคาดเดาความรู้สึกภายในใจที่เธอรู้สึกอยู่ตอนนี้ได้เลย
มันน่าสับสนนิดหน่อยในการจัดแบ่งไทร์ฟิงค์ ถ้ามองดูใบมีดเป็นอย่างแรก การจะบอกว่ามันเป็นกริช แต่มันก็ยาวไปหน่อย พอจะบอกว่ามันเป็นดาบยาว มันก็สั้นเกินไป ถ้าลองคำนวณดูดีๆ น่าจะใกล้เคียงกับกริชมากกว่าหรือเปล่านะ แต่เหตุผลแบบนั้นเป็นเพียงปัญหาที่รองลงมา ความจริงที่ว่ามันเป็นดาบเวทมนตร์ยิ่งทำให้สถานการณ์คลุมเครือมากกว่าเดิม
แต่ในที่สุดผมก็เลือกเจ้าของได้ ไม่สิ จะมองว่าเจ้าของถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วก็ไม่ผิด ในตอนที่ผมสละสิทธิ์ในการครอบครองไทร์ฟิงค์ ผู้เล่นที่พอจะควบคุมมันได้ก็มีโกยอนจูเพียงคนเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะอุปนิสัยคลุมเครือของเธอ มันเหมือนจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นสุดท้ายแล้วผมจึงตัดสินใจว่าจะให้โกยอนจูรับไทร์ฟิงค์ไป
ด้วยเหตุนี้ สิ่งของที่เหลือก็คือโพชั่นพิเศษด้านพลังเวทกับที่คาดผมอันบริสุทธิ์ ของสองชิ้นนี้ไม่มีใครร้องขอสิทธิในการครอบครองเลย แต่ผมสังเกตเห็นว่าทุกคนก็อยากครอบครองเช่นกันถึงจะไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมา
โดยเฉพาะโพชั่นพิเศษด้านพลังเวทยิ่งมีแนวโน้มที่จะทำแบบนั้นกันมากกว่า สมาชิกเผ่าที่ได้รับสิ่งของไปแล้วน่าจะรู้สึกผิดหากเอาไปเพิ่ม ส่วนเด็กๆ ที่ควรกินโพชั่นพิเศษด้านพลังเวทนี้ในบรรดาสมาชิกเผ่าที่ไม่ได้รับของก็มีอันซลกับชินซังยง ปัญหาคือทั้งสองคนต่างก็ไม่กล้าพอที่จะฉกเอาโพชั่นพิเศษนี้ไปได้
ในที่สุด สิทธิในการเลือกของทั้งสองอย่างนั้นจึงกลับมาอยู่ที่ผม ผมมีหน้าที่ในการจัดการเรื่องนี้อย่างถูกต้องเหมาะสมในฐานะแคลนลอร์ด ผมจ้องมองของสองอย่างที่วางไว้ตรงหน้านิ่งๆ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ สายตาของสมาชิกเผ่าทุกคนจับจ้องมาทางผม
‘พอจองฮายอนกลายเป็นคลาสลับ พลังเวทก็น่าจะเพิ่มขึ้นด้วย…ถ้างั้นก็จะต้องให้คนใดคนหนึ่งระหว่างอันซลกับชินซังยงสองคน แต่ทำไมทั้งสองคนถึงเป็นอย่างนั้นกันนะ’
ชินซังยงทำให้ผมรู้สึกพูดไม่ออกอยู่ในใจเพราะเขาเอาแต่ส่ายหัวไปมาพร้อมกับโบกไม้โบกมือราวกับตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง อันซลเองก็เช่นกัน เธอเอาแต่หลบตาผมอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว บอกว่าตัวเองจะเอาแล้วทะเลาะกันยังจะดีเสียกว่า หากเอาแต่เสียสละให้กันแบบนี้คงไม่จบไม่สิ้นสักที เพราะอย่างนั้นผมจึงรู้สึกตัดสินใจลำบากมากยิ่งขึ้น
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหยิบที่คาดผมอันบริสุทธิ์ใส่ไว้ในเสื้อ ที่่คาดผม ผมสรุปไว้แล้ว แต่โพชั่นพิเศษด้านพลังเวทจำเป็นจะต้องขอคิดให้มากกว่านี้หน่อย แน่นอนว่าความคิดนั้นน่าจะไม่ได้ใช้เวลานานด้วย ยิ่งยืดเวลาออกไป ความเป็นไปได้ที่จะข้ามพ้นเรื่องนี้ไปอย่างไม่ชัดเจนก็ยิ่งสูง เพราะฉะนั้นผมคิดจะจัดการให้เสร็จเรียบร้อยจนกว่าการสรุปผลครั้งนี้จะเสร็จสิ้น
แต่ในเมื่อสิทธิในการตัดสินใจตกอยู่ที่ผม จึงจำเป็นจะต้องมีเวลาที่จะคิดดูประมาณหนึ่งด้วย
“เฮ้อ ทราบแล้วครับ ของสองชิ้นนี้ ผมจะจัดการตามความต้องการของผมนะครับ แต่ก่อนอื่น”
ผมหยุดพูดไปครู่หนึ่งแล้วหันไปมองสมาชิกเผ่า โกยอนจู วิเวียน จองฮายอน อียูจอง ผู้หญิงสี่คนนี้แต่ละคนกำลังลูบไล้สิ่งของที่ผมมอบให้อย่างหวงแหน
ผมมองภาพเหตุการณ์นั้นแล้วอมยิ้มบางๆ พลางพูดต่อ
“เรามาดูขั้นตอนในการทำพิธีส่งมอบเจ้าของกับสืบทอดคลาสให้เรียบร้อยกันดีไหมครับ”
* * *
พระอาทิตย์ลอยอยู่กลางท้องฟ้าแล้วกำลังส่องสว่างลงมาอย่างเจิดจ้า ภายในเลิฟเฮาส์ยามเที่ยงมีเพียงความเงียบเหงา พวกดอกไม้กลางคืนต่างกำลังหลับใหล และในชั้นหนึ่ง นอกจากใครคนหนึ่งแล้ว โต๊ะทุกตัวก็ว่างเปล่า การค้าขายคงไม่ได้ไปได้สวย มาดามที่คอยดูร้านค้าจึงกำลังพูดคุยอย่างออกรสออกชาติกับผู้เล่นที่นั่งอยู่บนโต๊ะ
“คนอื่นๆ ล่ะ”
“อือ~ พี่ซังยงยังคุยกับท่านพี่อยู่เลย~ พี่ฮยอนบอกว่ามีเรื่องต้องค้นคว้าก็เลยออกจากห้องไปแล้ว~ ส่วนพี่ๆ คนอื่นทุกคนก็น่าจะมัวแต่ตั้งอกตั้งใจดูอุปกรณ์อยู่ในห้องค่า”
“อ๋อ อย่างนั้นเอง ว่าแต่ซลของพี่กำลังเศร้าอยู่เนี่ย ทำยังไงดีล่ะ”
“อึ้ก หืม อะไรเหรอคะ”
อันซลดูดเครื่องดื่มที่อิมฮันนาเอามาให้แล้วจึงย้อนถาม
“ครั้งนี้บอกว่าไม่ได้ถูกแบ่งอะไรมาให้เลยไม่ใช่เหรอ”
“อ๋อ~ แหะๆ ไม่เป็นไรค่า จนถึงตอนนี้ฉันน่ะได้รับมาเยอะมากแล้วค่ะ~ แล้วก็ฉันมีความเป็นไปได้ในการพัฒนาเยอะเพราะยังเป็นผู้เล่นปีที่ศูนย์ แต่พี่ซังยงแทบจะพัฒนาไม่ได้แล้วนี่คะ เพราะฉะนั้นฉันน่ะ กลับต้องการให้พี่ซังยงได้มันมากกว่าอีก”
“อย่างนี้นี่เอง ซลของพี่เนี่ยเป็นเด็กดีจริงๆ”
“แหะๆ”
อันซลหยิบลูกแก้วสีขาวกับแหวนขึ้นมาดูแล้วหัวเราะอย่างสดใส อิมฮันนาจ้องมองเธอที่ทำท่าทางแบบนั้นอย่างปลาบปลื้มแล้วคงรู้สึกได้ว่ามีใครเดินลงบันไดมาจึงหันหน้าไปเล็กน้อย ชินซังยงกำลังเดินลงบันไดมาด้วยใบหน้าอ่อนล้า
ชินซังยงเดินโซซัดโซเซลงมาแล้วคงเห็นทั้งสองคนจึงก้มหัวลง
“สะ สวัสดีครับ”
“ค่ะ สวัสดีค่ะ คุยกับลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่เสร็จแล้วเหรอคะ”
“ฮะ ฮ่าๆ เสร็จเมื่อกี้นี้เลยครับ เฮ้อ…”
ชินซังยงมองกล่องไม้ที่ถือไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วถอนหายใจพลางส่ายหน้าไปมา จากนั้นเขาก็เปิดกล่องแล้วเอามือหยิบของที่อยู่ข้างในออกมา นิ้วชี้ของเขาคีบลูกแก้วสีดำที่มีกลิ่นหอมฟุ้งออกมา
“โอ๊ะ ยินดีด้วยนะคะ”
“ยินดีด้วยค่ะ น่าอิจฉาจริงๆ เลยค่ะ”
แม้ว่าหญิงสาวทั้งสองจะแสดงความยินดีแต่ชินซังยงกลับได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นเท่านั้น อันซลมองเขาที่ทำท่าทางแบบนั้นแล้วเร่งเร้าเขาอย่างร้อนใจ
“รีบทานเลยค่ะ เร็วเข้าา”
“ฮ่าๆ ครับ ทราบแล้วครับ”
คำตอบบอกว่าจะกิน แต่มือของชินซังยงกลับไม่ยกขึ้นไป แต่กลับขยับเข้ามาใกล้โต๊ะกินข้าวทีละก้าวทีละก้าวแทน
“เดิมทีผมคิดว่าโพชั่นพิเศษนี้ต้องถูกมอบให้น้องอันซลถึงจะถูกต้อง ไม่คิดเลยว่าจะมอบให้ผมครับ ผมกลุ้มใจมาก แต่แคลนลอร์ดกลับบอกว่าให้ทำตามที่ผมต้องการ เพราะอย่างนั้นผมจึงคิดจะทำตามคำพูดของแคลนลอร์ด แต่ยังไงผมก็ต้องมาขออนุญาตน้องอันซลเสียก่อนครับ”
“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ไม่ต้องคิดแบบนั้นก็ได้ค่า”
“พูดแบบนั้น ผมก็ทำได้แค่ขอบคุณสิครับ อ้อ ว่าแต่น้องอันซล”
ชินซังยงเดินมาถึงโต๊ะแล้วยิ้มอย่างสบายใจพลางเรียกอันซล ในระหว่างที่อิมฮันนาเฝ้ามองทั้งสองคนอย่างสนอกสนใจ อันซลก็อ้าปากกว้างพลางหาว ดูเหมือนจะง่วงเพราะวันนี้ตื่นเช้า
“หาว ง่วงจางเยย เอ๋”
แล้วดวงตาของชินซังยงซึ่งมองดูภาพนั้นอยู่ก็มีประกายแวบผ่านไป เขาชี้ไปทางประตูทันที
“อ้อ ด้านนอกนั่นใครกำลังเรียกน้องอันซลอยู่น่ะครับ”
“หาว คะ ใครคะ”
อันซลหันหน้าไปทางทางเข้า แต่ตรงทางเข้ากลับไม่มีใครเลย
บนหัวของอันซลมีเครื่องหมายคำถามเด้งขึ้นมา ถึงอย่างนั้นดูจากที่ปากของเธอยังคงอ้ากว้าง คงจะหาวออกมาอีกหลายครั้งแน่
“หาว ไอ่เอ็นอีใอเอออ่ะ”
อันซลหาวออกมาไม่หยุดพร้อมกับหันหน้ากลับมา และในตอนที่เธอพูดเสียงอ้อแอ้พร้อมกับหันไปอีกครั้ง มือของชินซังยงก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าไปทางปากที่อ้ากว้างอยู่
“อุ๊บ!”
อึ้ก
“อุแหวะะ!”
“ฝืนอาเจียนออกมาไม่ได้นะครับ มันอันตรายต่อร่างกายนะ”
“อุแหวะะ! อุแหวะะะ!”
“นะ น้องอันซล ได้โปรดหยุด…”