Memorize - เล่ม 14 ตอนที่ 15
ชินซังยงห้ามปรามแต่นิ้วชี้ของอันซลยังล้วงเข้าไปในช่องคอไม่หยุด แต่โพชั่นวิเศษไหลลงไปในหลอดอาหารนานแล้ว อีกทั้งกลางอากาศยังมีข้อความโผล่ขึ้นมาว่า ‘พอยต์คงเหลือของพลังเวท(โดยเฉพาะ)เพิ่มขึ้นสองพอยต์’ แล้วด้วย
“แงงง…”
พอโพชั่นพิเศษไม่ไหลย้อนกลับมาแม้จะบังคับให้มันอาเจียนออกหลายครั้ง อันซลจึงยืดเอวที่เคยโค้งลงด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอเต็มหน่วย ชินซังยงทำอะไรไม่ถูกแล้วได้แต่เกาหลังคอ จากนั้นจึงพูดขึ้นราวกับปลอบโยนด้วยน้ำเสียงเข้าอกเข้าใจ
“นะ น่าจะรู้อยู่แล้วแต่จะบอกเผื่อไว้นะครับ การทำให้พอยต์เพิ่มขึ้นทันทีในตอนนี้เป็นตัวเลือกที่ไม่ดีจริงๆ ครับ อีกทางเลือกหนึ่งคือเก็บรักษามันไว้สักสองปี เอาไว้ใช้ตอนที่การเพิ่มขึ้นของค่าความสามารถหยุดชะงัก ผมลองพิจารณาดูแล้วก็ว่าดีแต่ว่า…เฮือก!”
“แงงงง!”
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเสียงร้องไห้ของอันซลที่ระเบิดออกมาพร้อมเอาหัวมาโขกเขาอย่างเต็มแรงทั้งหมดที่มี ชินซังยงถูกโจมตีอย่างกะทันหัน ได้แต่เอามือกุมท้องเอาไว้พลางงอตัวลง ส่วนเธอก็ร้องไห้งอแงพลางวิ่งขึ้นบันไดไป และดูจากที่ได้ยินเสียงร้องตะโกนว่า ‘ท่านพี่!’ จากชั้นสอง คงจะไปฟ้องคิมซูฮยอนแน่ๆ
“ฮะ ฮ่าๆ นี่มัน…”
ถึงแม้ว่าจะถูกโจมตีสุดแรงอย่างกะทันหันแต่คงไม่ได้เจ็บสักเท่าไร ชินซังยงจึงยิ้มอย่างขวยเขินพลางลูบท้อง
อิมฮันนามองดูสถานการณ์ต่อเนื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ และสีหน้าของเธอซึ่งมองชินซังยงก็กึ่งตกใจกึ่งสนใจ เธอจ้องมองเขานิ่งๆ ครู่หนึ่งแล้วจึงปริปากพูดขึ้นช้าๆ
“ไม่เป็นไรเหรอคะ”
“คะ ครับ อ๋อ ครับ ก็…”
“ถึงอย่างนั้นลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ก็สั่งด้วยตัวเองเลยนะคะ ต้องโกรธแน่เลย~”
“ครับ ก็ ถึงเป็นผมก็คงโกรธครับ กะ ก็ได้แต่ขอโทษเท่านั้นละครับ เพราะฉะนั้นก็เลยตั้งใจจะหนีไปสักเดี๋ยว”
มองไม่เห็นท่าทีเสียดายจากชินซังยงซึ่งพูดติดตลกออกมาอย่างไม่สมกับเป็นเขาเลยแม้แต่น้อย กลับแสดงให้เห็นถึงท่าทีโล่งใจแทน
“ไม่เสียดายเหรอคะ ซลเป็นผู้เล่นปีที่ศูนย์ เพราะฉะนั้นยังมีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนา แต่คุณชินซังยงไม่ใช่แบบนั้นนะคะ”
“ผมเองก็เป็นผู้เล่นครับ พูดตามตรงว่าไม่มีทางไม่เสียดายหรอกครับ”
“ถ้างั้นทำไม…”
“ผมได้รับสิ่งต่างๆ มากมายหลังจากอยู่ร่วมเผ่ากับหัวหน้าครับ หัวหน้ารักษาสัญญา เพราะฉะนั้นตอนนี้ถึงคราวที่ผมจะต้องรักษาสัญญาแล้วครับ”
“สัญญาเหรอคะ”
พออิมฮันนาเอียงหัวด้วยความสงสัย มุมปากของชินซังยงก็ยกยิ้มขึ้น แววตาของเขาเหมือนจะเลือนรางไปราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงสงบ
“ผมเคยเรียนรู้การเล่นแร่แปรธาตุครับ แน่นอนว่าต่อให้บอกว่าจุดเริ่มต้นคือนักเวทแต่ผมไม่สามารถเอาชนะความโลภมากของตัวเองได้เลยศึกษาการเล่นแร่แปรธาตุครับ หมายถึงการเล่นแร่แปรธาตุชั้นต่ำที่ไม่มีประโยชน์อะไร”
“…”
“ตอนแรกผมไม่ต่างอะไรกับร่างไร้ลมหายใจครับ ถ้าเป็นเหมือนกับแต่ก่อน ตอนนี้คงจะหายไปแบบไร้ร่องรอยในซอกหลืบไหนสักแห่งที่มิวล์แล้ว แต่คงโชคดี ผมจึงได้รับการช่วยชีวิตจากลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ครับ หัวหน้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ครับ ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้เล่น แต่ในฐานะมนุษย์ด้วย อย่างน้อยผมก็คิดแบบนั้นครับ”
อิมฮันนาจิ้มนิ้วชี้เข้าหากันในท่าประสานมือ ชินซังยงคงประหม่าเพราะไม่ได้พูดยาวๆ มานานแล้ว เขาจึงกลืนน้ำลายจนลำคอเคลื่อนไหวหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ถอนหายใจสั้นๆ พลางพูดต่อ
“ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ หัวหน้าคืนอุปกรณ์ทั้งหมดให้แบบไม่มีเงื่อนไข แล้วก็รับฟังคำขอที่มากเกินไปของผมว่าอยากเรียนรู้จากท่านอาจารย์ แถมหลังจากนั้นยังมอบกระทั่งแรร์คลาสให้ด้วย เพราะอย่างนั้น ผมจึงทลายกำแพงที่เคยขวางกั้นตัวเองเอาไว้ได้ ถ้านึกถึงความรู้สึกที่เคยรู้สึกในตอนนั้น หัวใจของผมก็ยังเต้นรัวอยู่เลยครับ”
“อ๋อ ติดหนี้บุญคุณที่ช่วยชีวิตไว้นี่เอง ถึงอย่างนั้นทานโพชั่นวิเศษเข้าไปแล้วทำให้ค่าความสามารถเพิ่มขึ้น จากนั้นคอยช่วยเหลือแผนการในอนาคตของเผ่าก็น่าจะดีเหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ เห็นได้ว่าวินวินกันทั้งสองฝ่ายเลย”
“ผมสัญญาว่าจะผนึกกำลังกันกับสมาชิกเผ่าในตอนนี้พร้อมกับทำให้ดีที่สุดครับ แต่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเล่ห์เหลี่ยมจัดจริงๆ ผมคิดไปเองว่าหากเป็นมิตรต่อกันไปเรื่อยๆ ก็จะเรียกร้องอะไรต่อมิอะไรได้อย่างชอบธรรมน่ะครับ ผมอยากรักษาความรู้สึกในตอนนั้นไว้แบบเดิมครับ ในตอนที่ได้รับโพชั่นวิเศษมา ผมรู้สึกเหมือนกับสูญเสียความตั้งใจแรกของตัวเองเลย ผมไม่อยากกลายเป็นคนชั่วช้าที่ทดแทนบุญคุณด้วยสิ่งที่ไร้คุณธรรมครับ”
ชินซังยงพูดจบในรวดเดียว จากนั้นก็โพล่งขึ้นมาว่า “อ๊ะ” พร้อมกับทำตาโต บางทีคงจะตกใจตัวเองที่ไม่พูดติดอ่างเลยสักครั้ง จากนั้นเขาก็เหลือบมองบันไดด้วยใบหน้าเหมือนบอกว่าพลาดไปพลางยิ้มอย่างเงอะๆ งะๆ พร้อมกับเปลี่ยนทิศทางเดิน
“ธะ โธ่เอ๊ย บางทีลอร์ดคงกำลังลงมานะครับ ผมตัดสินใจว่าจะขออภัยทีหลังและตอนนี้คงต้องหนีไปก่อนแล้วครับ มัวแต่เถียงกันว่าจะรับหรือไม่รับเกือบหนึ่งชั่วโมงก็เลยหมดเรี่ยวหมดแรงไปหมดแล้วครับ”
“ไปทางด้านซ้ายค่ะ ฉันจะบอกให้ว่าคุณไปทางขวา”
“ถ้าทำแบบนั้นผมก็จะขอบคุณมากๆ เลยครับ ถ้างั้นผมรีบ…”
ชินซังยงคงขยาดกับบทสนทนากับคิมซูฮยอน เขาจึงออกจากประตูไปอย่างลุกลี้ลุกลน
อิมฮันนามองเขาที่หายไปทางด้านซ้ายแล้วขยับมือที่เคยประสานกันมากุมตรงข้อศอกไว้แทน
“ฮึ น่าอิจฉาจังนะ”
อิมฮันนามองบันไดด้วยแววตาแปลกๆ แล้วแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากเล็กน้อย
* * *
“จะต้องคว้าไว้ให้ได้ค่ะ”
แคลนเฮาส์ของอีสตันเทลลอว์ เสียงของพัคดายอนกำลังดังก้องขึ้นภายในห้องรับรองสำหรับต้อนรับแขกที่จะมา
ภายในห้องรับรองที่ประดับตกแต่งอย่างหรูหรามีคนทั้งหมดสามคนนั่งอยู่ พัคดายอนกับยอนฮเยริมนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่ตรงโต๊ะที่ถูกขัดเป็นมันวาว ส่วนตรงหัวโต๊ะมีฮันโซยองนั่งอยู่ด้วยใบหน้าเฉยชา
“โอ๊ย ให้ตาย จะมาเมื่อไร เมื่อวานติดต่อไปแท่นบูชาแล้วนะ ป่านนี้ยังไม่มานี่มันยังไงกัน”
“พี่ฮเยริม ได้รับการติดต่อเข้ามาเมื่อกี้นี้ว่ามาแล้วค่ะ อดทนรอหน่อยเถอะค่ะ นะ แล้วก็ห้ามพูดอะไรแบบนั้นต่อหน้าลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่อย่างเด็ดขาดนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราสองคนสนิทกัน สะสมความสนิทสนมกันไว้ตอนอยู่สถาบันน่ะ โฮะๆ ไม่สิ เดี๋ยวก่อนนะ เดิมทีเธอไม่ค่อยชอบเขาไม่ใช่เหรอ”
“นั่นเป็นเพราะพี่โซยองทำตัวให้ไม่อยากจะเชื่อก็เลยเป็นอย่างนั้นน่ะสิคะ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วค่ะ”
คำพูดของพัคดายอนทำให้ยอนฮเยริมลอบยิ้ม จากนั้นจึงโน้มตัวลงแล้วยื่นมือออกมาเงียบๆ พลางถามว่า “อะไรไม่เหมือนเดิมล่ะ” พร้อมกับเริ่มลูบคลำร่างกายของพัคดายอนอย่างช้าๆ พัคดายอนปัดมือของยอนฮเยริมออกด้วยความเคยชิน จากนั้นเธอก็ทำตาโตแล้วโวยวายเสียงดังออกมา
“สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้วนิดหน่อยยังไงล่ะคะ ชื่อเสียงของเมอร์เซนต์นารี่น่ะพุ่งสุงทะลุฟ้าแล้วนะ ต้องรีบออกมาประกาศว่าเป็นของตัวเองเร็วๆ เพื่อไม่ให้ไปคุยโวที่อื่นได้สิคะ”
“เรื่องนั้นฉันก็รู้น่า เดิมทีวางแผนไว้แบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“แต่ยังไงมันก็มีความแตกต่างหลังจากพิสูจน์แล้วนี่คะ พูดตามตรงว่าบันทึกจากมิวล์ดูเป็นการประชาสัมพันธ์เว่อร์เกินจนไม่น่าเชื่อถือเท่าไร แต่เมอร์เซนต์นารี่กลับประสบความสำเร็จในการออกเดินทางไกลไปหุบเขามายาแถมยังช่วยชีวิตพวกผู้เล่นกลับมาได้อีก อย่างกับบอกว่าดูฉันสิๆ อย่างนั้นเลยค่ะ”
“เดี๋ยวสิ เพราะอย่างนั้นถึงถามไงว่าตอนก่อนหน้านี้กับตอนนี้มีอะไรเปลี่ยนไป”
“โอ๊ย จริงๆ เลย! ทำไมเมอร์เซนต์นารี่ถึงยอมรับการมอบหมายแล้วถึงกับเลื่อนการตั้งถิ่นฐานไปก่อนล่ะคะ พูดได้คำเดียวว่าเป็นเพราะอวดเก่งยังไงละคะ พวกเรามีความสามารถในระดับนี้! ผลงานที่ทำสำเร็จที่มิวล์ไม่ใช่เรื่องโกหก! พวกเขากำลังบอกออกมาแบบนี้ไงคะ พอประสบความสำเร็จในการออกเดินทางไกลครั้งนี้ก็เลยยิ่งหนักกว่าเก่า รู้ใช่ไหมคะว่าตอนนี้ฉันพูดถึงเรื่องอะไรอยู่”
ในที่สุด พัคดายอนก็ระเบิดอารมณ์ออกมาพร้อมกับพูดราวกับตำหนิ ยอนฮเยริมจึงทำปากยื่นพลางชักมือกลับเข้าที่เดิม พัคดายอนพ่นลมออกทางจมูกอย่างแรงไปทางยอนฮเยริมแล้วจึงเต้นแบบยักไหล่พลางฮัมเพลงขึ้นจมูก
“หืม ถึงไม่ใช่อย่างนั้น พวกคนของเผ่าโครยอก็บอกว่าเผ่าแฮมิลออกมาจากพรินซิก้า แล้วยังบอกว่าเกลียดท่าทางอวดดีแบบนั้นด้วยนะ ดีมากเลย ดีจริงๆ ฮืม ฮือ ฮืม ฮือ”
“แฮมิลเหรอ แฮมิลคืออะไรน่ะ”
“เมื่อไม่นานมานี้ คิมยูฮยอนสร้างเผ่าขึ้นมาเผ่าหนึ่งไงคะ ชื่อของเผ่านั้นคือฟ้าหลังฝนค่ะ หมายถึงท้องฟ้าอันปลอดโปร่งแจ่มใสหลังฝนตก”
“คิมยูฮยอนเหรอ อ๋อ ราชาแห่งสายฟ้าน่ะนะ”
“ค่ะ ยังไงก็ตาม มอร์เซนต์นารี่น่ะ พวกเราก็…”
นับดูแล้วทั้งห้องมีอยู่สามคน แต่คนที่กำลังพูดอยู่มีเพียงสองเท่านั้น แต่เพราะอะไรไม่รู้ถึงมีเรื่องที่จะพูดมากขนาดนั้น ระดับความดังที่ก้องไปทั่วห้องรับรองจึงค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
มองอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ดูจากที่เดิมทีโมนิก้าเป็นเมืองที่มีความสงบเรียบร้อยสูง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหรือรอบๆ จึงเป็นเช่นเดียวกันเสมอ เพราะอย่างนั้น ถึงแม้ไม่รู้ว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า แต่กระแสที่ถาโถมเข้ามาเนื่องจากการเดินทางไกลไปสำรวจของเมอร์เซนต์นารี่ในครั้งนี้ ก็กลายเป็นเรื่องราวที่อัดแน่นอยู่ในหัวข้อสนทนาของพวกผู้เล่นที่จมปลักอยู่กับความเบื่อหน่าย
ในตอนที่เสียงโหวกเหวกโวยวายที่ดังขึ้นภายในห้องเงียบสงบลง คือตอนหลังจากที่ได้รับข่าวจากผู้ส่งข่าวว่าลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่กำลังมายังห้องรับรอง
“ทุกคนเงียบ”
พอฮันโซยองผู้ซึ่งเพียงแต่นั่งอยู่เงียบๆ พลางยกแก้วชาขึ้นจิบเอ่ยปากพูดขึ้น พัคดายอนกับยอนฮเยริมจึงปิดปากเงียบทันที
ในระหว่างที่ความเงียบเข้าปกคลุม ไม่นานนักจึงได้ยินเสียงเคาะประตูก๊อกๆ
“เชิญเข้ามาเลยค่ะ”
คนที่ตอบคือพัคดายอน น้ำเสียงอ่อนลงมาก ต่างกับตอนที่เอะอะโวยวายเมื่อครู่นี้ ในตอนที่ยอนฮเยริมจ้องมองด้วยใบหน้าบอกว่าไม่น่าเชื่อ ประตูที่เคยปิดอยู่จึงเปิดออกอย่างช้าๆ แล้วจึงได้เห็นภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเกราะทรงเสื้อโค้ทตรงกลางระหว่างประตูที่เปิดอ้าออกนั้น ตามที่ได้รับการนำทางจากลูกจ้าง
เขาหันมองดูคนภายในห้องปราดเดียวแล้วจึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันทุ้มต่ำ
“สวัสดีครับ”
“ยินดีต้อนรับค่ะ ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ เชิญนั่งทางนี้เลยค่ะ”
“ครับ รบกวนด้วยนะครับ”
หลังจากลูกจ้างปิดประตูลง ชายหนุ่ม ไม่สิ คิมซูฮยอนก็ค่อยๆ นั่งลงตรงที่ที่ฮันโซยองชี้มา
ฮันโซยองจ้องมองใบหน้าของคิมซูฮยอนซึ่งลูบไล้แก้วชาอย่างตั้งอกตั้งใจ เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกับตอนที่เห็นเมื่อก่อนเล็กน้อย ริมฝีปากปิดสนิทกับดวงตาที่ฉายแววเยือกเย็น เป็นลักษณะหน้าตาที่ยังคงเย็นชาอยู่แต่วันนี้กลับมีสีหน้าของความหวั่นวิตกจากไหนไม่รู้ทาบทับอยู่ด้วย
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”
“ครับ อ๋อ ครับ ไม่เป็นไรครับ ก็…”
ริมฝีปากอ้าออกหนึ่งครั้งแล้วก็ปิดลงเช่นเดิม ฮันโซยองเอียงหัวด้วยความสงสัย แต่จากนั้นจึงคาดเดาขึ้นมาได้หนึ่งอย่าง ประสบความสำเร็จในการออกเดินทางไกล อีกทั้งยังได้รับผลตอบแทนอันมหาศาลเพราะฉะนั้นก็น่าจะต้องดีใจมากแน่ๆ ถึงอย่างนั้น การแสดงความกังวลออกมาให้เห็นก็น่าจะเกิดจากปัญหาภายในเผ่า ในบรรดาปัญหาต่างๆ ก็มีความเป็นไปได้สูงเหมือนกันที่จะเกิดความขัดแย้งในการจัดสรรปันส่วนอุปกรณ์
ฮันโซยองเองก็เป็นตัวแทนของเผ่า จึงรู้เป็นอย่างดีว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากแค่ไหน เธอคิดแบบนั้นแล้วจึงถอนหายใจเบาๆ พลางปลอบใจเขา
“พยายามเข้านะคะ เพราะยิ่งเป็นเวลาแบบนั้น สถานะแคลนลอร์ดก็ยิ่งสำคัญค่ะ”
“ครับ?”
คิมซูฮยอนกะพริบตาปริบๆ พลางย้อนถาม
ในตอนนั้น ฮันโซยองก็ตระหนักขึ้นมาได้ด้วยสัญชาตญาณ ว่าฉันคาดผิดไปหรือเปล่านะ เธอรีบยกแก้วชาขึ้นมาดื่มเข้าไปหนึ่งอึกแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“ฉันได้ฟังการรายงานเกี่ยวกับเรื่องการออกเดินทางไกลในครั้งนี้ผ่านทางแท่นบูชาแล้วค่ะ เหนื่อยมามากเลยนะคะ ลอร์ดมอร์เซนต์นารี่”
* * *