Memorize - เล่ม 14 ตอนที่ 16
ไมเคิลเป็นหนึ่งในชาวเมืองของโมนิก้าที่ได้รับมอบอำนาจและสิทธิในการก่อตั้งเผ่า ยิ่งเวลาผ่านไป ช่วงนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างรุนแรง
งานที่จะต้องจัดการ อย่างเช่น การก่อตั้งเผ่าและรับรองผลงาน ยิ่งถาโถมเข้ามาในทุกๆ วันอยู่แล้ว มิหนำซ้ำแม้แต่บริเวณรอบข้างก็ยังเสียงดังโหวกเหวกอีก เพราะอย่างนั้นมันจึงทำให้เขาอารมณ์ขุ่นเคือง เขารู้สาเหตุนั้นคร่าวๆ อยู่แล้ว แต่ด้วยความที่ชื่นชอบการทำงานในบรรยากาศเงียบสงบ มันจึงเป็นสถานการณ์ที่ไม่น่ายินดีเอาเสียเลย
“ไอ้พวกบ้า ขอให้ยอมรับนี่เป็นผลงานเนี่ยนะ จะต้องมีจิตสำนึกกันบ้างเซ่ จิตสำนึกน่ะ”
ไมเคิลอ่านบันทึกพลางหายใจฟึดฟัด จากนั้นจึงเขวี้ยงเอกสารที่อ่านอยู่ทิ้งไปแล้วแค่นหัวเราะออกมา เขานวดคลึงสันจมูกด้วยความเหน็ดเหนื่อยที่ถาโถมเข้ามา และในตอนที่กำลังจะอ่านบันทึกเล่มต่อไป ใครบางคนก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาด้านใน
“นี่! ไมเคิล!”
“เฮ็นเหรอ มีเรื่องอะไรถึงได้รีบแบบนั้น”
“ราชินีแห่งเงามืดกลับไปแล้วนะ! ราชินีแห่งเงามืดน่ะ!”
“ราชินีแห่งเงามืด อ๋อ ผู้แข็งแกร่งหนึ่งในสิบอันดับน่ะเหรอ”
พอไมเคิลพึมพำราวกับไม่สนใจ เฮ็นจึงรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยื่นกระดาษที่ถืออยู่ไปตรงหน้าทันที
“ใช่ ดูนี่หน่อยสิ เอกสารยื่นขอเปลี่ยนแปลงสมาชิกเผ่าที่เธอวางทิ้งไว้”
“ให้ตายเถอะ ผู้แข็งแกร่งหนึ่งในสิบอันดับก็ต้องเป็นหนึ่งในสิบอันดับอยู่แล้วสิ ไม่ได้เจอแค่ครั้งสองครั้งสักหน่อย ไม่รู้ทำไมจะต้องตื่นเต้นมากเกินเหตุขนาดนั้น จิ๊ ไหนเอามาดูสิ”
ไมเคิลรู้สึกไม่สบายใจก็จริง แต่ก็รับเอาบันทึกที่เฮ็นยื่นให้อย่างไม่พูดไม่จา เพราะเฮ็นมีนิสัยคล้ายคลึงกันกับตน แน่นอนว่าน่าจะต้องมีเหตุผลที่ตื่นเต้นถึงขนาดนี้
จากนั้นเขาก็ค่อยๆ อ่านพิจารณาดูตั้งแต่ด้านบนสุด ด้านบนของบันทึกถูกเขียนไว้ว่า ‘เอกสารขอเปลี่ยนแปลงสมาชิกเผ่า’ ตามที่เฮ็นพูด และข้างๆ นั้นก็มีตัวหนังสือเขียนไว้ด้วยลายมือกลมๆ ว่า ‘เผ่าเมอร์เซนต์นารี่’ ด้วย
“เมอร์เซนต์นารี่เหรอ ทั้งหมดสิบคน…”
“ข้ามไปก่อน ดูตรงกลางๆ ตรงประวัติส่วนตัวของสมาชิกเผ่าสิ สายตาของฉันคงเพี้ยนไป หรือไม่อำนาจและสิทธิที่ได้รับมอบมาคงเกิดข้อผิดพลาดไปแล้ว ก็เลยคาดไม่ถึงเลยนะ”
“อืม”
ไมเคิลรีบลดสายตาลงไปตรงส่วนกลางอย่างรวดเร็ว ตรงนั้นมีชื่อกับคลาสของพวกสมาชิกเผ่าถูกเขียนไว้อย่างเรียบร้อย
คิมซูฮยอน : Secret, ผู้ชำนาญดาบ(Sword Specialist)
อันฮยอน : Rare, มือหอกจี้กง(Energy Spearman)
อันซล : Normal, นักบวชทั่วไป(Normal Priest)
อียูจอง : Rare, นักสู้ยามรุ่งสาง(Gladiator of the Dawn)
วิเวียน ลา คลาดัส : Rare, นักเล่นแร่แปรธาตุคิเมร่า(Chimera Alchemist)
จองฮายอน : Secret, จอมเวทสายมืดแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงิน(Magician of the Blue Moon)
ชินซังยง : Rare, นักเล่นแร่แปรธาตุคิเมร่า(Chimera Alchemist)
โกยอนจู : Secret, ราชินีแห่งเงามืด(Queen Of Silhouette)
คิมฮันบยอล : Secret, จอมขมังเวทอัญมณี(Jewel Mage)
แพคฮันกยอล : Secret, เกราะกำบังแห่งเทพเจ้า(Aegis)
ในระหว่างที่กำลังอ่านบันทึกอย่างใจจดจ่อสุดขีดด้วยแววตาเหมือนถามว่ามีอะไรพิเศษหรือไง ก็คงจะเจอส่วนแปลกๆ เข้า คิ้วของไมเคิลจึงขมวดเข้าหากันเป็นปม
“เอ๊ะ บ้าเอ๊ย นี่มันอะไรเนี่ย”
“เป็นไง”
“ทั้งหมดมีสิบคน แต่ซีเคร็ตคลาสปาเข้าไปห้าคนแล้ว แรร์คลาสอีกสี่เนี่ยนะ”
“คลาสทั่วไปน่าจะคนหนึ่งสินะ ใช่ไหม”
“อะไรกันนี่ จริงๆ น่ะเหรอ”
ไมเคิลเงยหน้าขึ้นมาอย่างงุนงง แต่เฮ็นกลับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพลางพึมพำว่า “ค่อยโล่งอกหน่อย อำนาจและสิทธิไม่ได้หายไปไหน”
* * *
‘ดูเหมือนจะคาดเดาอะไรตามอำเภอใจแล้วเป็นห่วงไปเองอีกแล้วสินะ’
ฮันโซยองอาจจะกลัวว่าจะถามเพิ่มเติมมากกว่านี้จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยความเร่งรีบ พอเห็นท่าทางเธอนั่งพลางทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ ผมก็ยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ ตอนที่เกิดสถานการณ์เร่งด่วน เธอมักจะแสดงให้เห็นภาพลักษณ์เย็นชา แต่ในเวลาปกติก็แสดงให้เห็นท่าทีแบบนี้เป็นครั้งคราวด้วย มองอย่างไรก็เป็นภาพลักษณ์น่ารักน่าเอ็นดูอย่างไม่สมกับเป็นฮันโซยองเลย
อย่างไรก็ตาม ถ้าอ้าปากขึ้นตอนนี้ก็เป็นไปได้สูงมากที่จะระเบิดหัวเราะออกมา เพราะอย่างนั้นผมจึงต้องปิดปากให้สนิทอย่างเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากใช่ย่อย จากนั้น ในตอนที่ลำคอขาวผ่องของฮันโซยองเจือสีแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ผมจึงอดกลั้นเสียงหัวเราะที่ขึ้นมาจนถึงช่องคอแล้วอย่างยากลำบาก
ผมกำลังจะค่อยๆ เปิดปากพูดขึ้น แต่สถานการณ์นี้มันคงน่าอับอาย ฮันโซยองจึงปริปากพูดขึ้นมาก่อน
“ฉันเป็นห่วงมากๆ เลยค่ะจนกระทั่งคุณกลับมา รู้สึกเหมือนกลับเมืองมาช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ก็เลย…”
“ผมค้นพบร่องรอยได้อย่างรวดเร็วครับ แต่ที่ใช้เวลามากเกินไปตอนที่กลับเข้าเมืองอีกครั้งก็เพราะผมตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วเช่นเดิมครับ ขอโทษที่ทำให้เป็นกังวลครับ”
“ไม่จำเป็นจะต้องขอโทษเลยค่ะ เพราะสรุปสุดท้ายหลังได้ลองอ่านรายงานการเดินทางไกล การตัดสินของลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ก็ถูกต้องแล้ว ในฐานะตัวแทนของโมนิก้า ฉันต้องขอแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งค่ะ”
“ผมเพียงแค่ทำงานที่จะต้องทำเท่านั้นครับ ชมกันมากเกินไปก็จะหนักใจเอานะครับ”
คำชมกับคำพูดถ่อมตัวถูกใช้โต้ตอบกันไปมา ยิ่งพูดคุยกันแบบนั้น บรรยากาศที่เคยเกร็งๆ ในตอนแรกก็เปลี่ยนไปเป็นบรรยากาศอบอุ่นทีละนิด
พอได้พูดคุยกับฮันโซยองแบบนี้ จู่ๆ ผมก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ในรอบแรก ผมเป็นเพียงแค่สมาชิกเผ่า ส่วนเธอเป็นแคลนลอร์ด ตำแหน่งที่ไม่กล้าแม้แต่จะจ้องมองไม่ว่าจะด้วยตำแหน่งหรือชื่อเสียง ตอนนี้ก็ยังไม่สามารถมองได้ว่าเท่าเทียมกันแล้ว แต่อย่างน้อยก็อยู่ในสถานะที่เป็นตัวแทนของเผ่าเผ่าหนึ่งเหมือนกัน
ในระหว่างที่ผมกำลังพูดคุยกับฮันโซยองอย่างนุ่มนวลต่อไป ผมก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวสองคนที่นั่งอยู่ทั้งสองฝั่ง พัคดายอนกำลังทำสีหน้าเหมือนอยากจะแทรกเข้ามาในบทสนทนาใจจะขาด ส่วนยอนฮเยริมก็กำลังส่งสายตาไม่พอใจ คงเป็นเพราะเข้ามาตอนแรกแล้วทักทายทุกคนก็จริง แต่หลังจากนั้น ผมก็แทบจะเอาแต่คุยกับฮันโซยองเพียงคนเดียวตลอดเลย
“เหนื่อยมามากเลยนะคะ องค์กรตรวจสอบได้ถูกก่อตั้งขึ้นมาแล้ว และมีกำหนดการว่าจะออกเดินทางพรุ่งนี้ค่ะ เรื่องหัวหน้าองค์กรตรวจสอบ ยอนฮเยริม เจ้าหญิงแห่งการสำเร็จโทษที่อยู่ตรงนี้ตัดสินใจว่าจะรับผิดชอบค่ะ”
“ฮึ”
“ยอนฮเยริม”
“นะ เหนื่อยมามากเลยนะคะ ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเองค่ะ”
พอฮันโซยองขมวดคิ้ว ยอนฮเยริมจึงเปลี่ยนท่าทีทันที ผมหัวเราะเบาๆ เป็นสัญญาณบอกว่าไม่เป็นไร อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่าพรุ่งนี้จะจัดส่งองค์กรตรวจสอบไปทันที แสดงว่างานนี้เธอจัดการอย่างเร่งด่วนมากแน่ๆ
“ถ้างั้นทีนี้ก็น่าจะต้องจัดการปัญหาเรื่องค่าตอบแทนให้จบสินะคะ”
“ทำตามที่ตกลงกันไว้ก่อนออกเดินทางไปก็ได้ครับ ได้ส่วนลดสามสิบเปอร์เซ็นต์ผมก็พอใจแล้วครับ”
“ทำแบบนั้นไม่ได้สิคะ แล้วก็ตอนแรกฉันบอกไปแล้วนี่คะว่าจะให้ค่าตอบแทนตามผลสำเร็จของงาน”
“ใช่ครับ ถ้างั้นก็เชิญเลยครับ”
เห็นได้ว่ามีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ในน้ำเสียงของฮันโซยองว่าไม่สามารถมอบค่าตอบแทนให้เท่านี้ได้ พัคดายอนถึงกับโพล่งขึ้นมาอย่างรุนแรงเพื่อพูดสนับสนุน เธออ้าปากกว้างราวกับคิดขึ้นมาว่าได้โอกาสแล้วและตั้งใจจะพูดแทรกขึ้น
“ในส่วนนั้นฉัน…”
“อย่างแรกเลย แคลนเฮาส์ที่ปรับปรุงใหม่ ฉันจะมอบให้โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายค่ะ”
แต่คำพูดของฮันโซยองเร็วกว่าหนึ่งจังหวะ พัคดายอนมองผมกับเธอสลับกันโดยยังอ้าปากค้าง จากนั้นเธอก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้วแกล้งหาว ผมได้ยินเสียงยอนฮเยริมหัวเราะเบาๆ ดังคิกๆ จากด้านข้าง
“ดะ เดี๋ยวก่อนนะครับ มันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอครับ”
“ไม่มากเกินไปเลยค่ะ ต่อให้บอกว่าช่วยเหลือผู้เล่นเพียงแค่คนเดียวออกมา ก็มีคุณค่าแบบประเมินไม่ได้และไม่สามารถเทียบได้กับสิ่งไหนๆ ได้เลยค่ะ แต่ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่กลับช่วยชีวิตมาได้ถึงเจ็ดคน อีกทั้งยังบุกเข้าไปในหุบเขามายาซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เป็นปัญหาอย่างมากได้อีก ฉันกลับรู้สึกว่าแค่แคลนเฮาส์มันยังจะไม่พอเสียอีกค่ะ ไหนดูสิ ดายอน”
คราวนี้คงตั้งใจจะให้โอกาส ฮันโซยองจึงเรียกพัคดายอนด้วยเสียงเบาๆ พัคดายอนกำลังทำแก้มพองพร้อมกับทำปากยื่นอยู่ แต่แล้วพอผมจ้องมอง เธอก็เปลี่ยนสีหน้าไปในพริบตาเดียว จู่ๆ ผมก็คิดขึ้นมาว่าถ้าจับอันซลกับพัคดายอนไปไว้ด้วยกัน มันจะต้องสนุกสนานมากๆ แน่ อ๊ะ เกือบจะหัวเราะออกมาอีกแล้ว
‘เวรกรรม นี่มันยากกว่าการต่อสู้อีกนะ ประมาทไม่ได้เสียแล้ว’
“อีสตันเทลลอว์ พัคดายอนค่ะ”
“ผมจำได้ว่าเคยพบกันครั้งหนึ่งเมื่อตอนนู้นนะครับ ยินดีที่ได้พบกันครับ”
“ค่ะ ก็ต้องเคยพบกันแน่นอนสิคะ ยินดีที่ได้พบเช่นกันค่ะ”
ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือน้ำเสียงก็ล้วแต่สง่างามอย่างมาก ผมได้ยินเสียงที่เหมือนกับกลั้นไม่ให้หลุดระเบิดหัวเราะออกมาดังฮุบของยอนฮเยริม โอ๊ย ได้โปรดอย่าหัวเราะออกมาเลย เพราะผมเองก็กำลังกลั้นเอาไว้อย่างยากลำบากอยู่แล้ว ขอร้อง
ผมทำใจให้สงบอย่างต่อเนื่อง พอพัคดายอนปรายตามองอย่างไม่พอใจ ยอนฮเยริมจึงก้มหน้าลงแล้วเอามือปิดปากเอาไว้ จากนั้นจึงเบนสายตามาทางผมอีกครั้ง
“คือว่าการออกเดินทางไกลครั้งนี้น่ะค่ะ คุณไม่ได้มีอุปกรณ์ของพวกผู้เล่นที่เสียชีวิตไปอยู่เหรอคะ”
“ครับ มีอยู่ครับ”
นั่นก็อาจจะเป็นรายได้เสริมที่มีมูลค่า แต่ไม่สามารถนับเป็นรายได้หลักได้ แม้จะบอกว่าเป็นอุปกรณ์ที่พวกเราเก็บรวบรวมไว้ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นอุปกรณ์จำพวกใช้เสริมเท่านั้น คงเพราะอุปกรณ์หลักใช้จัดการการต่อสู้กับพวกเร่ร่อน ส่วนใหญ่จึงอยู่ในสภาพเสียหายอย่างรุนแรง นั่นหมายความว่ายากที่จะได้รับในราคาที่เหมาะสม และอุปกรณ์เสริมก็แทบจะไม่มีอันไหนที่สมบูรณ์ดีเลยด้วย
อย่างไรก็ตาม ผลสรุปจากการลองคำนวณดูตามแบบฉบับของผม หากขายทั้งหมดไปแล้วได้รับมา แปดพันโกลด์ก็มองได้ว่าขายได้ราคาดีมากๆ แล้ว สภาพของอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีถึงขนาดนั้น
“มีคำร้องขอให้ช่วยเรียกเก็บคืนจากเผ่าที่ขึ้นกับเราค่ะ สามเผ่า โดยเฉพาะชายฝั่งน้ำตื้น สถานการณ์ของเผ่านั้นขัดสนขึ้นมากๆ จึงบอกว่ายากที่จะบอกให้ทราบโดยตรงน่ะค่ะ”
“ผมเข้าใจครับ ผมไม่คิดจะรับมามากขนาดนั้น และมีความตั้งใจว่าจะมอบคืนให้อย่างเหมาะสมด้วยครับ”
“เป็นคำพูดที่น่าซาบซึ้งใจจริงๆ ค่ะ เดิมทีกำหนดเอาไว้ว่าจะซื้ออุปกรณ์โดยรวมเงินสี่พันโกลด์จากแต่ละเผ่าและสี่พันโกลด์จากอีสตันเทลลอว์เข้าด้วยกัน แต่ก่อนหน้านั้นมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะถามค่ะ เรื่องแรกคืออีกไม่นานการก่อสร้างปรับปรุงใหม่ก็จะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องตกแต่งภายในแล้วใช่ไหมคะ”
“ถูกต้องครับ”
“ไม่ทราบว่าในเผ่าเมอร์เซนต์นารี่มีผู้เล่นที่มีความรู้เรื่องสถาปัตยกรรมอยู่หรือเปล่าคะ”
ผู้เล่นที่มีความรู้เรื่องสถาปัตยกรรมเหรอ ผมนึกถึงชินซังยงขึ้นมาครู่หนึ่ง แต่จากนั้นก็ลบความคิดนั้นทิ้งไป ในความเป็นจริง เขาเป็นนักวิจัย ไม่ได้เป็นสถาปนิก พอผมคิดอย่างละเอียดแล้วส่ายหน้าไปมา พัคดายอนจึงทำตาเป็นประกาย ผมรู้สึกได้ว่าตรงพื้นมีเท้าของใครบางคนกำลังกระทืบพื้นตึงตัง
“ถ้างั้นแบบนี้เป็นยังไงคะ ในอีสตันเทลลอว์มีคนที่เคยออกแบบภายในอาคารกับวางแปลนตึกบนโลกอย่างเชี่ยวชาญอยู่น่ะค่ะ แคลนเฮาส์ของอีสตันเทลลอว์ในตอนนี้ก็ใช้การวางแปลนของเขาอยู่มากเลยค่ะ”
“อืม ผมทราบแล้วครับว่าพูดถึงเรื่องอะไร”
พอพยักหน้าครั้งสองครั้ง พัคดายอนจึงยกยิ้มขึ้นมา
“ให้ความช่วยเหลือในห้องที่มีเป้าหมายการใช้เป็นพิเศษ อย่างเช่น พวกห้องทดลองใช้พลังเวทหรือแปรธาตุคงจะยาก แต่ว่า! พวกห้องรับรอง ห้องอาหาร ห้องพัก เฟอร์นิเจอร์ทั่วไปกับการออกแบบภายในห้อง ทางเราสามารถให้ความช่วยเหลือได้ค่ะ เรื่องการได้รับการเรียกร้องจากเผ่าอื่นๆ ก็จะมีอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นคุณจะไม่ผิดหวังอย่างเด็ดขาดค่ะ ถ้าหากยอมรับข้อเสนอนี้ ทางฝั่งเราจะให้สี่พันโกลด์ก่อนเลยค่ะ แทนที่จะเอาอุปกรณ์นั้นไป แต่เอาสี่พันโกลด์ไปเพิ่มในส่วนของค่าใช้จ่ายตกแต่งภายในแทน เอาแบบนี้ดีไหมคะ”