Memorize - เล่ม 14 ตอนที่ 18
ทันทีที่เข้ามาข้างใน เสียงอุทานของสมาชิกเผ่าก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนหน้านี้เคยเห็นแล้วก็จริง แต่สวนที่ต้องแสงยามอัสดงก็กำลังโอ้อวดให้เห็นเสน่ห์ที่เป็นเหมือนกับโลกแห่งความฝันแบบอื่นอีก
และตัวตึกสองหลังซึ่งรับแสงยามอัสดงแรงกว่าส่วนอื่นก็ทาบทับเป็นเงายาวเหนือแมกไม้ที่ปลิวไหวไปมา ด้านนอกตัวตึกที่ถูกลงสีด้วยสีขี้เถ้าอ่อนๆ รวมเข้ากับทิวทัศน์โดยรอบแล้วเผยให้เห็นภาพลักษณ์อันใหญ่โตและสง่างาม ถึงแม้จะเงียบสงบก็ตาม
ด้านในมีคนอยู่มากทีเดียว พวกเขากำลังนั่งอยู่บนพื้นหญ้าของสวนอย่างสบายๆ และมองดูแคลนเฮาส์ที่สร้างเสร็จเรียบร้อยพร้อมยิ้มร่าคุยกันเสียงดัง ลมที่พัดมาอีกครั้งทำให้เหงื่อของพวกเขาแห้งลง ใครบางคนก็คงเปิดประตูเข้ามาเห็นพวกเราพอดีจึงตะโกนด้วยเสียงอันดัง
“หัวหน้า! ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่มาแล้วครับ!”
“โอ้! มาแล้วสินะ!”
ผู้เล่นคนหนึ่งที่นั่งพิงต้นไม้อยู่ข้างหน้านู้นดีดตัวลุกขึ้น จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมาแล้วเริ่มเดินเนิบๆ มาทางฝั่งประตู พอมองดูผู้คนที่เดินตามหลังเขามาอย่างสนใจจึงค้นพบว่ามีคนรู้จักอยู่ด้วยสองคน
‘ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ ลุงบงพัล พี่เยฮยอน’
“ฮ่าๆ! มาแล้วสินะครับ ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่!”
“ยินดีที่ได้เจอครับ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ คิมซูฮยอนครับ”
“เผ่าอีสตันเทลลอว์ พัคบงพัลครับ! ครั้งนี้ได้รับหน้าที่วางแปลนตึกของแคลนเฮาส์นะครับ อ้อ ทางด้านนี้คือชินเยฮยอน ผู้รับผิดชอบออกแบบภายในครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ชินเยฮยอนค่ะ”
ลุงบงพัลที่เอ่ยทักทายอย่างไม่มีเหนียมอายกับพี่เยฮยอนที่ยิ้มอย่างเอียงอาย ทั้งสองคนสังกัดอยู่ในเผ่าอีสตันเทลลอว์ ดังนั้นผมจึงเคยมีความสัมพันธ์แบบกินข้าวหม้อเดียวกันกับคนพวกนี้ในรอบแรก จำได้ว่าเป็นคนดีไม่น้อย เพราะฉะนั้นหากบอกว่าไม่ยินดีที่ได้เจอก็คงเป็นเรื่องโกหก ผมคิดว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อุปนิสัยก็ย่อมคงเดิม แล้วผมจึงจับมือที่เขายื่นมาให้อย่างมั่นคง
“ปัดโธ่ ก่อสร้างเสร็จสิ้นช้ากว่ากำหนดการไปสองวันเสียได้นะครับ ขอโทษด้วยครับ!”
“มันช่วยไม่ได้นี่ครับ เพราะทางผมขอเพิ่มเติมเอง ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“ฮ่าๆ! ถ้าคิดแบบนั้นก็ขอบคุณมากเลยนะครับ ในส่วนของรายการที่เพิ่มมา เวลามันสั้นไปสักหน่อย แต่ผมดูแลเป็นพิเศษเลยครับ แน่นอนว่าถ้ามีส่วนไหนที่ไม่ชอบใจก็บอกได้โดยไม่ต้องลังเลเลยนะครับ”
“คือว่า หัวหน้า…”
ในระหว่างที่ผมกับลุงบงพัลกำลังพูดคุยกัน คนอื่นๆ ที่เคยกระจัดกระจายอยู่ทั่วก็ค่อยๆ มารวมตัวกัน ดูจากที่เสื้อผ้าที่สวมอยู่นั้นเก่ามาก คงจะเป็นชาวเมืองที่เข้ามาเป็นกรรมกรแน่ๆ จากนั้นพอชาวเมืองที่ดูเหมือนจะเป็นตัวแทนของคนพวกนั้นปริปากพูดขึ้นมา พัคบงพัลที่พูดเป็นต่อยหอยอย่างร่าเริงถึงขีดสุดจึงหันหน้าขวับไป
“หืม อ๋อ ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่มาแล้ว ถ้างั้นก็ไปเถอะ เหนื่อยกันมากเลยนะ”
“แหะๆ ทราบแล้วครับ ว่าแต่…ก่อสร้างเสร็จแล้ว ไม่ไปกรึ๊บกันสักหน่อยเหรอครับ”
พอชาวเมืองหัวเราะแหะๆ พลางทำท่ากระดกแก้ว พัคบงพัลจึงระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น
“ฮ่าๆ! จะไม่กรึ๊บได้ยังไงเล่า! ไอ้พวกนี้ ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องชี้แนะให้เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ก่อนเซ่ เพราะฉะนั้นไปดื่มกันก่อนเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน ถ้าเสร็จแล้วฉันจะตามไปทันที”
โมนิก้าแตกต่างอย่างชัดเจน ถ้าเป็นเมืองอื่น ปกติแล้วจะมีแนวโน้มที่จะมีท่าทีต่อพวกชาวเมืองเหมือนมองทาสหรือแมลง แต่ลุงบงพัลตรงหน้าผมกลับมีท่าทีสนิทสนมกับพวกเขา คงเพราะอย่างนั้น ชาวเมืองที่นี่จึงค่อนข้างจะสนับสนุนและคิดดีมากๆ ต่อเผ่าอีสตันเทลลอว์
ผมทอดสายตามองท่าทีของพวกเขาอย่างชื่นใจแล้วจึงส่งสัญญาณทางสายตาไปทางจองฮายอนเล็กน้อย เธอตอบรับสัญญาณของผมพลางพยักหน้าเบาๆ จากนั้นจึงเดินไปทางที่ที่พวกชาวเมืองยืนรวมกันอยู่ด้วยท่าทีระมัดระวัง ไม่นานผมก็เห็นแผ่นหลังเพรียวบางของจองฮายอนที่เดินผ่านด้านข้างของผมไป ตอนนี้เส้นผมที่ยาวผ่านไหล่ลงมาถึงแผ่นหลังกำลังพริ้วไหวและสะท้อนแสงสีฟ้าอ่อน
พอจองฮายอนเข้ามาใกล้ ชาวเมืองที่เคยพูดคุยเสียงดังเซ็งแซ่ก็ปิดปากเงียบไปในชั่วพริบตา จากนั้นทุกคนก็จับจ้องมายังเธอด้วยสายตางุนงง หลังจากสืบทอดซีเคร็ตคลาส จอมเวทสายมืดแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงิน บรรยากาศรอบตัวจองฮายอนก็ดูเติบโตและล้ำลึกขึ้นอีกขั้น แน่นอนว่าใบหน้างดงามนั้นก็ยิ่งงดงามขึ้นไปอีกขั้นตามกันไปด้วย
“ที่ผ่านมาเหนื่อยกันมากเลยนะคะ อาจจะไม่เยอะนัก แต่ก็เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ”
“ธะ โธ่! ตายจริง! ไม่ต้องก็ได้ครับ! ไม่เป็นไรครับ”
พอจองฮายอนส่งถุงใบเล็กๆ ที่เอาออกมาจากเสื้อให้หนึ่งใบ ชาวเมืองก็โบกไม้โบกมือทั้งสองข้างอย่างลุกลี้ลุกลน แต่เธอก็ค่อยๆ จับมือของชาวเมืองด้วยการขยับมืออย่างนุ่มนวล สุดท้ายแล้วเขาจึงต้องกำถุงเอาไว้ ทันใดนั้นใบหน้าของชาวเมืองก็ขึ้นสีแดงก่ำพร้อมกับมองเลิ่กลั่กไปทั่วทุกทิศอย่างไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไรดี
“หูย ดูเยอะมากเลยนะครับ”
“ห้าสิบโกลด์ครับ ไม่เยอะครับ”
“โอ้โฮ มีจำนวนคนอยู่ประมาณหนึ่งก็จริง แต่สิบโกลด์ก็น่าจะพอดีแล้วนะครับ”
“ได้ยินมาว่าเหนื่อยกันมาในช่วงเวลาสั้นๆ ครับ พวกเรามอบให้โดยหวังว่าคงจะเพียงพอต่อการผ่อนคลายความคิด ความรู้สึกได้ครับ”
พัคบงพัลหัวเราะหึๆ ให้กับคำพูดของผมแล้วตะโกนไปทางชาวเมืองอย่างดัง
“ไอ้พวกนี้! ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่แสดงความปรารถนาดีให้นะ ทุกคนจงรับไปอย่างซาบซึ้งใจด้วย!”
“ไชโย!”
“โอ้โฮ คุณเทพธิดา ผมจะใช้อย่างซาบซึ้งเลยนะครับ!”
“อะไรนะคะ! ฉันไม่ใช่เทพธิดาหรอกค่ะ คิกๆ”
จองฮายอนใช้มือข้างหนึ่งปิดปากพร้อมกับหัวเราะสวยๆ จากนั้นจึงหมุนตัวกลับมาทางผมทันที พอพัคบงพัลพยักหน้าหนึ่งครั้ง ชาวเมืองจึงกู่ร้องพร้อมกับเริ่มวิ่งออกไปข้างนอก
“ยะฮู้! วันนี้กินกันให้ตายไปเลย ตายเลย!”
“นี่ แกเอามือมานี่สักเดี๋ยวซิ มือข้างที่คุณเทพธิดาจบเมื่อกี้คือข้างนี้หรือเปล่า”
“ฉะ ฉันเอาถุง ขอถุงมาทางนี้แป๊บสิ”
“มีเคราะห์ร้ายแล้ว ไอ้พวกนี้นี่! ปล่อย! บอกให้ปล่อยไง! จากนี้ไปฉันจะไม่ล้างมือข้างนี้เด็ดขาด!”
พัคบงพัลคงเห็นว่าจองฮายอนแก้มแดงขึ้นเล็กน้อยเพราะคำพูดที่พวกชาวเมืองโพล่งขึ้นตอนที่เดินออกไป เขาจึงหัวเราะแก้เก้อออกมา
“เอ๋ น่าจะไม่มีความหมายไม่ดีนะครับ เดิมทีเจ้าพวกนี้เป็นคนซื่อๆ น่ะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ฮ่าๆ! ขอบคุณครับ ถ้างั้น…หืม หรือว่าที่คุณหนูตัวเล็กกอดอยู่คือยูนิคอร์นที่เขาลือกันใช่ไหมครับ”
“คะ ค่าา”
ฮี้ๆ!
พัคบงพัลเบิกตากว้างราวกับว่าตอนนี้เพิ่งจะได้เห็นแล้วแสดงความสนใจอย่างออกนอกหน้า แต่ดูจากที่หัวเราะแหยๆ ออกมา ลูกยูนิคอร์นคงจะแสดงให้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองอย่างเย็นชาแน่ๆ เขาแสดงสีหน้าเหมือนบอกว่าสงสัยจะตายอยู่แล้ว แต่จากนั้นก็คงอ่านสีหน้าของสมาชิกเผ่าออก เขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริง
“ขอโทษทีครับ ผมได้ยินเรื่องยูนิคอร์นแค่ในข่าวลือ เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกนี่แหละครับ ยังไงก็ตาม ผมให้พวกคุณยืนอยู่นานเกินไปแล้ว ก่อนอื่นเริ่มตั้งแต่ดูรอบๆ สวนกันเลยนะครับ ผมจะอธิบายให้ฟังทีละอย่างครับ”
“ตรงสวนไม่เป็นไรหรอกครับ ก่อนหน้านี้ผมเคยแวะมาครั้งหนึ่งแล้ว ก็เลยเดินดูล่วงหน้าไปแล้วละครับ ได้ระดับนี้ก็พอใจแล้วครับ”
“อย่างนั้นเหรอครับ ค่อยโล่งอกไปทีนะครับ ถ้างั้นจะเข้าไปข้างในกันเลยนะครับ ไม่ว่ายังไง เริ่มตั้งแต่อาคารส่วนกลางก่อนก็น่าจะดี ฮ่าๆ อ้อ เยฮยอน เธอจะเอายังไงล่ะ”
“ฉันก็จะไปด้วยค่ะ ฉันอยากฟังคำวิจารณ์ของพวกคุณเผ่าเมอร์เซนต์นารี่น่ะค่ะ”
ชินเยฮยอนตอบอย่างสุภาพ พัคบงพัลตอบว่าเอาสิ จากนั้นจึงผายมือขวาไปทางตึกขนาดใหญ่ตรงหน้า
“ถ้างั้นเข้าไปกันเถอะครับ”
จากนั้นผมกับพัคบงพัลก็ยืนอยู่หน้าสุด ส่วนสมาชิกเผ่ากับชินเยฮยอนก็เดินเรียงตามหลังผ่ากลางสวนกันมา ในระหว่างที่กำลังเดินไป ลุงก็ยังคงเล่นหยอกล้อ แต่ก็อธิบายให้ฟังอย่างละเอียดด้วย
“ถ้าพูดถึงพื้นที่ภายในของแคลนเฮาส์ก็มีเป้าหมายในการใช้หลายอย่างครับ หลักๆ เลยคือ ใช้แบบมีเป้าหมายเฉพาะทาง ใช้ร่วมกัน ใช้ส่วนตัว แล้วก็ใช้ชั่วคราว ถ้าพูดถึงใช้แบบมีเป้าหมายเฉพาะทางก็อย่างเช่นห้องทดลองพวกเวทมนตร์หรือแปรธาตุ หรือไม่ก็ห้องฝึกศิลปะป้องกันตัว จะมองว่าเป็นพื้นที่ที่มีเป้าหมายในการใช้สอยอะไรบางอย่างก็ได้ครับ ส่วนที่ใช้ร่วมกันก็ยกตัวอย่างได้เป็นห้องอาบน้ำหรือห้องอาหารที่ทุกคนจะใช้ร่วมกันได้ครับ พื้นที่ใช้ส่วนตัวก็เห็นได้ว่าจะเป็นห้องพักและห้องทำงาน ส่วนที่ใช้ชั่วคราวก็เป็นห้องที่เว้นว่างไว้สำหรับใช้ชั่วคราวตามชื่อเลยครับ อย่างแรกเลยก็คือ เป็นที่ที่เว้นว่างไว้และจะปรับปรุงขึ้นมาใหม่ตอนที่เกิดพื้นที่ที่จำเป็นต้องใช้ขึ้นครับ”
“อย่างนั้นเองสินะครับ”
“อ้อ แล้วก็พอพูดเรื่องส่วนที่ใช้ชั่วคราวก็นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องจะบอกน่ะครับ เดิมทีที่นี่เป็นแคลนเฮาส์ที่เผ่าพิสตาชิโอ้เคยใช้ มีสมาชิกเผ่าเก้าสิบคน รวมกับพวกลูกจ้างอีกสามสิบคน สรุปคือเป็นพื้นที่ที่คนทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบคนเคยใช้ชีวิตอยู่ครับ ผมไม่สามารถแก้ไขตรงส่วนนั้นได้ก็เลยต้องต่อเติมอาคาร เพราะฉะนั้นพื้นที่สำหรับใช้ชั่วคราวจึงเยอะใช่ย่อยเลยครับ บางทีห้องคงจะเหลือเฟืออีกสักระยะนะครับ ฮ่าๆ”
เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เป็นสถานที่ที่มีพื้นที่กว้างมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่กว้างจนมากเกินไปสำหรับการใช้ชีวิตเพียงสิบคน อย่างไรก็ไม่สามารถพอใจได้ในครั้งเดียวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจากนี้ไปก็ค่อยๆ เติมเต็มมันไปก็ได้ พอพยักหน้าอย่างไม่ได้รู้สึกอะไร พัคบงพัลจึงพูดต่อทันที
“ตึกทั้งสองตึกมีลักษณะห้องทั้งสี่แบบที่พูดไปก่อนหน้าทั้งหมดเลยครับ แต่สามารถแบ่งแยกตามระดับได้ว่าอันไหนเป็นอันดับแรก นอกเหนือจากห้องสำหรับใช้ชั่วคราว ตึกที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้มีลักษณะสำหรับการใช้แบบมีเป้าหมายเฉพาะทางเสียส่วนใหญ่ ในทางกลับกัน…โอ๊ะ”
พัคบงพัลเดินขึ้นบันไดแล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตู จากนั้นจึงหมุนตัวไปชี้อาคารย่อย
“อาคารย่อยที่เห็นตรงนู้นมีลักษณะในการใช้ส่วนตัวและใช้ร่วมกันสูงมากครับ บอกให้รู้ล่วงหน้าว่าชั้นใต้ดินกับชั้นหนึ่งเป็นห้องอาบน้ำรวมกับห้องสำหรับพักผ่อน ชั้นสองกับสามเป็นห้องพัก ส่วนชั้นสี่ถูกปล่อยว่างไว้เป็นพื้นที่สำหรับใช้ชั่วคราวครับ น่าเสียดายที่ตอนแรกคงจะสร้างไว้สำหรับเป็นห้องพัก อาคารย่อยจึงไม่มีดาดฟ้าครับ”
“อย่างนั้นเองสินะครับ ถ้างั้นโครงสร้างอาคารส่วนกลางเป็นยังไงครับ”
พัคบงพัลหัวเราะคิก จากนั้นจึงจับลูกบิดประตูพร้อมกับตอบคำถามของผม
“เข้าไปข้างในก่อนเถอะครับ ดูด้านในโดยตรงแล้วผมจะอธิบายให้ฟังครับ”
พอพัคบงพัลดึงลูกบิดอย่างสุดแรง ประตูที่เคยปิดแน่นจึงเปิดออกกว้าง จากนั้นพวกเราจึงเข้าไปด้านในตามคำแนะนำของเขา
สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกคือกรอบหน้าต่างขนาดใหญ่ที่ติดไว้ทั่วกำแพงชั้นหนึ่งที่เคยทึบมาก่อน มันถูกประดับประดาด้วยคริสตัลรูปทรงสี่เหลี่ยมและสร้างเอาไว้ให้มองเห็นด้านนอกจากด้านใน พอเห็นสิ่งนั้น ผมจึงรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างมันทำให้บรรยากาศอึดอัดหลุดออกไปแล้วรู้สึกสดชื่นด้วย
ส่วนสูงจนถึงกำแพงน่าจะประมาณสี่เมตรหรือเปล่านะ ชั้นหนึ่งที่แสดงให้เห็นพื้นราบเรียบเงาวาววับยาวและกว้างพอสมควร เพดานถูกติดหินไรส์ที่ส่องแสงสีชมพูอ่อนๆ เอาไว้ จึงทำให้บรรยากาศด้านในดูประณีต
ตรงกลางมีพรมวงกลมสีแดงเหลือดหมูปูไว้กว้างๆ ดูจากที่รอบข้างจัดวางพวกโซฟา เก้าอี้ และเตาผิงเอาไว้อย่างดูดี ตรงนั้นคงเป็นล็อบบี้แน่ๆ ร่องรอยเมื่อสมัยก่อนยังคงหลงเหลืออยู่นิดหน่อย แต่คงเพราะทั้งภายในและภายนอกถูกปรับปรุงใหม่อย่างสะอาดสะอ้าน ร่องรอยที่เห็นอยู่บ้างจึงทำให้เกิดบรรยากาศคลาสสิคขึ้นมา
‘สามารถพักผ่อนได้ที่ล็อบบี้ด้วยสินะ’
สมาชิกเผ่าก็มองดูภายในที่เปลี่ยนแปลงไปจนเทียบไม่ได้กับเมื่อก่อนหน้านี้ จากนั้นพวกเขาจึงส่งเสียอุทานด้วยความประทับใจอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ตรงนี้ฉันจะอธิบายให้ฟังนะคะ ช่วยมองทางนี้ก่อนได้ไหมคะ”
ชินเยฮยอนที่รักษาความเงียบไว้จนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็เปิดปากพูดขึ้น เธอชูนิ้วเรียวบางขึ้นมาชี้ไปทางที่ที่อยู่ติดด้านข้างล็อบบี้
“ได้ยินมาว่าเมอร์เซนต์นารี่เป็นเผ่าทหารรับจ้างที่ได้รับการมอบหมายแล้วดำเนินงานค่ะ ถ้าเป็นเช่นนั้น ชั้นหนึ่งก็จะต้องรับหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับงานนั้นและจำเป็นจะต้องมีโต๊ะประชาสัมพันธ์ที่คอยชี้แนะด้วยค่ะ”
ตรงจุดที่ชินเยฮยอนชี้ไปมีโต๊ะประชาสัมพันธ์ขนาดใหญ่ที่วาดเส้นโค้งเป็นวงกลมตั้งอยู่ ด้านหลังโต๊ะมีผ้าม่านสีม่วงเข้มกั้นเอาไว้ตรงเสาอย่างสวยงาม ตรงกลางของพื้นที่ีที่เปิดเอาไว้ถูกแกะสลักเป็นตัวหนังสือส่องประกายเป็นสีทองเขียนว่า ‘Mercenary’
“ต่อไปจะอธิบายเรื่องบันไดนะคะ ชั้นหนึ่งมีบันไดที่เชื่อมชั้นบนกับล่างอยู่ทั้งหมดสี่จุด บันไดสองจุดแรกคือบันไดที่ขึ้นไปยังชั้นบน อยู่ตรงส่วนท้ายสุดของทั้งสองฝั่ง และมีบันไดอีกสองจุดตรงอีกฝั่งของล็อบบี้ค่ะ อันหนึ่งจะเป็นบันไดที่ขึ้นไปด้านบนเหมือนกัน แต่ที่เหลืออีกอันคือลงไปชั้นล่าง ซึ่งนั่นก็คือที่จะไปยังห้องฝึกศิลปะป้องกันตัวชั้นใต้ดินที่ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ขอ…”
ชินเยฮยอนอธิบายอย่างต่อเนื่อง และในระหว่างที่สมาชิกเผ่ากำลังฟังอย่างยุ่งวุ่นวาย พัคบงพัลก็เดินเข้ามาข้างๆ ผมแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนคิดอะไรลึกซึ้งอยู่ในใจ
“ตามที่รู้ นี่เป็นตึกที่มีกลิ่นอายของความทันสมัยหลงเหลืออยู่อย่างมากเลยทีเดียวครับ เพราะฉะนั้นก็เลยจะต้องใส่ใจมากหน่อย เพราะว่ารูปแบบสถาปัตยกรรมร่วมสมัยกับฮอลล์เพลนมีความแตกต่างกันมากครับ แต่ผมขอบอกตามตรงว่ามีการใช้วงแหวนเวทกับหินรวมพลังอยู่ด้วยนะครับ”
“แล้วของพวกนั้นมีลักษณะแบบรวมกลุ่มกันหรือแยกกันครับ”
“แบบแยกกันครับ แบบรวมกลุ่มกันดูแลจัดการง่ายก็เลยดีอยู่ แต่เรื่องคุณภาพ ใช้เป็นแบบแยกกันจะดีกว่าครับ มีข้อเสียตรงที่ดูแลจัดการยุ่งยากหน่อย แต่วงแหวนเวทมีความสามารถในการฟื้นฟูด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นในเมื่อไม่ได้เจตนาทำลายมันก็ไม่ต้องใส่ใจมากก็ได้ครับ ก็นะ ถึงแม้ว่าจะต้องขัดหินรวมพลังอย่างสม่ำเสมอก็เถอะ”
ผมฟังคำอธิบายของพัคบงพัลแล้วพยักหน้าอย่างสุขุม อย่างไรเสียเรื่องนั้นก็จะจ้างลูกจ้างมาเพื่อแก้ปัญหาทีหลังอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องใส่ใจมากมายนัก
“เอาล่ะ ถ้างั้นครั้งนี้จะไปห้องอาหารแล้วนะคะ”