Memorize - เล่ม 14 ตอนที่ 20
เวลาผ่านไปแบบนั้นมานานแค่ไหนแล้วนะ ในตอนที่ใบหน้าของทั้งสองคนมีหยาดเหงื่อผุดขึ้น ในที่สุดการเล่นแร่แปรธาตุทำยาวิเศษที่เคยคงสภาพ ณ ตอนนี้เอาไว้ได้ระยะหนึ่งก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง
‘ละลายเหรอ’
เป็นตามที่พูดไป ส่วนผสมที่ถูกจัดวางเอาไว้ตรงมุมสุดของดาวหกแฉกกำลังละลายอย่างช้าๆ ถึงแม้จะทีละนิดมากๆ ก็ตาม ส่วนผสมห้าอย่างที่่ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นของเหลวแบบนั้น พอเวลาผ่านไปห้านาที มันก็ละลายจนหมด และในตอนที่รู้สึกว่ามันเข้าไปเติมเต็มสามเหลี่ยมที่ส่วนผสมแต่ละอันเคยจับจองเอาไว้ เสียงแข็งกร้าวของวิเวียนก็ดังลั่นขึ้นมา
“ชินซังยง! อีกเดี๋ยวจะปลดปล่อยแล้ว เตรียมตัว! ห้ามให้มันปนกันแม้แต่นิดเดียวนะ ห้ามเด็ดขาด!”
คราวนี้เขาไม่แม้แต่จะพยักหน้า ภาพลักษณ์ยิ้มแย้มแบบเงอะๆ งะๆ ในตอนปกติได้หายไปจนหมด ตอนนี้เขาเพียงแค่ทำตาเป็นประกายเจิดจ้าแล้วยื่นมือทั้งสองข้างไปด้านหน้าเท่านั้น
ในตอนที่แสงของดาวหกแฉกที่เคยลุกพรึ่บกลับดับลงพรวดเดียว ชินซังยงที่หรี่ตาเอาไว้ตลอดก็เบิกตาโพลงขึ้นมาหนึ่งครั้ง จากนั้นวงแหวนเวทที่ส่องสว่างจนแสบตาซึ่งประกอบไปด้วยพลังเวทก็พุ่งออกมาจากมือทั้งสองข้างของเขา
พอแสงของดาวหกแฉกที่กักเก็บพวกส่วนผสมเอาไว้ดับไป ส่วนผสมที่เปลี่ยนไปเป็นของเหลวก็ไหลออกไปในชั่วพริบตา ไม่สิ ในตอนที่มันกำลังจะไหลออกไป
“จัตุรัสกลแห่งความกลมกลืน”
ในที่สุด ชินซังยงก็พูดขึ้นมาเป็นคำแรก พูดตามตรงว่าสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน เพราะฉะนั้นผมก็เลยกำลังสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองของเขาอยู่ แต่ดูจากแววตาของวิเวียนที่เคยมองอย่างกังวลกลับแปรเปลี่ยนเป็นโล่งใจ ดูเหมือนคงจะสบายใจแล้ว เธออ้าปากพะงาบซ้ำๆ เหมือนตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ปิดปากไป
ผมกลัวว่าจะพลาดขั้นตอนการทำยาวิเศษจากการเล่นแร่แปรธาตุจึงมองดูอย่างไม่ให้มีอะไรตกหล่นเลยแม้แต่อย่างเดียว จัตุรัสกลแห่งความกลมกลืนเข้าไปแทนตรงจุดที่ดาวหกแฉกหายไป และในตอนนั้น ของเหลวต่างๆ ก็คลุกเคล้าเข้าด้วยกันในวงแหวนเวท
ตอนแรกมันไม่ได้ผสมเข้าด้วยกันเป็นอย่างดี ของเหลวสีขาว สีดำ และสีฟ้าต่างก็ไม่ยอมคลุกเคล้าเข้าด้วยกันเหมือนน้ำกับน้ำมันอย่างกับกำลังประลองกำลังกัน และแล้ว ชินซังยงก็ยื่นมือไปอยู่ด้านบนอย่างนุ่มนวลราวกับว่ายน้ำ เป็นการเคลื่อนไหวมือที่อ่อนช้อยจนนึกไม่ถึงว่าเป็นคนพูดติดอ่าง
วิเวียนหยุดถ่ายเทพลังเวทไปในดาวหกแฉกและกำลังตรวจดูเตาไฟ เธอชำเลืองมองชินซังยงเป็นครั้งคราว แต่ดูเหมือนหน้าที่ลำดับแรกคงจะเสร็จสิ้นแล้ว แต่ดูจากที่เธอยังไม่เก็บออร์โดกลับคืนไปก็คงจะเหลือขั้นตอนที่จะต้องทำอยู่แน่
วูม! วูม! วูม! วูม!
รอบของเสียงที่ดังขึ้นซ้ำๆ ค่อยๆ สั้นลงทีละนิด แม้ไม่รู้ว่าในฐานะคนที่มาดูเฉยๆ จะมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือเปล่า แต่จริงๆ แล้ว สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้อง คงเป็นความรู้สึกที่แทบจะตายเลยทีเดียว มองไม่เห็นด้วยตาก็จริง แต่ก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนที่ของพลังเวทมากมายภายใต้วิธีการเหล่านั้น
“อึก! อึกก!”
ทุกครั้งที่เกิดการสั่นสะเทือน ชินซังยงก็จะเปล่งเสียงด้วยความทรมานออกมา แต่ผมกลับมองท่าทีนั้นแล้วก็ไม่ได้คิดว่าช่วยอะไรไม่ได้เลยเหรอ ตามที่วิเวียนพูด สิ่งที่ผมสามารถทำได้ที่นี่ีมีเพียงแค่จับตาดูอย่างเดียวเท่านั้น
‘ผสมกันแล้ว’
พอเวลาผ่านไปยี่สิบนาทีแล้วกำลังจะไปถึงยี่สิบห้านาที การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองก็เริ่มขึ้นตามที่วิเวียนบอกล่วงหน้า ของเหลวที่เคยคลุกเคล้าเข้าด้วยกันช้าๆ และมองเห็นว่ามันไม่เข้ากัน ตอนนี้กลับผสมเป็นเนื้อเดียวกันแล้วทำให้เกิดของเหลวอันมากมายอย่างหนึ่งขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
สีของของเหลวที่ผสมเข้าด้วยกันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา มันมีสีดำ แล้วก็กลายเป็นสีขาว แล้วก็เปลี่ยนเป็นสีฟ้า แล้วก็กลับมาเป็นสีดำอีกครั้ง ทุกครั้งที่กะพริบตา สีของมันก็จะเปลี่ยนไป
และชินซังยงก็กำลังปรับมันให้สมดุลในสภาพเหงื่อท่วมตัวราวกับอาบน้ำฝน เขาคงสภาพจัตุรัสกลแห่งความกลมกลืนเอาไว้โดยที่ตายังคงเบิกกว้างโดยไม่มีจังหวะจะให้หลับตาลงเลยสักครั้ง
จากนั้นสีของของเหลวที่เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่องก็หยุดเปลี่ยน สีที่หยุดเปลี่ยนแปลงคือสีดำ แต่ไม่ใช่สีดำสนิทเหมือนสีนิล แต่เป็นสีดำอ่อนๆ จนมองว่าสว่างได้ และในตอนที่สีหยุดเปลี่ยนแปลง ริมฝีปากของชินซังยงที่ปิดแน่นมาจนถึงตอนนี้ก็เปิดออกพูดขึ้นอย่างมีพลัง
“เสร็จแล้วครับ!”
พอได้ยินเสียงตะโกนของชินซังยง เวทของวิเวียนก็ดังขึ้นต่อโดยไม่เว้นว่างเลยแม้แต่น้อย พอเล็งออร์โดที่ถืออยู่ในมือขวาไป วงแหวนเวทหนึ่งวงก็ปรากฏขึ้นมาแล้วค่อยๆ ห่อหุ้มรอบๆ ของเหลวเอาไว้
และในตอนที่มันห่อหุ้มของเหลวไว้ทั้งหมด เธอจึงยื่นมือซ้ายออกไปแล้วค่อยๆ กำหมัด ทันใดนั้น วงแหวนเวทก็ลอยขึ้นมา ของเหลวเองก็ลอยคว้างขึ้นมากลางอากาศเช่นเดียวกัน จากนั้นวิเวียนก็เริ่มทำให้มันเป็นก้อนเดียวกันในท่ากำหมัด
ในตอนที่ของเหลวเปลี่ยนรูปร่างมาเป็นลูกแก้วขนาดพอดีๆ วิเวียนจึงเคลื่อนย้ายมันอย่างระมัดระวังแล้วทำให้มันหล่นตุ้บลงไปในเตาไฟ
แล้วทั้งสองก็ร่ายเวทอีกครั้ง ครั้งนี้งานที่ทั้งสองคนร่วมมือกันทำคงสำเร็จลงแล้ว พวกเขาจึงกำลังทำหน้าที่ที่แต่ละคนรับผิดชอบ โดยวิเวียนจดจ่ออยู่กับเตาไฟ ส่วนชินซังยงก็รับผิดชอบของที่อยู่ในเตา
เสียงเดือดพล่านดังขึ้นพร้อมกับมีควันแปลกประหลาดพวยพุ่งขึ้นมาจากเตาไฟ พอยื่นหัวไปสำรวจดูด้านในจึงได้เห็นว่าสิ่งที่เคยบรรจุอยู่เต็มเตากำลังลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว บางทีถ้าเป็นสิ่งที่ผมรู้อยู่ละก็ น่าจะเป็นกระบวนการในการดูดซึมส่วนผสมที่เตรียมไว้เป็นตัวเสริมให้กับโพชั่นพิเศษที่ผสมกันแล้ว
ทันทีที่ของเหลวซึ่งเคยมีอยู่เต็มหม้องวดลงจนเห็นถึงก้นหม้อ ทั้งสองคนจึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงตามๆ กัน วิเวียนเป็นคนแรก ส่วนชินซังยงคือคนต่อมา และดูจากที่แสงที่เคยส่องสว่างก็ค่อยๆ ดับลง ผมจึงเดาได้คร่าวๆ ว่างานน่าจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ทั่วทั้งร่างของวิเวียนกับชินซังยงเปียกปอนไปด้วยเหงื่อ พวกเขาหายใจหอบรัวและเดินโซเซเล็กน้อย ดูเหมือนกับจะเป็นลมล้มไปเสียตอนนี้เลย ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมามองหน้ากันแล้วจึงหันมาทางผมอย่างพร้อมเพรียงกัน
คนที่ปริปากพูดขึ้นก่อนคือชินซังยง
“หะ หัวหน้า”
“เหนื่อยมากเลยนะครับ”
คงได้ยินคำตอบของผม ชินซังยงจึงยิ้มบางๆ ให้เห็น จากนั้นเขาก็ตาเหลือกแล้วล้มลงไปทั้งอย่างนั้น ดูจากการที่มีเสียงดังตึงออกมาจากหัวที่ฟาดลงกับพื้น คงจะหมดสติไปทันทีแน่ๆ
วิเวียนก็ไม่ได้เป็นปกตินัก เส้นผมที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากคงทำให้อารมณ์ไม่ดี เธอจึงทำหน้าบูดบึ้งพลางถุยมันออกจนเกิดเสียง จากนั้นจึงเรียกชื่อผม
“คิมซูฮยอน เสร็จแล้วล่ะ เอาไปได้เลย”
“อืม เธอก็เหนื่อย…”
ฮวบ
ผมยังตอบไม่ทันจบ ร่างของเธอก็ล้มพับไปด้านข้างราวกับว่ากำลังกายของวิเวียนเองก็หมดเกลี้ยงเหมือนๆ กัน ดูจากที่ในระหว่างนั้น เธอก็ยังคงยกนิ้วขึ้นมาชี้ไปทางเตาไฟอย่างยากลำบาก คงจะมีความหมายว่าให้รีบเอาไปแน่ๆ
ภายในห้องยังคงเต็มไปด้วยความร้อน ผมทำใจที่เต้นตึกตักให้สงบลงแล้วก้าวเดินไปทางเตาไฟอย่างสุขุม จากนั้นก็มองเข้าไปด้านใน ของเหลวที่เคยมีอยู่อย่างท่วมท้นและแยกออกเป็นสามสีกลับสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย สิ่งที่ตาของผมมองเห็นมีอยู่เพียงอย่างเดียว มีเพียงโพชั่นพิเศษขนาดเล็กกว่ากำปั้นที่ส่องแสงสีทองอ่อนๆ ออกมาอย่างเดียวเท่านั้น
พอนั่งลงโดยหันหลังให้หน้าต่าง จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามีแสงสว่างส่องเข้ามาทางด้านหลัง พอเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยจึงได้เห็นว่าห้องที่เคยมืดมิดได้สว่างขึ้นมานิดหน่อยแล้ว ผมถอนหายใจยาวออกมาแล้วก้มลงมองโต๊ะหนังสืออีกครั้ง บนโต๊ะมีลูกแก้วสองลูกกำลังส่องแสงระยิบระยับและเผยให้เห็นการมีอยู่ของตน
ผมเริ่มอ่านข้อมูลของมันด้วยดวงตาที่สามอีกครั้ง
[น้ำตาของราชินีแห่งเอลฟ์(Tears Of Elf Queen)]
หยาดน้ำตาที่ใส่ความรู้สึกที่แท้จริงของราชินีแห่งเอลฟ์ มาร์การิต้า เธอถูกจอมเวทผู้ชั่วร้ายชักจูงให้ไปในทางที่ไม่ดี และในตอนที่เผชิญกับช่วงเวลาสุดท้าย เธอก็ใส่ความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองไว้ในหยาดน้ำตาแล้วปล่อยให้มันไหลลงมา เมื่อรับประทานเข้าไป แต้มของค่าความสามารถจะเกิดขึ้นใหม่สองแต้ม แต้มของค่าความสามารถที่เสริมเข้ามาจะสามารถทำให้สูงขึ้นได้ตามที่ผู้เล่นต้องการ
[โพชั่นพิเศษที่กักเก็บความเคารพนับถือและความรัก]
ยาวิเศษสำหรับพลังในการมองการณ์ไกลที่ทำขึ้นโดยคนหนึ่งใส่ความรัก ส่วนอีกคนใส่ความหมายของความเคารพนับถือ เพื่อผู้เล่นคนหนึ่งที่มีกำลังกายแข็งแกร่งไม่เพียงพอ ส่วนผสมที่มีอยู่ในนี้ก็เป็นส่วนผสมของมันก็จริงแต่มีคุณสมบัติที่ขัดแย้งกันและไม่สามารถผสมเข้าด้วยกันได้ ซึ่งเรียกว่าแสงกับความมืด แต่ก็ทำให้คุณสมบัติที่ขัดแย้งกันนั้นรวมกันเป็นหนึ่งเดียวด้วยความสามารถที่เรียกว่า ‘จัตุรัสกลแห่งความกลมกลืน’ แล้วดึงประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมที่สุดออกมา
1.ช่วยเพิ่มค่าความสามารถด้านความแข็งแกร่งขึ้น 10 พอยต์ แต่มีเพียงผู้เล่นที่มีค่าความแข็งแกร่งต่ำกว่า 72 เท่านั้นที่จะสามารถรับประทานได้
2.ช่วยเพิ่มค่าความสามารถด้านพลังเวทขึ้น 2 พอยต์ แต่มีเพียงผู้เล่นที่มีค่าพลังเวทต่ำกว่า 90 เท่านั้นที่จะสามารถรับประทานได้
ผมพาทั้งสองคนที่เหนื่อยล้าจากการทำยาวิเศษด้วยการเล่นแร่แปรธาตุเข้าไปในห้องพัก จากนั้นผมก็กลับมาที่ห้องทำงานชั้นสี่อีกครั้ง แล้วสุดท้ายก็โต้รุ่งอยู่ที่นี่ทั้งคืน
เพิ่มค่าความแข็งแกร่งขึ้นสิบแต้ม เป็นตัวเลขที่มหาศาลจริงๆ แน่นอนว่าหากได้รับโพชั่นวิเศษด้านความแข็งแกร่งสองอันเข้าไป โดยพื้นฐานก็น่าจะได้หกพอยต์ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะสามารถเพิ่มมันมากขึ้นได้อีกถึงขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้อย่างอิสระแบบไม่มีเงื่อนไข แต่ก็ทำสถิติตัวเลขที่สูงถึง สี่พอยต์ มากกว่า ‘น้ำตาทูตสวรรค์’ ที่เคยทำให้ฮอลล์เพลนวุ่นวายเมื่อก่อนอีก
ผมอ่านข้อมูลนี้แล้วจมอยู่ในห้วงความคิดประมาณห้าหมื่นอย่างในช่วงเช้ามืด พร้อมกับลองคิดคำนวณความเป็นไปได้ในหลายๆ ทางมากมาย เพราะผมไม่อยากทำพลาดเช่นเดียวกันกับเมื่อก่อนอีกแล้ว และเมื่อเวลาเช้ามาถึง ผมจึงสามารถตัดสินใจได้
ถ้าทำให้ค่าความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นตอนนี้ จากนี้ไปการที่ทำให้ค่าความแข็งแกร่งสูงขึ้นด้วยโพชั่นวิเศษอื่นๆ อีกก็ยิ่งห่างไกลมากขึ้น เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้ว แต่ผมตัดวินใจว่าจะทำโพชั่นวิเศษในครั้งนี้ตั้งแต่แรกพร้อมกับคิดจะแก้ปัญหาเรื่องค่าความแข็งแกร่งไปด้วย
ผมรู้สภาพร่างกายของผมดี หากปล่อยความแข็งแกร่งของกำลังกายเอาไว้นานกว่านี้ หลังจากนี้อาจจะพบเจอกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถเปลี่ยนกลับมาได้จริงๆ ก็ได้ เพราะอย่างนั้น ผมจึงไม่คิดจะรออีกต่อไป นั่นหมายความว่านี่คือโอกาสเดียวเท่านั้น โอกาสสุดท้ายที่จะเอาเจ็ดสิบพอยต์มาได้
‘บังเอิญค่าความสามารถในตอนนี้ถูกจำกัดอยู่พอดีด้วย ถ้าเพิ่มขึ้นสิบพอยต์…จะมองว่าโอกาสที่จะเพิ่มสูงกว่านี้ในอนาคตแทบไม่มีแล้วก็ได้ น่าเสียดายเรื่องพลังเวท แต่ก็…’
ผมยังคงคิดอะไรมากมาย แต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งมีไม่พอก็เลยอยากหลีกเลี่ยงที่จะปล่อยให้มันยืดเยื้อต่อไป ผมตัดสินใจแบบนั้นแล้วจึงกำโพชั่นทั้งสองไว้ในมือข้างเดียวราวกับถูกล่อลวงด้วยอะไรบางอย่าง จากนั้นผมก็เอามันมาตรงหน้าแล้วใส่เข้ามาในปากหมดรวดเดียว
น้ำตาของราชินีแห่งเอลฟ์ขนาดเท่าลูกแก้วปกติทั่วไป ส่วนโพชั่นวิเศษที่กักเก็บความรักและความเคารพนับถือก็ใหญ่กว่านั้นเพียงนิดหน่อย ขนาดเล็กกว่ากำปั้น ผมเอามันทั้งสองอย่างใส่ปากในครั้งเดียว แต่พออ้าปากออกกว้าง ก็สามารถเอามันใส่เข้ามาได้อย่างไม่ทุลักทุเลเกินไป ในตอนที่ผมเริ่มค่อยๆ ขยับลิ้น ผมก็รู้สึกได้ว่าโพชั่นที่เข้ามาอยู่ในปากเรียบร้อยแล้วแตกโป๊ะออก
‘อร่อย’
ตอนแรกผมรู้สึกชาๆ นิดหน่อยเพราะมันแตกออกอย่างกะทันหัน แต่จากนั้นรสชาติเย็นๆ สดชื่นก็เริ่มแผ่ซ่านไปทั่วด้านในปาก มันกระตุ้นทั่วทั้งลิ้นอย่างนุ่มนวล ถึงขนาดทำให้อยากมีมันอยู่ข้างในปากไปเรื่อยๆ แต่เพราะทำแบบนั้นไม่ได้ ในตอนที่มันละลายพอสมควรแล้ว ผมจึงกลืนมันลงไปทันที แล้วผมก็รอคอยข้อความที่จะโผล่ขึ้นมากลางอากาศพร้อมๆ กับความคาดหวังเผื่อเอาไว้
[รับประทานน้ำตาของราชินีแห่งเอลฟ์เรียบร้อยแล้ว พอยต์ของค่าความสามารถอิสระเพิ่มขึ้นสองพอยต์]
[รับประทานโพชั่นวิเศษที่กักเก็บความรักและความเคารพนับถือเรียบร้อยแล้ว แต้มของค่าความสามารถสำหรับความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 10 พอยต์ แต้มของค่าความสามารถพลังเวทมีการจำกัด เพราะฉะนั้นจึงไม่รวมอยู่ในส่วนที่เพิ่มขึ้นมา]