Memorize - เล่ม 14 ตอนที่ 23
หลังจากที่เล่าเรื่องทุกอย่างจบ ผมจึงจ้องเซราฟด้วยสายตาเหมือนถามว่าเป็นอย่างไร
“ข้าตั้งใจฟังเรื่องที่ผู้เล่นคิมซูฮยอนพูดมาจนถึงตอนนี้เลยค่ะ แน่นอนว่ารู้สึกเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของท่านได้ค่ะ”
“งั้นเหรอ ถ้างั้นฉันก็อยากจะฟังความเห็นของเธอหน่อยนะ”
“บอกแค่ว่าเข้าใจใช่ไหมคะ แต่ไม่ได้เห็นด้วยหรอกนะคะ จะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอคะ”
“…ลองพูดมา”
“ทราบแล้วค่ะ ถ้างั้นผู้เล่นคิมซูฮยอน ตอนนี้ท่านกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่กันคะ ท่านรู้อยู่หรือเปล่าว่าสภาพร่างกายของท่านในตอนนี้เป็นอย่างไร และถ้าทำให้ค่าความสามารถเพิ่มขึ้นไปถึงหนึ่งร้อยเอ็ดในสภาพนั้นจะก่อให้เกิดผลลัพธ์แบบไหน ไม่สิ ท่านรู้อยู่แล้วละค่ะ ถ้าลองฟังคำพูดเมื่อครู่นี้ ผู้เล่นคิมซูฮยอนก็รู้อยู่แน่ๆ เพราะอย่างนั้นก็เลยยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เลยนะคะ ท่านอยากเห็นท่าทีเป็นกังวลของข้าเหรอคะ”
“…”
“ข้าไม่ได้อยากให้ฮวาจองไปตั้งแต่แรกค่ะ เพราะฉะนั้นก็เลยห้ามปรามถึงขนาดนั้น แต่…”
บลาๆๆๆๆๆ
‘ฉันมันโง่เองสินะที่คาดหวัง’
พอลิ้มรสชาติขมปร่าที่สัมผัสได้จากลึกๆ ในช่องคอ รอยยิ้มขมขื่่นจึงปรากฏออกมา
คงสังเกตเห็นสีหน้าแบบนั้นของผม เสียงหายใจแผ่วเบาจึงเล็ดลอดออกมาจากฝั่งตรงข้าม
“ผู้เล่นคิมซูฮยอน”
“อือ”
“ข้าฟังคำพูดทั้งหมดของผู้เล่นคิมซูฮยอนตามที่สัญญาแล้วนะคะ ทีนี้ข้าขอพูดอะไรบ้างได้ไหมคะ”
“ถ้างั้นที่พูดมาจนถึงตรงนี้มันคือ…เปล่า ไม่มีอะไร เอาสิ พูดมา ทำตามใจชอบเลยครับ จิ๊”
“ขอบคุณค่ะ ถ้างั้นช่วยดูนี่หน่อยนะคะ”
เป๊าะ!
พอเซราฟดีดนิ้วเบาๆ ตรงหน้าก็เริ่มมีกราฟรูปสี่เหลี่ยมโผล่ขึ้นมา
“ข้าทำภาพจำลองร่างกายของผู้เล่นคิมซูฮยอนเอาไว้ในกราฟค่ะ”
“เธอบอกว่านี่คือสภาพร่างกายของฉันงั้นเหรอ”
“Yes บางทีท่านคงจะเห็นสภาพที่ร่างกายเต็มไปด้วยสีแดงนะคะ”
กราฟถูกสร้างขึ้นมากลางอากาศตรงหน้าและในนั้นก็มีร่างกายมนุษย์อยู่ ผมเคยเห็นเจ้านี่มาสองสามครั้งแล้วในรอบแรก จึงไม่ได้ตกใจอะไรขนาดนั้น แต่ความจริงที่ว่าทุกส่วนกำลังถูกแต่งแต้มไปด้วยสีแดงเหมือนที่เซราฟพูดทำให้ผมได้แต่อ้าปากค้าง
“ขอโทษที่ไม่ได้เรียบเรียงคำพูดก่อนเพราะความร้อนใจก่อนหน้านี้นะคะ ถ้าให้เริ่มต้นตั้งแต่แรกอีกครั้งก็คือ ผู้เล่นคิมซูฮยอนเป็นนักดาบค่ะ ไม่สามารถเปรียบเทียบกับคลาสอย่างเช่นนักเวทหรือนักบวชได้ วิธีการในการจัดการการต่อสู้ทั้งหมดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงค่ะ นั่นหมายความว่านักดาบเป็นคลาสที่เคลื่อนไหวร่างกายโดยตรง เพราะฉะนั้นความแข็งแกร่งจึงสำคัญเป็นอย่างมาก แต่จะทำให้ค่าความสามารถอื่นเพิ่มขึ้นไปเป็นหนึ่งร้อยเอ็ดพอยต์ด้วยสภาพในตอนนี้เหรอ ดีค่ะ ถ้าเพิ่มค่าความแข็งแกร่งขึ้นไปจนถึงเก้าสิบและจากนี้ไปไม่ใช้ฮวาจองเลยสักครั้งก็ทำแบบนั้นได้ค่ะ ส่วนที่บอกว่าทำให้ค่าความแข็งแกร่งขึ้นไปจนถึงแปดสิบ แล้วทำให้ค่าความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งด้วยโพชั่นพิเศษนั้น ก็ดีค่ะ จากนี้ไปช่วยหยุดการต่อสู้ทั้งหมดด้วยนะคะ แน่นอนว่ารวมถึงการออกเดินทางไกลด้วย แล้วก็อย่างน้อยหนึ่งปี เผื่อๆ ไว้หน่อยก็สองปี ถ้าตั้งใจฟื้นฟูความแข็งแกร่งให้กลับคืนมาและไม่ใช้ฮวาจองจนกว่าจะทำโพชั่นวิเศษขึ้นมาได้ ก็ทำแบบนั้นเถอะค่ะ ข้าจะไม่ห้ามเลยค่ะ”
“…”
ฟังก่อน เซราฟเหมือนจะสังเกตท่าทีของผมครู่หนึ่งแล้วสุดท้ายจึงพูดต่ออีกคำ
“แม้ว่าสุดท้ายจะไม่แน่ชัดว่าจะสามารถทำโพชั่นวิเศษแบบนั้นขึ้นมาได้อีกหรือเปล่าก็เถอะค่ะ อย่างไรก็ตาม ข้าจะคิดในสถานะเดียวกับผู้เล่นคิมซูฮยอนนะคะ แต่สำหรับข้าก็มีสิ่งที่เรียกว่าขีดจำกัดที่สามารถยอมรับได้เหมือนกันค่ะ”
ผมฟังคำพูดของเซราฟแล้วใช้ความคิดอย่างถี่ถ้วน อย่างแรกเลย ผมไม่สามารถไม่ใช้ฮวาจองได้อีก แต่ผมก็ไม่ได้เลือกฮวาจองมาเป็นสิทธิพิเศษเพราะจะปล่อยให้มันเปล่าประโยชน์อย่างนี้เสียหน่อย
ผมเคาะพื้นเป็นจังหวะอยู่พักหนึ่งแล้วจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง
“มันซีเรียสขนาดนั้นเลยเหรอ จริงๆ น่ะเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องโกหกค่ะ ข้าจะขัดขวางไม่ให้ค่าความสามารถของผู้เล่นสูงขึ้นกว่าเดิมแล้วทำให้ตำแหน่งของผู้เล่นสูงขึ้นกว่าเดิมทำไมเล่าคะ ทุกอย่างย่อมมีเหตุผลไม่ใช่หรือคะ ข้าพูดไปตามความจริงที่มีเลยค่ะ ผู้เล่นคิมซูฮยอน สภาพการณ์ที่แท้จริงคือร่างกายของท่านทรุดลงไปแล้วเมื่อก่อนหน้านี้ การอดทนอยู่ด้วยสภาพในตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่เหมือนกับปาฏิหาริย์แล้วค่ะ ไม่ทราบว่าท่านจำตอนที่ได้รับฮวาจองครั้งแรกได้หรือเปล่าคะ”
จำได้สิ เนื่องจากรับเอาฮวาจองมาก็เลยชะล้างทั่วทุกซอกทุกมุมของร่างกายด้วย ความแข็งแกร่งก็เลยถูกทำให้ลดลงเนื่องจากผลกระทบนั้นด้วย ไม่ได้ถึงกับติดลบแต่ค่าความแข็งแกร่งอันคงทนลดลงอย่างที่พูด พอนึกถึงตอนนั้น จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แวบผ่านหัวไป
“หรือว่า…”
“ใช่ค่ะ ตามที่ให้การยืนยันไป ในกรณีที่ใช้ฮวาจองเพิ่มอีกแม้แต่ครั้งเดียวในอนาคตต่อจากนี้ก็อาจจะเกิดเรื่องแบบเดียวกันก็ได้ค่ะ แม้ไม่ได้ถึงขนาดลดลงถาวร แต่ความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นติดลบก็มีมากทีเดียวค่ะ ท่านต้องการให้มันเป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอคะ”
“อะไรกัน ถ้างั้นก็หมายความว่าสุดท้ายก็ต้องทำให้มันเพิ่มขึ้นสินะ”
“ข้าเองก็คาดไม่ถึงเลยค่ะว่าสภาพร่างกายจะทรุดลงถึงขนาดนี้ ไม่สิ ท่านจะต้องไม่จงใจใช้ฮวาจองให้มากเกินไปถึง…”
พอเซราฟพูดราวกับบ่น เสี้ยวหนึ่งในใจผมจึงเจ็บแปลบ สถานการณ์ตึงเครียดกว่าที่คิดไว้ ไม่ว่าอย่างไรการต่อสู้กับมาร์โวลโลเพียงหนึ่งครั้งก็ดูเหมือนจะจุดชนวนระเบิดซึ่งทำให้ความเสียหายที่สั่งสมมาจากการใช้มากเกินไประเบิดออกในครั้งเดียว
“ข้าอยากพบกับผู้เล่นคิมซูฮยอนในภาพลักษณ์ที่แข็งแรงดีอีกครั้งค่ะ ข้าเข้าใจความปรารถนาที่ท่านพูดมาก่อนหน้านี้ในฐานะผู้เล่นค่ะ แต่ก็อยากชี้แนะให้เสริมสร้างความปลอดภัยในปัจจุบันมากกว่าอนาคตที่ไม่ชัดเจนเช่นกันค่ะ”
“อืม…”
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเลย ในหัวยังคงยุ่งเหยิงวุ่นวายแต่ถึงอย่างนั้น ผมก็กำลังค่อยๆ เรียบเรียงทีละเล็กทีละน้อย ความคิดของผมไม่ได้ผิดมหันต์อะไรขนาดนั้น แต่ก็มีความแตกต่างในเรื่องข้อจำกัดอยู่ เพราะได้ฟังคำพูดของเซราฟ เรื่องที่เคยไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรจึงกำลังเด่นชัดขึ้นมาอย่างช้าๆ
ตอนนั้นเอง จู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงพรึ่บพรั่บมาจากแท่นบูชา จากนั้นก็รู้สึกได้ว่าพลังอันศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ เข้ามาใกล้ตรงหน้ามากขึ้น พอเหลือบตาขึ้นไปเล็กน้อยจึงได้เห็นเซราฟซึ่งเข้ามาใกล้ตรงหน้าผมตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้กำลังมองผมด้วยดวงตาหม่นหมอง เธอยื่นมือทั้งสองข้างมากุมมือซ้ายของผม จากนั้นยกมือนั่นขึ้นไปวางทาบไว้ตรงหน้าอกของตัวเองเบาๆ แล้วเธอก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แทบจะเป็นการเว้าวอน
“อาจจะฟังเป็นการเสียมารยาทนิดหน่อยได้ แต่ขอบคุณที่รับฟังคำพูดของข้านะคะ ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจผู้เล่นคิมซูฮยอนผิดมาจนถึงตอนนี้เลยค่ะ”
“…”
“ข้าดีใจมากจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากจะขออะไรอีกอย่างน่ะค่ะ ทำให้ค่าความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเถอะนะคะ ร่างกายของผู้เล่นคิมซูฮยอนในตอนนี้อยู่ในสภาวะอันตรายจริงๆ ค่ะ เหมือนกับเครื่องยนต์ที่จะระเบิดในอีกไม่ช้าแล้ว ถ้าไม่ทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นตอนนี้…”
เซราฟปล่อยให้ท้ายประโยคเงียบหายไป แต่ดูจากการที่เธอออกแรงดึงมือที่กุมมือผมเอาไว้อยู่แรงกว่าเดิม ผมจึงสามารถคาดเดาได้ว่าความรู้สึกจริงใจของเธอนั้นมีมากแค่ไหน ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสอบอุ่นและนุ่มนิ่มจากมือข้างซ้ายเพราะสติเลือนรางลง แต่ผมก็ตั้งสติขึ้นมาแล้วดึงมือออกจนได้
“ผู้เล่นคิมซูฮยอน…”
“เฮ้อ”
ผมนึกลังเลมากขึ้นอีกหน่อยก็จริง แต่สุดท้ายก็สามารถตัดสินใจได้
ผมพยักหน้าพร้อมกับถอนหายใจแล้วเปิดหน้าต่างข้อมูลผู้เล่นขึ้นมาทันที
[พละกำลัง 96(+2)] [ความทนทาน 92] [ความคล่องแคล่ว 98] [ความแข็งแกร่ง 90] [พลังเวท 96] [โชค 90(+2)]
ค่าความสามารถที่คงอยู่เป็นค่าความสามารถอิสระ ทั้งหมด 6 พอยต์
“จริงๆ แล้วก็อยากเอาค่าความสามารถที่คงอยู่ทั้งหมดไปเพิ่มให้ความแข็งแกร่งนะครับ”
“จดจำไว้ในใจเถอะค่ะ ตอนนี้สถานการณ์ไม่ปลอดภัยเอามากๆ ถึงแม้ว่าจะทำให้ค่าความแข็งแกร่งเท่ากับเก้าสิบแล้ว แต่ในตอนที่ทำให้ค่าความสามารถอื่นเกินหนึ่งร้อยเอ็ดขึ้นไปแม้จะแค่อันเดียวก็ตาม ภาระที่กดทับลงมาบนร่างกายก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นค่ะ”
“แน่นอนว่าจากนี้ไป คาดหวังว่าจะเพิ่มขึ้นโดยใช้โพชั่นวิเศษน่าจะยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีเลยนะครับ ลองคิดดูสิครับ ค่าตอบแทนผลงานก็มี อุปกรณ์ก็มีไม่ใช่เหรอ แน่นอนว่านั่นเป็นอนาคตที่ไม่แน่นอนน่ะถูกต้องแล้ว ถึงอย่างนั้นตอนนี้ก็เสริมสร้างความปลอดภัยในปัจจุบันแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“อย่างไรก็ตาม ถ้าสามารถรวบมันเอามาไว้ด้วยกันได้ บางทีอาจทำให้เพิ่มขึ้นอีกห้าพอยต์ก็ได้ค่ะ ถ้าเช่นนั้นพอยต์ทั้งหมดก็จะอยู่ที่สิบเอ็ดพอยต์ ถ้าเอาแต้มนั้นทั้งหมดมาใส่ไว้กับค่าความสามารถ ผู้เล่นคิมซูฮยอนอาจจะหลุดพ้นจากข้อผูกมัดของฮวาจองอย่างสมบูรณ์แบบก็ได้ค่ะ อย่างไรเสีย ถึงแม้ไม่ได้ดึงดันทำให้ค่าความสามารถอื่นเพิ่มขึ้นแต่ผู้เล่นคิมซูฮยอนก็…”
หลังจากคุยกับเซราฟเสร็จ ผมก็กลับมายังฮอลล์เพลนผ่านพอร์ทัล ด้านนอกมีเจ้าหน้าที่กำลังรออยู่ ในขณะที่ผมเดินตามเขาออกมาข้างนอก ผมก็ยังไม่สามารถละสายตาจากหน้าต่างข้อมูลผู้เล่นได้
ในที่สุดก็ทำให้ค่าความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นแล้ว ผมตัดสินใจที่จะยอมรับคำชี้แนะของเซราฟ และยินยอมที่จะทำให้ค่าความแข็งแกร่งสูงขึ้นตามคำพูดของเธอ
แน่นอนว่าผมไม่ได้เห็นด้วยไปเสียหมด ผมไม่ได้เพิ่มค่าความแข็งแกร่งจนหมดแต่เหลือไว้หกพอยต์ จากนี้ไปไม่รู้จะมีสถานการณ์แบบไหนและจะเข้ามาเมื่อไร เพราะฉะนั้นผมจึงเหลือพอยต์เผื่อเอาไว้ พวกเราถกเถียงกันนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เพราะคำพูดที่ว่าจะเพิ่มค่าความสามารถอย่างเหมาะสมในสถานการณ์จำเป็น เราทั้งสองคนจึงเห็นพ้องกันได้อย่างยากลำบาก
และการทำตามคำพูดของเซราฟก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น เพียงแค่สามารถใช้ฮวาจองอย่างสมบูรณ์แบบก็เหมือนกับได้อาวุธอันแข็งแกร่งมากๆ ในขณะเดียวกันก็ได้ค่าความสามารถหนึ่งร้อยเอ็ดมาอีกอย่างด้วย
‘จริงๆ แล้ว ค่าความสามารถด้านร่างกายของฉันก็ไม่ได้เสียเปรียบมากขนาดนั้นสักหน่อย…’
“เฮ้อ”
อย่างไรก็ตามไหนๆ ก็เพิ่มขึ้นมาแล้ว การติดค้างในใจไปมากกว่านี้ก็เป็นเรื่องโง่เขลา และตามที่เซราฟพูด ถ้าสภาพร้ายแรงจนค่าความสามารถเกิดลดฮวบฮาบ เห็นได้ว่าการทำให้ค่าความสามารถเพิ่มขึ้นก็เป็นตัวเลือกที่จำเป็นทีเดียว
ผมรู้สึกได้ถึงผลลัพธ์อันดีอย่างชัดเจน ร่างกายที่หนักอึ้งตลอดตั้งแต่เช้าจนมายังแท่นบูชา ตอนนี้กลับอยู่ในสภาพเบาลงอีกขั้น เพราะอย่างนั้นผมจึงคาดหวังไม่น้อยเลยว่าถ้าเข้านอนในวันนี้แล้วพรุ่งนี้สภาพร่างกายจะเป็นอย่างไร
หลังจากผ่านทางเดินทั้งหมดมา เจ้าหน้าที่จึงมาส่งผม แล้วผมจึงออกมาด้านนอกแท่นบูชา ในตอนที่ผมเหยียบลงบนบันไดและกำลังจะเดินลงไปนั้น
ผมก็เห็นแผ่นหลังเพรียวบางของใครบางคนที่กำลังนั่งลงตรงบันไดและมองดูอะไรด้านนอก คงรับรู้ได้ว่าผมกำลังลงมา หญิงสาวจึงค่อยๆ หันหน้ามาสบตากับผม
หญิงสาวคนนั้นก็คือคิมฮันบยอลนั่นเอง
เมื่อเทียบกับผมที่คุยกันกับเซราฟอยู่นานสองนาน คิมฮันบยอลดูเหมือนคงทำธุระเสร็จในครู่เดียวแล้วก็ออกมา ดูจากที่เธอแอบนวดก้นในระหว่างทางกลับไปยังแคลนเฮาส์ ผมจึงรู้ได้ว่าเธอคงนั่งอยู่เป็นเวลานานพอสมควรเลย
ผมมองคิมฮันบยอลซึ่งเดินอย่างระมัดระวังอยู่ด้านข้างแล้วผมก็จมอยู่ในห้วงความคิดครู่หนึ่ง
ตอนมายังโมนิก้าแรกๆ เธอผอมจนแทบเหลือแต่กระดูก แต่ช่วงนี้คงเพราะเธอกินเก่ง เธอจึงมีรูปร่างมีเนื้อหนังขึ้นมาหน่อยมากกว่าตอนนั้น ผมกำลังมองแก้มแดงระเรื่อน่ามองนั้นอยู่ แล้วสุดท้ายจึงสบตากับคิมฮันบยอลไปชั่วขณะ เธอดูเหมือนจะตกใจมาก จากนั้นจึงก้มหน้าเพื่อหลบตา
ความเงียบน่าอึดอัดปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะปริปากพูดขึ้นมาก่อน
“เธอน่าจะกลับไปก่อนโดยไม่ต้องรอ เพราะดูเหมือนเธอรอนานน่าดูเลยนะ”
“มะ ไม่หรอกค่ะ ไม่ได้รอนานขนาดนั้นหรอกค่ะ ก็แค่…”
ท่าทางอ้ำอึ้ง ในตอนที่เห็นท่าทางนั้น จู่ๆ ผมก็คิดอะไรขึ้นมาแล้วรีบเรียกใช้ดวงตาที่สาม
ข้อมูลผู้เล่น(Player Status)
1.ชื่อ(Name) : คิมฮันบยอล(ปีที่ 0)
2.ส่วนสูง · น้ำหนัก : 170.5 ซม. · 47.7 กก.
3.อุปนิสัย : มีความพยายาม · มีบาดแผลภายในใจ (Effort · Scar)
ก่อนเปลี่ยนแปลง
[พละกำลัง 50] [ความทนทาน 58] [ความคล่องแคล่ว 70] [ความแข็งแกร่ง 52] [พลังเวท 88] [โชค 68]
หลังเปลี่ยนแปลง
[พละกำลัง 51] [ความทนทาน 59] [ความคล่องแคล่ว 70] [ความแข็งแกร่ง 53] [พลังเวท 88] [โชค 68]
แต้มของค่าความสามารถคงเหลือ 4 พอยต์
ค่าความสามารถก็ไม่ได้ขึ้นมาเยอะกว่าเมื่อก่อนนัก จะว่าไปหลังจากพามายังโมนิก้าก็ออกสำรวจทันทีแล้วก็ไม่มีเวลาที่จะฝึกด้วย
‘มีความพยายามงั้นเหรอ นี่เป็นอุปนิสัยที่ขอบเขตกว้างมากเลยนะ’
ผมสามารถคาดเดาได้คร่าวๆ ว่าพยายามในเรื่องแบบไหน ดูเหมือนบาดแผลภายในใจจะยังไม่หายสนิท แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรผมก็ต้องการให้คิมฮันบยอลเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้น จากนั้นผมจึงปิดหน้าต่างข้อมูลผู้เล่นซึ่งลอยอยู่กลางอากาศลง
“ช่วงนี้เป็นไงบ้าง”
“คะ?”
“อย่างเช่นการใช้ชีวิตในเผ่า…หรือไม่ก็เรื่องการออกเดินทางไกลครั้งนี้ก็ได้ พอใช้ได้ไหม”
“อ้า…ค่ะ มีความสุขดีค่ะ”