Memorize - เล่ม 14 ตอนที่ 25
“พอดีเลยนะ ฉันเองก็มีธุระกับเธอพอดี”
“หืม คิมซูฮยอนน่ะนะ เรื่องอะไรล่ะ”
พอพิงตัวกับเก้าอี้แล้วพูดขึ้น วิเวียนก็ปิดประตูเข้ามาพลางย้อนถาม ผมเอาหนังสือเล่มหนาหนึ่งเล่มที่เก็บเอาไว้ในลิ้นชักออกมาแล้ววางไว้บนโต๊ะ นี่คือบันทึกประจำวันของมาร์โวลโลที่วิเวียนลืมทิ้งไว้เมื่อวันก่อน
“จะเอาไอ้นี่ให้น่ะสิ ครั้งก่อนเธอมัวแต่ดีใจที่ได้รับออร์โดแห่งข้อบังคับก็เลยวิ่งถลาออกไปเลยไม่ใช่หรือไง ถึงไม่รู้ว่าเพราะอย่างนั้นก็เลยลืมหรือเปล่า แต่เธอก็วางไว้แล้วออกไปเฉยเลย”
“แหะๆ โทษนะ โทษที เอาให้ชินซังยงก็ได้นี่นา ว่าแต่หนังสือเล่มหนานี่มันอะไรล่ะ เนื้อหาเกี่ยวกับอะไรเหรอ”
“ลองอ่านดูสักครั้งสิ เอามาจากการเดินทางไกลไปสำรวจที่มาเจีย เหมือนจะเป็นบันทึกประจำวันที่มีเนื้อหาการทดลองของมาร์โวลโลอยู่ด้วย หมอนั่นก็เหมือนจะมีแนวคิดของตัวเองกับเรื่องการแปรธาตุเหมือนกัน คิดว่าอาจจะมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์อะไรกับเธอบ้างสักนิดน่ะ เธอก็รู้จักมาร์โวลโลไม่ใช่เหรอ”
วิเวียนดูเหมือนหยุดคิดไปครู่หนึ่งแล้วจึงตบมือดังฉาดพลางพยักหน้าหงึกหงักรัวๆ
“ฉันไม่รู้อย่างละเอียดหรอกนะเพราะเป็นคนที่อยู่มาก่อนฉันซะอีก ส่วนชื่อน่ะพอจะรู้อยู่บ้าง จะว่าไปก็คาดหวังกับเจ้านี่เหมือนกันนะ ถ้างั้นเดี๋ยวจะลองอ่านดู”
วิเวียนพุ่งเข้ามาหยิบหนังสือทันที จากนั้นเธอก็กางมันออกแล้วดวงตาของเธอก็เริ่มกลอกไปมา
พรึ่บ พรั่บ พรึ่บ พรั่บ
เธอเปิดไปทีละหน้าสองหน้า และทุกครั้งที่เธอเปิดหน้าใหม่ สีหน้าที่เคยแจ่มใสของเธอก็ฉายแววแปลกๆ ผมอ่านสีหน้าแบบนั้นของเธอแล้วจู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้จึงพูดขึ้น
“เธอแปลภาษาโบราณออกใช่ไหม ทีหลังก็สอนชินซังยง…”
“ไม่ เดี๋ยวก่อน คิมซูฮยอน นี่มันอะไร”
“อะไรล่ะ”
วิเวียนเอียงหัวด้วยความงุนงงกับการย้อนถามของผม จากนั้นเธอก็เริ่มอ่านหนังสือออกเสียง
“ใช้แส้เฆี่ยนมาร์การิต้าที่จ้องมองมาด้วยสายตาเย็นชาด้วยความรู้สึกอาฆาต อะไรกัน นี่น่ะ”
“อ๋อ ฉันยังไม่เคยพูดสินะ มาร์การิต้าคือราชินีแห่งเอลฟ์ มาร์โวลโลเคยลักพาตัวผู้กล้ากับราชินีแห่งเอลฟ์ไปใช่ไหมล่ะ นั่นน่ะเป็นเรื่องจริง จิ๊ เอามานี่สิ ฉันจะแยกส่วนนั้นเอาไว้ให้ บางทีหน้าหลังๆ น่าจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับยาอยู่นะ”
ผมพูดแบบนั้นแล้วจึงยืดตัวที่พิงเก้าอี้ขึ้น จากนั้นในตอนที่กำลังจะยื่นมือไปเอาหนังสือนั่นเอง
“มะ ไม่เอา! ฉันรู้แล้ว เดี๋ยวจะหาเองนั่นแหละ!”
วิเวียนถลึงตากว้างในชั่วพริบตาแล้วจึงก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็วพลางกอดหนังสือเอาไว้แน่น
“งั้นเหรอ น่าจะมีเรื่องไม่น่าอ่านอยู่เยอะเหมือนกันนะ”
“ไม่น่าอ่านอะไรล่ะ ให้แล้วก็ให้เลยสิ แล้วก็ของแบบนี้น่ะจะต้องอ่านให้ละเอียดทีละบรรทัดๆ เพราะไม่รู้ว่าจะมีเบาะแสอะไรอยู่ตรงไหนน่ะสิ”
“ก็จริง ถ้างั้นก็เอาตามนั้น ว่าแต่…เธอบอกว่ามีธุระเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
แน่นอนว่ามันเป็นคำพูดที่มีสาเหตุ เพราะอย่างนั้นผมจึงพยักหน้าอย่างไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ แล้วพอถามเรื่องธุระ ดวงตาของวิเวียนจึงเบิกกว้างเท่าหลอดไฟราวกับตอนนั้นถึงเพิ่งนึกออก
“อ๊ะ คำขอ! นายบอกว่าถ้าทำโพชั่นวิเศษแล้วจะช่วยฟังคำขอของฉันนี่!”
“อ้อ ใช่สิ ยังไงก็ขอบใจเรื่องโพชั่นนะ เพราะเธอ ฉันเลยแก้ปัญหาไปได้อีกเรื่อง”
“หุๆ บอกแล้วว่าให้เชื่อในตัวฉัน ยังไงก็เถอะ ไม่ลืมสัญญาใช่ไหม”
“ไม่ได้ลืม ถ้าเป็นเรื่องที่สามารถแก้ไขได้ในขอบเขตของฉัน ไม่ว่าอะไรก็จะรับฟังหมดเลย ลองบอกมาสิ”
“คำขอของฉัน ฉันจะตัดสินใจหลังจากอ่านเจ้านี่แล้ว”
“อะไรนะ”
พอส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความหมายว่าหมายความว่าอะไร วิเวียนจึงพูดตะกุกตะกักขึ้นมาด้วยใบหน้าพะวักพะวน
“ปะ เปล่าสักหน่อย! เพราะฉะนั้นก็เลยขอเวลาคิดไงเล่า”
“อะไรกัน แล้วถ้างั้นมาทำไมล่ะ”
“มะ มาเช็คดูไง! ยังไงก็เถอะ ฉันจะไปแล้ว!”
“นะ นี่! จะไปก็ได้ แต่ไปบอกให้โกยอนจูเข้ามาให้ด้วยละ”
“รู้แล้วน่า!”
ปัง ตึงๆๆ
วิเวียนวิ่งออกไปข้างนอกด้วยฝีเท้าอันรวดเร็วโดยไม่มีแม้แต่จังหวะให้ผมได้ห้ามปราม ผมไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงเป็นแบบนั้น แต่ถ้าลองนึกถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของนักเล่นแร่แปรธาตุก็พอจะเข้าใจได้บ้างเหมือนกัน เพราะเดิมทีพวกนักเล่นแร่แปรธาตุก็มีความอยากรู้อยากเห็นมากมายอยู่แล้ว
แต่ตอนนั้นยังไม่รู้อะไรเลย ผมคาดเดาไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ว่าการให้หนังสือวิเวียนคืนไปในตอนนั้น หลังจากนั้นจะทำให้ผมรู้สึกต่ำต้อยจากผลลัพธ์นั้น
หลังจากวิเวียนวิ่งออกไป ประตูก็เหมือนจะถูกปิดอยู่ แต่แล้วก็เปิดออกทันที คนที่เปิดประตูเข้ามาคือโกยอนจู บางทีคงกำลังรออยู่แถวๆ ประตู พอวิเวียนวิ่งออกไป เธอจึงเข้ามาทันที
“เชิญเข้ามาเลยครับ ไม่สิ อย่าเพิ่งเข้ามามากกว่านี้นะครับ นั่งลงตรงโซฟาข้างหน้านั้นได้เลยครับ”
ผมยกมือขึ้นทักทายโกยอนจูที่ปิดประตูเข้ามา แต่แล้วก็ใช้นิ้วชี้ไปทางโซฟาทันที เพราะรู้สึกว่าฝีเท้าของเธอที่เดินเข้ามาใกล้ผมมันรวดเร็วแบบแปลกๆ คงคาดการณ์ถูกต้องจริงๆ โกยอนจูจึงทำสีหน้าเสียดายพร้อมทำเสียงชิ
“ตั้งใจจะหาเวลาใกล้ชิดกันสักหน่อยหลังจากไม่ได้อยู่สองต่อสองมานานแล้ว! ไม่ได้ทำกันเกินไปหน่อยเหรอคะ”
“เรามาแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานกันเถอะครับ ยังคงอยู่ในเวลางานนะครับ”
“ได้ค่า~ ได้เลย~ นี่แหละที่เขาเรียกว่ายอนจูของตายใช่ไหมคะ”
“เอาล่ะ ถ้างั้นมาลองฟังเรื่องของคุณเลยดีไหมครับ”
แม้จะนั่งลงบนโซฟาแล้ว เธอก็ยังบ่นพึมพำต่อไป แต่ผมก็สามารถโต้ตอบกลับได้อย่างไม่เขินอาย โกยอนจูปรายตามองผมด้วยใบหน้าเหมือนบอกว่าเกลียดจะตายแล้ว แต่แล้วก็ถอนหายใจเฮือกพลางพูดขึ้น
“เฮ้อ ก่อนอื่นเลย ฉันมีเรื่องอยากจะถามสักหน่อยก่อนค่ะ ซูฮยอน จากนี้ไป คุณคิดจะรับสมัครสมาชิกเผ่ายังไงคะ”
“ผมกำลังคิดครับ อาจจะยังไม่ชัดเจนนัก แต่สิ่งที่สามารถพูดได้ในตอนนี้มีเพียงเรื่องที่โกยอนจูก็ได้ยินมาที่มิวล์น่ะครับ ถ้าพูดถึงเรื่องการทำให้วิธีการเป็นรูปเป็นร่างก็มีสิ่งที่จะต้องลองค้นคว้าดูก่อนครับ”
“โอเคค่ะ กลุ่มทหารชั้นหนึ่ง ว่าแต่ว่า ความสามารถมันก็ดี แต่ตอนนี้น่าจะต้องเริ่มใส่ใจสัดส่วนของคลาสหรือเปล่าคะ ตอนนี้เมอร์เซนต์นารี่มีสัดส่วนของคลาสนักเวทสูงมากเลยนี่คะ”
“ถ้าลองนึกถึงในภายภาคหน้า การมีนักเวทเยอะก็ไม่ใช่เรื่องแย่นะครับ แต่แน่นอนว่าก็มีคลาสที่ยังขาดแคลนจริงๆ”
ผมกับโกยอนจูพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน คำพูดของเธอก็มีเหตุผลมาก เพียงแค่รวมคลาสที่ไม่มีเมอร์เซนต์นารี่ตอนนี้ได้อย่างเหมาะสม ก็จะมีกำลังในการต่อสู้ที่เพิ่มสูงขึ้นอีกเท่ากว่าตอนนี้ได้ด้วยเช่นกัน
“ส่วนตัวแล้ว ฉันคิดว่าจำเป็นต้องมีนักธนูมากที่สุดค่ะ ไม่ใช่จู่ๆ เพิ่งคิดขึ้นมาแต่คิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วค่ะ แล้วพอออกเดินทางไกลในครั้งนี้ก็ยิ่งคิดมากขึ้นอีกค่ะ ถ้ามีคนคอยโจมตีสนับสนุนอย่างอิสระจากระยะไกล…”
“ต้องดีอยู่แล้วละครับ แล้วก็พอหยิบเรื่องนักธนูขึ้นมาพูดปุ๊บ ผมก็นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาปั๊บเลยนะครับ”
“ตายตริง ถูกจับได้แล้วสินะ”
“มาดามอิม อ้อ ผู้เล่นอิมฮันนาครับ”
โกยอนจูแลบลิ้นพร้อมกับยักไหล่ ผมประสานนิ้วทั้งสิบเข้าด้วยกันแล้วจึงเปิดหน้าต่างข้อมูลผู้เล่นของอิมฮันนาที่เคยดูก่อนหน้านี้ขึ้นมา
ข้อมูลผู้เล่น(Player Status)
1.ชื่อ(Name) : อิมฮันนา(ปีที่ 3)
2.คลาส(Class) : นักธนูทั่วไป(Normal, Archer, Expert)
3.นามแท้ · สัญชาติ : ดอกไม้น่าสงสารที่ไม่หักงอ · สาธารณรัฐเกาหลี
4.อุปนิสัย : มีวินัย · มีความเชื่อมั่น(Lawful · Belief)
[พละกำลัง 72] [ความทนทาน 84] [ความคล่องแคล่ว 92] [ความแข็งแกร่ง 68] [พลังเวท 88] [โชค 90]
แต้มของค่าความสามารถที่คงอยู่คือ 0 พอยต์
น่าเสียดายตรงค่าพละกำลังกับความแข็งแกร่ง แต่ความคล่องแคล่วกับพลังเวทสูง และถ้านึกถึงจุดที่ว่าเป็นนักธนู คุณค่าในเรื่องนั้นก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พูดให้ละเอียดก็คือ อิมฮันนาอยู่ในระดับที่พอจะทำให้น้ำลายไหลไม่ว่าจะเป็นเผ่าไหนๆ และผมเองก็คิดว่าถ้าเป็นระดับนี้ก็เพียงพอที่จะเข้ามาในเมอร์เซนต์นารี่ได้ ส่วนเรื่องอุปนิสัยก็น่าพอใจเช่นกัน
คงรับรู้ได้ว่าผมคิดในแง่บวก โกยอนจูจึงเริ่มพูดต่อทันที
ถ้าลองรวบและสรุปสถานการณ์อย่างง่ายๆ ตอนนี้อิมฮันนากำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันคลุมเครือมากๆ อยู่ เป้าหมายเดิมของเลิฟเฮาส์คือตึกที่สร้างเอาไว้เพื่อพวกดอกไม้กลางคืนผู้มีชีวิตยากไร้ในบรรดาผู้เล่นจำพวกหาเลี้ยงชีพ
แต่ในเมื่อเป็นตึก แน่นอนว่าจะต้องมีเจ้าของตึก ตอนเจ้าของตึกยังมีชีวิต ถึงแม้คนรอบข้างจะคัดค้าน เขาก็ยังทำตามเป้าหมายต่อไปอย่างหนักแน่น แต่ล่าสุดว่ากันว่าเจ้าของตึกเสียชีวิตไปแล้วด้วยสาเหตุบางประการ สาเหตุบางประการนั้นก็คือเรื่องทีมกู้ภัยรอบแรกที่ออกไปทำการช่วยชีวิตเผ่าชายฝั่งน้ำตื้นนั่นเอง เจ้าของตึกเข้าร่วมทีมกู้ภัยนั้นไปด้วย
“แม้เจ้าของตึกจะเสียชีวิตไปแล้วแต่เผ่าที่เจ้าของตึกสังกัดอยู่ยังคงอยู่ค่ะ แต่เจ้าของตึกก็เข้าร่วมทีมกู้ภัยในครั้งนี้แล้วเสียชีวิตใช่ไหมล่ะคะ เพราะฉะนั้นสิทธิทั้งหมดจึงตกมาอยู่กับเผ่านั้นค่ะ คนของเผ่านั้นดูเหมือนตั้งใจจะฟื้นคืนความเสียหายที่ได้รับในครั้งนี้ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม การเปลี่ยนเลิฟเฮาส์เป็นร้านเหล้าก็เหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนั้นค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อเจ้าของตึกเสียชีวิตและจุดประสงค์เปลี่ยนไปแล้ว อิมฮันนาก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นั่นต่อใช่ไหมครับ แสดงว่าคุณกำลังชวนให้รับเธอที่ไม่มีที่ไปเข้ามาหรือเปล่าครับ”
“นั่นเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดก็จริงค่ะ แต่สถานการณ์ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น พูดตามตรงว่าไม่ใช่เพราะฮันนาเป็นเด็กที่ฉันรู้จัก แต่เธอเป็นเด็กที่มีความสามารถจริงๆ ค่ะ ว่ากันว่าตอนนี้ได้รับเลิฟคอลจากเผ่าประมาณสองเผ่า เพราะฉะนั้นแค่เลือกไปตามที่ชอบก็ได้ใช่ไหมล่ะคะ แต่เธอไม่สามารถไปได้ค่ะ เดิมทีนิสัยของเธอคือมีความรับผิดชอบสูงอยู่แล้ว คงฟังเจ้าของตึกคนก่อนพูดอะไรบางอย่างมา ตอนนี้เลยดูเหมือนจะทิ้งพวกดอกไม้กลางคืนที่ดูแลอยู่ตอนนี้ไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้ค่ะ”
“ถ้างั้นถ้าจะพาอิมฮันนามา แค่แก้ปัญหาเรื่องดอกไม้กลางคืนก็พอแล้ว…โอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะครับ”
พอถามหาความเห็นชอบ โกยอนจูจึงพยักหน้า ผมหลับตาลงทั้งอย่างนั้นแล้วพิงตัวเข้ากับเก้าอี้อย่างสบายๆ จู่ๆ เรื่องที่เคยพูดคุยกันระหว่างทานอาหารเมื่อไม่นานมานี้ก็แวบผ่านหัวไป
‘ครับ ผมวางแผนว่าจะแวะไปที่แท่นบูชาครับ เป็นปัญหาสำคัญนิดหน่อย…ว่าแต่ทำไมถามเรื่องนั้นล่ะครับ’
‘อ๋อ~ ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ ตอนนี้ก็มีแคลนเฮาส์แล้ว ก็จะต้องจัดการโครงสร้างภายในไม่ใช่เหรอคะ อย่างเช่นพวกลูกจ้าง…’
หรือว่าตอนนั้นตั้งใจจะพูดเรื่องนี้หรือเปล่านะ พอลองคิดเรื่องนั้นอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ผมจึงสามารถปะติดปะต่อเรื่องได้
“เพราะฉะนั้นโกยอนจูก็เลยต้องการพาพวกดอกไม้กลางคืนมาเป็นลูกจ้างในเมอร์เซนต์นารี่สินะครับ”
พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็เห็นว่าโกยอนจูกำลังทอดสายตามองผมอยู่
“ทำไมซูฮยอนถึงตาไวแค่กับเรื่องแบบนี้ล่ะคะ”
“ไม่รู้สิครับ ยังไงก็เถอะ พวกดอกไม้กลางคืนเนี่ย”
พอผมครุ่นคิดพร้อมกับลูบคาง โกยอนจูจึงรีบพูดขึ้นทันที
“เผ่าที่จ้างพวกผู้เล่นเป็นลูกจ้างมีเยอะค่ะ หรือว่าถ้าคุณกังวลเรื่องความปลอดภัย…”
“ผมมั่นใจเรื่องความปลอดภัยครับ แต่เป็นปัญหาเรื่องความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ในบรรดาชาวเมืองมีคนที่เปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับบทบาทลูกจ้างอยู่เยอะครับ แต่ชาวโลกน่ะ ซึ่งก็คือพวกผู้เล่นที่เคยเป็นดอกไม้กลางคืน ยากที่จะมองว่ามีความเชี่ยวชาญในระดับที่เป็นลูกจ้างได้ครับ”
“ใช่ค่ะ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้นไม่ใช่เหรอคะ ถ้าสอนงานเพียงแค่เดือนเดียวก็เพียงพอที่จะเชี่ยวชาญขึ้นมาได้แล้ว”
“เรื่องนั้นมันแปลกนิดหน่อยนะครับ อย่างน้อยถ้าสอนล่วงหน้ามาก็น่าจะดีนะ”
“เดิมทีตอนเจ้าของตึกมีชีวิตอยู่ ดูเหมือนจะสั่งให้เรียนรู้เป็นพิเศษด้วยค่ะ และถ้าเหมือนจะเชี่ยวชาญขึ้นมาในระดับหนึ่งก็จะได้รับการแนะนำแล้วก็ไปทำอาชีพในการดำรงชีวิตแบบอื่น ในขณะเดียวกันก็เป็นการช่วยเหลือให้ออกจากเลิฟเฮาส์ไปด้วย แต่ว่าช่วงที่พวกดอกไม้กลางคืนคนใหม่เข้ามากับช่วงที่เจ้าของตึกออกไปกับทีมช่วยเหลือเป็นช่วงเวลาเดียวกันค่ะ”
ช่างบังเอิญจริงๆ หน้าที่ลูกจ้างไม่ได้จำกัดขอบเขตแค่ทำอาหารหรือทำความสะอาดแบบง่ายๆ ความเป็นจริงก็คือพวกเขาจะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวงแหวนเวทหรือหินรวมพลัง เพราะมันเป็นจุดศูนย์กลางที่คงสภาพสิ่งอำนวยความสะดวกของแคลนเฮาส์เอาไว้
หลังจากพวกผู้เล่นเข้ามา ว่ากันว่าแก้ปัญหาได้นิดหน่อย แต่ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นก็ใช้สิ่งที่เคยมีอยู่ในฮอลล์เพลนเป็นพื้นฐาน การหาชาวเมืองที่มีความรู้ที่เกี่ยวข้องจนทำหน้าที่ลูกจ้างได้ไม่ยากเลย แต่ถ้าเป็นพวกดอกไม้กลางคืนซึ่งอยู่ในบรรดาผู้เล่นจำพวกหาเลี้ยงชีพนั้น…
“วุ่นวายจังเลยนะครับ”
“ซูฮยอน ไม่มีอะไรที่จะต้องคิดให้ยากเลยนะคะ เป็นเพราะเสียดายยังไงล่ะคะ เสียดายน่ะ ฮันนาเป็นเด็กที่มีความสามารถจริงๆ นะคะ เรื่องนั้นฉันจะรับประกันให้เองค่ะ ฉันคิดจะทำอะไรดีๆ สักครั้งให้เด็กๆ ที่กำลังดูแลอยู่เป็นค่าตอบแทนที่ได้รับฮันนามาค่ะ”
“…คุยกับอิมฮันนาเรียบร้อยแล้วหรือยังครับ”
“แน่นอนค่ะ คุยกันเรียบร้อยแล้วค่ะ จำตอนที่เอาอุปกรณ์ออกมาวางเอาไว้ที่ชั้นหนึ่งเมื่อครั้งก่อนได้ใช่ไหมคะ ถึงแม้ว่าเธอจะดูเหมือนยิ้มแย้มตลอดเวลาแต่ก็เป็นเด็กที่มีเรื่องราวอยู่พอสมควรเลยค่ะ บางทีมองดูภาพนั้นแล้ว เจ้าตัวก็อาจจะเกิดแรงจูงใจขึ้นมาก็ได้ค่ะ เพียงแค่ซูฮยอนอนุมัติก็จะสามารถเอาชนะสงครามการชักชวนให้เข้าร่วมเผ่าซึ่งห้อมล้อมฮันนาอยู่แน่นอนค่ะ”
โกยอนจูตีป้าบลงบนหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองเบาๆ พร้อมกับแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจ จู่ๆ ผมก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่าโกยอนจูกับอิมฮันนาเจอกันได้อย่างไร เธอเป็นผู้เล่นที่ปกปิดตัวตนจนกระทั่งก่อนจะมาเจอกับผม แน่นอนว่าถึงแม้จะพูดแบบนั้นแล้วก็ไม่มีวิธีที่ทำให้รู้ได้อยู่ดีก็เถอะ
“ดูจากตอนที่อยู่เลิฟเฮาส์ พวกดอกไม้กลางคืนที่อาศัยอยู่ที่นั่นดูเหมือนจะมีประมาณยี่สิบคนนะครับ ผมพูดไปก่อนหน้านี้แล้ว ว่าผมไม่สามารถว่าจ้างทั้งหมดนั้นได้ครับ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ เพราะฉะนั้นตอนประชุมวันนี้ ฉันเลยให้ดูบันทึกนั้นยังไงล่ะคะ”
โกยอนจูยิ้มอย่างอ่อนหวานพร้อมกับตอบราวกับรู้แล้วว่าผมจะพูดแบบนั้น พอเห็นท่าทางนั้น ผมก็ส่งเสียงว่า “อ๋อ” ออกมาโดยอัตโนมัติ ดูเหมือนว่าเธอจะคาดเดาไว้แล้วว่าผมจะแสดงออกอย่างไร
ผมเคาะนิ้วลงบนโต๊ะครู่หนึ่งแล้วในที่สุดจึงตัดสินใจลงได้
“ช่วยจัดแจงสถานที่ที่จะคุยกับอิมฮันนาด้วยครับ”
* * *
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ พี่”
“ตายจริง~ มาดามอิมของฉันมาแล้วสินะ”
พออิมฮันนาก้มหัวลงทักทายอย่างนอบน้อม โกยอนจูจึงยิ้มกว้างและพูดต้อนรับด้วยความยินดี
“ยังไงพอถึงพรุ่งนี้ คำนำหน้าชื่อว่ามาดามก็จะหายไปแล้วนะคะ”
“อ๊ะ เวลาผ่านมาขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย จริงๆ ด้วย ช่วงนี้เธอเหมือนจะยุ่งนะ”
“ขอโทษค่ะ มีเรื่องที่ต้องวางแผนล่วงหน้าเอาไว้ก็เลยวิ่งไปนู่นมานี่ทั่วเลย…”
“เป็นไงบ้างล่ะ ได้ผลสำเร็จหรือยัง”