Memorize - เล่ม 14 ตอนที่ 9
วิเวียนทำตาเป็นประกายแล้วจ้ำเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ครั้งนี้ดูเหมือนเธอเรียกใช้เวทเฮสท์เลยทีเดียว
เธอเข้ามาตรงหน้าผมแล้วก้มตัวลงเล็กน้อยพลางยื่นหน้าเข้าไปหาลูกยูนิคอร์น ยูนิคอร์นเอง ตอนนี้ก็คงตื่นเต็มตาแล้ว มันจึงจ้องมองวิเวียนด้วยดวงตาใสแจ๋วตามธรรมชาติ
สายตาของทั้งคู่ประสานกันแบบนั้น
“เห~ เธอคือยูนิคอร์นเองสินะ สวยจัง ชื่ออะไรล่ะ”
“ยังไม่ได้ตั้งอย่างเป็นทางการเลย”
วิเวียนจ้องมองด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยแล้วก็กล่าวทักทายเบาๆ พร้อมกับโบกมือ
“สวัสดี”
ฮี้
“สวัสดี”
ฮี้
“สวัสดี!”
ฮี้!
‘พอสักทีเถอะ ได้โปรด’
มุมปากของวิเวียนยกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของลูกยูนิคอร์นก็โค้งเล็กน้อยเหมือนกัน ในตอนที่ผมตั้งใจจะทำความเข้าใจว่ามีความหมายแบบไหนแฝงอยู่ในบทสนทนาของทั้งคู่กันแน่ เธอก็ยืดตัวขึ้น จากนั้นก็แย้มยิ้มอย่างหวานหยดพร้อมกับยื่นมือมาด้านหน้า
“อ๊าย~ นายนี่เป็นเด็กดีจริงๆ ไม่สิ ต้องเป็นยูนิคอร์นสินะ”
ฮี้~
“โฮะๆ! ฉันชอบนายจัง ไม่รู้ว่าจะฟังได้หรือเปล่าแต่ฉัน วิเวียน ลา คลาดัส อันดับสองของที่นี่…ล่ะมั้ง อ้อ ยังไงก็เถอะ จากนี้ไปฉันจะคอยระวังหลังนายให้เอง เพราะฉะนั้นใช้ชีวิตแบบวางใจได้เลยนะ!”
ฮี้ๆ~
‘ตะ ตีความหมายอะไรอยู่น่ะ’
แปะ!
ให้ตายสิ คราวนี้ถึงกับไฮไฟว์
คงมีอะไรดีมากขนาดนั้น ทั้งสองจึงต่างมองกันแล้วยิ้มอย่างสดใส ผมได้แต่ต้องจ้องมองภาพเหตุการณ์นั้นอย่างมึนงงอยู่พักหนึ่ง
มีเรื่องเกิดขึ้นเล็กน้อยก็จริง แต่ก็โชคดีที่ได้เจอกับวิเวียนบนทางเดินตอนเช้า เพราะสามารถใช้รูมเซอร์วิส(?)จัดส่งอาหารเช้ามาที่ห้องผ่านเธอได้
วิเวียนที่บอกว่ายุ่งแต่กลับมีหน้าที่เพิ่มขึ้นอีกนั้นคือความผิดพลาด แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้เกิดภาพเหตุการณ์อันน่าปลาบปลื้มที่ตักข้าวให้ตัวเองหนึ่งคำ แล้วก็ป้อนลูกยูนิคอร์นอีกคำ สลับกันไปอย่างนี้ด้วย แน่นอนว่าในระหว่างกินข้าว ผมก็ไม่ลืมที่จะถามเกี่ยวกับเรื่องโพชั่นพิเศษ
เดิมทีแต่ละคนจะแยกกันกินอาหารเช้าของใครของมันและวางแผนจะจัดการประชุมขึ้นอย่างง่ายๆ แต่สมาชิกเผ่าส่วนใหญ่กลับตื่นขึ้นมาทีละคนตอนประมาณเที่ยงๆ ไปแล้ว
ผมไม่คิดจะโทษพวกเขาเลย การกินและดื่มจนเกินขอบเขตเมื่อวานนี้เป็นสาเหตุรอง พวกเขาเองก็น่าจะรู้สึกเหนื่อยล้าสะสมมาจากการออกเดินทางไกลเช่นกัน เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นจะต้องคลายความเหนื่อยล้าให้เพียงพอผ่านการนอนหลับ ถึงแม้ว่าการที่จองฮายอนตื่นสายจะเป็นเรื่องเกินคาดไปหน่อยก็เถอะ
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลนั้น ผมจึงจัดประชุมสรุปผลหลังจากผ่านเวลารับประทานอาหารกลางวันมาได้พักหนึ่งแล้ว
“เจ้ายูนิ เจ้ายูนิ”
ฮี้ๆ ฮี้ๆ
“กินข้าวเช้าข้าวเที่ยงอย่างอร่อยหรือเปล่า~ อร่อยหรือเปล่า~”
อันซลจับลูกยูนิคอร์นมายืนตรงหน้าตัวเองแล้วใช้มือทั้งสองข้างจับขาของมันพร้อมกับทำให้มันเต้นเหมือนเต้นกับตุ๊กตา
ทันทีที่วางลูกยูนิคอร์นไว้ตรงหน้าสมาชิกเผ่า มันก็ได้รับความนิยมแต่เพียงผู้เดียว มันเดินผ่านวิเวียน อียูจอง คิมฮันบยอล และกำลังข้ามไปหาอันซล ถ้าประมาณนี้ก็น่าจะรู้สึกรำคาญนิดหน่อยแล้ว แต่มันกลับร้องฮี้ๆ ด้วยใบหน้าเพลิดเพลินอย่างต่อเนื่องโดยไม่แสดงท่าทีแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว
“ซูฮยอน”
ในขณะที่มองดูอันซลกับยูนิคอร์นเล่นกัน เสียงใสๆ ของจองฮายอนก็ดังเข้ามาในหูเบาๆ พอหันหน้าไป ผมก็เห็นดวงตาสีฟ้าใส เดิมทีเธอก็สวยสง่าอยู่แล้ว แต่หลังจากที่เธอใช้เวทอัญมณีแห่งการขยาย ภาพลักษณ์ของเธอรวมไปถึงสติปัญญาก็ดูแข็งแกร่งขึ้น พอผมมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นนิ่งๆ แก้มของเธอก็เจือสีแดงระเรื่อขึ้นมา
“ทะ ทำไมถึงมองแบบนั้น…”
“มองเฉยๆ ครับ ว่าแต่เรียกทำไมเหรอครับ”
“อ้อ พอดีสงสัยว่าคิดไว้หรือยังว่าจากนี้ไปจะทำยังไงกับเจ้ายูนิคอร์นน่ะค่ะ”
“ไม่รู้สิครับ ผมคิดว่าซ่อนเอาไว้ก่อนจนกว่าจะสร้างแคลนเฮาส์เสร็จน่าจะดีกว่า…ทั้งสองคนคิดยังไงบ้างครับ”
โกยอนจูกับจองฮายอนนั่งขนาบข้างผมอยู่ พอบิดขี้เกียจจนสุดแขนแล้วลองถาม ทั้งสองคนจึงจมอยู่ในห้วงความคิด จากนั้นแต่ละคนก็เริ่มพูดสิ่งที่ตัวเองคิดกับผม
“อืม ยังไงถ้าคิดจะเปิดเผยในที่สาธารณะแล้ว ฉันมองว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องดันทุรังซ่อนเอาไว้นะคะ แล้วมันก็ไม่ได้มีแค่พวกเราที่รู้นี่คะ ผู้เล่นคนอื่นๆ ก็รู้แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่ายังไงข่าวลือก็จะแพร่ออกไปอยู่แล้วค่ะ หรือว่าถ้ากังวลเรื่องฮันนาก็เก็บความเป็นห่วงเอาไว้ดีกว่าค่ะ ฉันจะบอกให้เองค่ะ”
“ฉันเองก็คิดแบบนั้นค่ะ แล้วก็เมื่อวานได้ฟังเรื่องราวแล้ว เขาเป็นเด็กน่าสงสารไม่ใช่เหรอคะ ถ้าเอามาไว้แล้วทำให้อึดอัดก็อาจจะยิ่งซึมเศร้ารุนแรงกว่าเดิมไม่ใช่เหรอคะ ฉันคิดว่าปล่อยอย่างอิสระจะดีทั้งกับพวกเราและกับลูกยูนิคอร์นมากกว่าค่ะ”
ไม่ว่ามองอย่างไรคำพูดของทั้งสองคนก็มีเหตุมีผล ผมนึกถึงความเป็นไปได้ ‘หนึ่งในหมื่น’ อยู่เสมอ แม้ไม่รู้ว่านิสัยนี้จะมีประโยชน์ในตอนออกเดินทางไกลหรือตอนอันตรายหรือเปล่า แต่มันก็ทำให้ไม่สะดวกในชีวิตจริงอยู่บ่อยๆ
ไม่รู้ว่าจองฮายอนจะคิดอย่างไร แต่บางทีโกยอนจูอาจจะรู้ถึงความตั้งใจของผม ในบรรดาพวกดอกไม้หลางคืนก็มีพวกผู้หญิงที่มีนิสัยมือไวอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นระวังเอาไว้ก็น่าจะไม่มีอะไรแย่
‘จริงๆ แล้วก็ยังไม่เคยโดนขโมยของมาจนถึงตอนนี้ แน่นอนว่าถึงแม้จะเปิดตัวเร็วขึ้นก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง กลับกลายเป็นว่าอาจจะเป็นประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์การเดินทางไกลครั้งนี้ด้วย…’
ผมคิดคำนวณในใจแล้วสุดท้ายจึงตัดสินใจได้ ผมจะไม่ป่าวประกาศอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจจนกว่าจะก่อสร้างเสร็จสิ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องซ่อนเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย แน่นอนว่าการปกป้องยูนิคอร์นอย่างถึงที่สุดเป็นเรื่องที่จะต้องทำให้ได้จากนี้ไป
ผมเรียบเรียงความคิดแบบนั้น และในตอนที่กำลังจะพยักหน้า
“นี่ ว่าแต่ชื่อยูนิมันก็ยังไงๆ หน่อยนะ”
“วะ ว่าอะไรนะคะ ทำไมล่ะคะ”
“เป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่ ยูนิมันคืออะไรล่ะ ยูนิ พูดตามตรงว่าเธอน่ะ ตั้งชื่อไม่ได้เรื่องเลย แล้วก็อะไรอีกล่ะเนี่ย นูนู่เหรอ ลูกแก้วสีขาวนั่นน่ะ ชื่อนั้นก็แปลกด้วยเหมือนกัน”
“คะ ใครคะ ลูลู่ต่างหาก! แล้วก็ยูนิมันจะทำไมล่ะคะ”
ประกายไฟเปรี๊ยะๆ ไหลออกมาจากอันซลกับอียูจอง คงไม่พอใจอันซลที่เอายูนิคอร์นมาไว้ด้วยนานๆ หรือไม่ก็คงไม่พอใจในชื่อจริงๆ พูดตามตรงว่าผมเองก็คิดว่ายูนิเป็นชื่อที่ไม่ค่อยเข้าท่าเหมือนกัน เพราะฉะนั้นในใจผมจึงยินดีกับคำพูดของอียูจอง ให้เป็นฮี้ๆ ยังจะดีกว่า
ผมมองสองคนที่ตีกันอยู่แล้วจึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“โกยอนจู”
“ค่ะ ซูฮยอน เอาล่ะ! ทุกคนเงียบหน่อย”
โกยอนจูตอบมาทันที จากนั้นจึงเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น ในตอนที่เธอเริ่มพูดขึ้น บรรยากาศเจี๊ยวจ๊าวจึงหายไปในชั่วพริบตา ยูนิคอร์นเองก็คงรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่าง มันจึงพรวดออกมาจากอ้อมแขนของอันซลแล้ววิ่งมาทางผมทันที สมกับเป็นเด็กที่ฉลาดหลักแหลมจริงๆ
จากนั้นผมก็ลูบหัวของยูนิคอร์นซึ่งงอขานั่งลงตรงหน้าผมเงียบๆ แล้วจึงพูดขึ้นกับอียูจองกับอันซล
“ชื่อน่ะค่อยๆ คิดทีหลังก็ได้ เด็กคนนี้ฉลาดกว่าที่เห็นนะ บางทีถ้าได้ยินชื่อที่ตัวเองถูกใจก็น่าจะแสดงปฏิกิริยาตอบสนองออกมาให้เห็นแน่ๆ”
“ค่ะ”
ทั้งสองคนตอบกลับอย่างสุภาพแล้วกลับไปนั่งที่ของตัวเอง จากนั้นในตอนที่สายตาของคนจับจ้องมาที่เดียวกัน ผมจึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันเหนื่อยอ่อน
“เมื่อวานพูดไปแล้ว แต่สมาชิกเผ่าที่ไปเดินทางไกลมา แล้วก็สมาชิกเผ่าที่อยู่เมืองเพื่อจัดการงาน ทุกคนทำได้ดีมากครับ ดูจากที่สีหน้าของทุกคนมีชีวิตชีวาขึ้นมาภายในเวลาสั้นๆ ผมเองก็รู้สึกดีไปด้วยครับ”
“…”
“แต่ดูเหมือนจำเป็นจะต้องระวัดระวังนิดหน่อยนะครับ มีชีวิตชีวาอย่างพอดีมันก็ดี แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม ถ้ามากเกินไปก็จะกลายเป็นโทษได้ แล้วงานก็ยังไม่เสร็จสิ้นลงอย่างสมบูรณ์แบบด้วยใช่ไหมล่ะครับ ยังเหลืองานที่อยู่ระหว่างดำเนินการอีก ผมเชื่อว่าทุกคนรู้อยู่แล้วครับ”
เงียบสนิท แต่ไม่ใช่บรรยากาศกังวลใจเหมือนก่อนหน้านี้ มันแค่อยู่ในระดับที่เด็กๆ บางคนรู้สึกกระดากใจขึ้นมา แต่ผมเองก็รู้ถึงความสำคัญของกำลังใจ และไม่อยากจะเป็นผู้นำที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย เพราะฉะนั้นจึงตัดสินใจที่จะหยุดในตอนนี้
ดังนั้นผมจึงถามถึงเนื้อหาเรื่องแรกกับจองฮายอนซึ่งนั่งอยู่อย่างเรียบร้อยพร้อมกับเปลี่ยนหัวข้อเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติ
“ผู้เล่นจองฮายอน ช่วยรายงานสถานการณ์การดำเนินการเกี่ยวกับแคลนเฮาส์ด้วยครับ”
“ค่ะ จะเริ่มเลยนะคะ หัวหน้าเผ่ากลับมาเร็วกว่ากำหนดเลยยังคงไม่สามารถให้ดูแคลนเฮาส์ที่สร้างเสร็จเรียบร้อยได้ค่ะ แต่เรียกว่าใกล้จะเสร็จแล้วก็ได้ค่ะ ฐานของตึกยังคงรักษาเอาไว้ แต่ภายนอกปรับปรุงใหม่ให้สะอาดเรียบร้อย ส่วนภายในก็เหลือแค่ซ่อมแซมให้เสร็จค่ะ”
“เรื่องที่ผมขอเพิ่มเติมก่อนออกเดินทางเป็นยังไงบ้างครับ”
“หมายถึงสถานที่ฝึกส่วนตัวใช่ไหมคะ เรียบร้อยค่ะ ไม่เกินห้าวันการก่อสร้างทั้งหมดจะเสร็จสิ้นลงค่ะ แน่นอนว่ายังเหลือเฟอร์นิเจอร์ที่จะเอาไว้ด้านในกับปัญหาเรื่องผู้ว่าจ้าง แต่…”
“ทราบแล้วครับ ยังไงวันนี้ก็มีเรื่องจะต้องออกไปอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจะไปดูสักครั้งระหว่างเดินทางกลับนะครับ”
จองฮายอนเอาบันทึกเล่มหนาออกมาแล้วยิ้มหวาน ผมยิ้มแห้งๆ ไปให้แล้วโบกมือ ผมคิดจะอ่านอยู่แต่ว่าไม่ใช่ตอนนี้
“ผู้เล่นชินซังยง วันนี้ตอนเช้าได้ยินคร่าวๆ จากวิเวียนแล้ว…เรื่องจริงเหรอครับ”
“คะ ครับ ระ เรื่องอะไร…”
“วิเวียนบอกน่ะครับ ว่าเดิมทีอัตราความเป็นไปได้ที่จะประสบผลสำเร็จในการเล่นแร่แปรธาตุทำโพชั่นพิเศษคือห้าสิบเปอร์เซ็นต์ แต่คุณชินซังยงทำให้มันสูงขึ้นเป็นแปดสิบเปอร์เซ็นต์น่ะครับ”
“ฮ่า ฮ่าๆ พูดอะไรแบบนั้นล่ะครับ ทะ ท่านอาจารย์คอยเป็นหลักให้มาตั้งแต่แรก ผมเพียงแค่เพิ่มความเป็นไปได้ที่จะทำให้มันสำเร็จเท่านั้นครับ บะ บังเอิญด้วยครับ แล้วก็ยังไม่สามารถยืนยันเรื่องประสิทธิภาพได้เลยด้วย”
แม้เจ้าตัวจะรู้ว่าเป็นเพราะตนเอง แต่ชินซังยงก็ตอบอย่างถ่อมตัว ผมมองท่าทางของเขาแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน จากนั้นครั้งนี้จึงเบนสายตาไปทางวิเวียน
“ว่าแต่บอกว่ามีปัญหาอยู่อย่างใช่ไหม”
“อือ”
“ปัญหาเรื่องวาร์ปเกตงั้นเหรอ หมายความว่ายังไง”
“ฉันเองก็ไม่รู้ หนึ่งวันก่อนที่คิมซูฮยอนจะกลับมา ฉันได้รับข่าวจากลูกแก้วคริสตัลน่ะ แล้วส่วนผสมที่สั่งมาจากบาร์บาร่า จู่ๆ ก็มาถึงช้าด้วย”
“อธิบายให้ละเอียดกว่านี้สิ”
“จริงๆ แล้วจะบอกว่าฉันสั่งมาแบบพอดีๆ ก็ได้นะ ถึงคิมซูฮยอนเองจะบอกว่าสนับสนุนฉันอย่างเต็มที่ก็เถอะ และฉันเองก็มีของที่จะทดลองล่วงหน้าแล้วด้วย แต่จู่ๆ ก็เป็นแบบนั้น ฉันเองก็รู้สึกทะแม่งๆ นิดหน่อยอยู่เหมือนกันนะ ถึงอย่างนั้นก็บอกว่าจะมาภายในสามวันอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลก็ได้ เป็นของที่ขนส่งมาทางอากาศจากบาร์บาร่าได้เท่านั้นด้วย”
ที่ผ่านมาวิเวียนเองก็ไม่ได้แค่เล่นอย่างเดียวเท่านั้น ตั้งใจจะทำให้อัตราความเป็นไปได้สูงขึ้นไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามก็เลยไปถึงเมืองใหญ่บาร์บาร่าแล้วหาส่วนผสม รวมถึงพิจารณาพวกเครื่องมือที่จำเป็นต่อการแปรธาตุ แต่ได้ยินเรื่องราวมานิดหน่อยเมื่อเช้าว่าเกิดปัญหาในการใช้วาร์ปเกตก็เลยเกิดความผิดพลาดในการขนส่ง
“อืม…”
ตามกฎระเบียบเผ่าตัวแทนของเมืองมีอำนาจและสิทธิในการครอบครองวาร์ปเกต นั่นหมายความว่า คำว่าเกิดความผิดพลาดในการใช้เกตนั้น คนจากเผ่าสิงโตทองทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นกลางคัน ผมเคาะโต๊ะอยู่เงียบๆ แล้วถอนหายใจสั้นๆ
“ก็ ยังไงแคลนเฮาส์ก็ต้องก่อสร้างเสร็จก่อนถึงจะเข้มแข็งขึ้นได้ ยังไงก็ตาม หมายความว่าจะแก้ไขได้ภายในสามวันอย่างไม่มีเงื่อนไขใช่ไหม”
“อือ ทางนั้นบอกว่าถ้าไม่ได้จริงๆ ก็จะเอามาให้โดยแวะเป็นทางผ่านไปเมืองอื่นๆ ด้วย ฮิๆ เพราะซื้อเยอะก็เลยบริการดีหรือเปล่านะ”
‘เมืองอื่นก็น่าจะเป็นเหมือนกันนะ’
ถ้าไม่ได้เสียสติไปเสียก่อน เผ่าสิงโตทองไม่มีทางปิดวาร์ปเกต แต่มีความเป็นไปได้ที่จะเล่นตุกติกอะไรบางอย่างในการสัญจรไปมา กรณีแบบนั้น ผมไม่ได้ตกใจสักเท่าไรเพราะเคยประสบพบเจอมาแล้วจนเบื่อหน่าย