Memorize - เล่ม 17 ตอนที่ 18
ฮันโซยองขมวดคิ้วมุ่นอย่างคิดไม่ตก ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ออกจากริมฝีปากอวบอิ่มได้รูป
แม้จะรู้สึกเสียใจที่มอบหมายหน้าที่ด้วยวิธีนี้ เพราะการส่งมอบพวกเร่ร่อนแบบนี้เป็นสถานการณ์ที่จะต้องจำใจทำ แต่ผมมั่นใจว่าหล่อนจะต้องได้ผลประโยชน์กลับมาแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ผมพยักหน้าอย่างพอใจเพราะการบอกเพียงข้อมูลในเบื่องต้นเท่านั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งกังวล
“ผมเห็นด้วยกับการเปิดเผยข้อมูลในเบื้องต้นนะครับ ผมมั่นใจว่าคุณจะทำได้ดี…แต่ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกสิ่งที่เราค้นพบจากการพิจารณาคดีด้วยก็ได้นะครับ”
“คะ? งั้นก็หมายความว่า…”
ใบหน้าของฮันโซยองผ่อนคลายลงด้วยความโล่งอก แต่หลังจากนั้นตากลมก็เบิกว้างแล้วถามทวนขึ้นอีกครั้ง ผมจึงพูดต่อ
“มีข้อมูลบางส่วนที่พวกเราได้สืบค้นพบมาก่อนหน้านี้จากกระบวนการส่งตัวคืนครับ ผมจะกลับไปที่แคลนเฮาส์เพื่อย่อสรุปส่วนนั้นแล้วจะส่งให้อีกครั้งนะครับ แล้วค่อยประกาศข้อมูลนั้น คุณว่าทำอย่างนี้ดีกว่าไหมครับ”
“อ้า…ทำแบบนั้นคงดีกับเราสินะคะ”
“พอมาคิดดูแล้ว ผมควรจะส่งตัวเชลยให้คุณก่อนล่วงหน้า ขอโทษด้วยนะครับ”
“ไม่หรอกค่ะ ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
ฮันโซยองค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมาเบาๆ ก่อนจะโค้งให้ผมอีกครั้ง
ผมหันเหสายตาไปทางอื่นนิ่งๆ ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายของฮันโซยองในวันนี้ แต่ถ้าผมได้พบกับเขา ผมได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะเลี้ยงข้าวเขาให้ได้เลย
แล้วถ้าเธอเป็นคนเลือกใส่เองจะทำยังไงดีล่ะ
เมื่อผมอมยิ้มอย่างมีเลศนัยกับความคิดไม่ดีในใจ ก็พลันมีเสียงไพเราะจนผมแทบละลายแว่วมาให้ได้ยินชิดริมหู
“จริงสิ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ ฉันมีสิ่งหนึ่งอยากจะขอร้องคุณ”
“ขอร้องงั้นหรือครับ”
หลังจากที่ฮันโซยองตอบ “ค่ะ” หล่อนจึงพูดต่ออีกครั้ง
“เป็นคำถามเกี่ยวกับแพคซอยอนน่ะค่ะ”
แพคซอยอนสินะ ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นแพคซอยอนหรือพวกเร่ร่อนก็ดูจะไม่มีประโยชน์หรอกนะ
ผมชะงักไปเล็กน้อย เพราะผมคิดว่าจะลงโทษประหารชีวิตพวกเขาทั้งหมดในตอนแรก แต่ถึงอย่างนั้นคำพูดของฮันโซยองก็นับว่ามีค่าพอที่จะฟัง หลังจากที่ผมพยักหน้า หล่อนก็พูดต่อ
“ก่อนอื่นช่วยฟังก่อนนะคะ”
ผ่านมากว่าหนึ่งอาทิตย์แล้วหลังจากที่ผมไปเยือนแคลนเฮาส์ของอีสตันเทลลอว์
ผมได้เห็นด้วยเกี่ยวกับปัญหาการจัดการพวกเร่ร่อนที่ผมได้นำไปส่งมอบให้พวกเขาในวันนั้น และตามกำหนดการของฮันโซยอง การพิจารณาคดีมีขึ้นในอีกห้าวันข้างหน้า แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นเพียงแค่การไต่สวนที่ดำเนินกันภายในและไม่เกี่ยวกับว่าถูกหรือผิด ดังนั้นมันจึงไม่มีอะไรพิเศษ
ในส่วนของคำตัดสิน พวกเร่ร่อนถูกพิพากษาให้ได้รับโทษประหารชีวิตทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่คนเดียว และผมก็ไม่ได้พูดต่อหน้าพวกเร่ร่อนด้วย การตัดสินโทษประหารชีวิตนั้นถือเป็นโทษที่ขึ้นอยู่กับการตัดสินของเผ่าอีสตันเทลลอว์ และด้วยนิสัยที่รักความสมบูรณ์แบบของฮันโซยอง ทำให้การไว้ชีวิตพวกเร่ร่อนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ปฏิกิริยาของพวกเร่ร่อนเมื่อได้ฟังคำตัดสิน จะว่าอย่างไรดี จะบอกว่าหลากหลายดีไหมนะ
มีทั้งคนที่ตะโกนทวงถาม “ไหนบอกจะไว้ชีวิตพวกฉันไง” และคนที่พยายามโน้มน้าวอย่างใจเย็นว่าพวกเขาอาจช่วยเหลือเราได้ในอนาคต คนที่ร้องห่มร้องไห้ร้องขอความเห็นใจ หรือแม้แต่คนที่ยอมโดนลากไปเงียบๆ เพราะยอมแพ้ไปแล้วตั้งแต่ทีแรก
แต่ไม่ว่าอย่างไร เมื่อแพคซอยอนเพลี่ยงพล้ำ พวกเร่ร่อนก็ดูจะสูญเสียคุณค่าในตัวเองไปเช่นกัน
เมื่อฮันโซยองได้ตัดสินไปแล้ว หล่อนไม่เคยกลับคำ ดังนั้นในท้ายที่สุด ณ ลานประหาร พวกเร่ร่อนก็สลายหายไปราวหยาดน้ำค้างไม่เหลือแม้สักคน จะเว้นก็แต่แพคซอยอนแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น
ความจริงแล้ว แพคซอยอนก็ได้รับโทษประหารเช่นกัน แต่หากจะมีสิ่งที่หล่อนต่างจากพวกเร่ร่อนคนอื่นๆ ก็เห็นจะเป็นที่หล่อนจะไม่ถูกประหารเร็วเท่าพวกเขานั่นเอง ทุกอย่างต่างก็มีเหตุผลของมัน ฮันโซยองเองก็ขอให้ไว้ชีวิตหล่อนด้วยเหตุผลบางประการเช่นกัน
และคำขอของฮันโซยองก็จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้…
“…ฉันขอรับรองให้กับทั้งสี่คนรวมทั้งผู้บริหารระดับสูงจางแฮยุน”
และในตอนนั้นเอง เสียงหนักแน่นที่ดังแว่วอยู่ข้างหูก็ทำให้ผมต้องตื่นออกจากภวังค์แล้วหันมองไปรอบตัวช้าๆ
สถานที่ที่ผมอยู่ตอนนี้คือห้องประชุมภายในของเผ่าโครยอที่เคยมาเยี่ยมเยือนเมื่อครั้งคำสั่งเรียกรวมพลเมื่อคราวก่อน ในตอนนั้นก็ไม่ได้มีคนมากเท่าไรแต่ตอนนี้ดูจะน้อยลงไปกว่าเดิมเสียอีก ที่นั่งส่วนใหญ่เป็นของสมาชิกเผ่าโครยอเอง มีเพียงผมเท่านั้นที่เป็นคนนอก
บรรยากาศโดยรอบห้องประชุมค่อนข้างมืดมัวและหนักอึ้ง บรรดาผู้ที่นั่งอยู่ต่างแผ่สายตาเย็นชาออกมา และเมื่อผมมองตามสายตาของพวกเขา ก็ได้เห็นผู้เล่นสี่หรือห้าคนนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นโดยที่ถูกมัดมือมัดแขนทั้งสองไว้
“ยืนยันเรียบร้อยแล้วนะ ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มได้”
เสียงน่าเกรงขามของแคลนลอร์ดโครยอดังก้องไปทั่วทั้งสี่ทิศ แม้เสียงจะสงบนิ่งเพียงใดแต่ก็ไม่สามารถปกปิดความโกรธแค้นที่ซ่อนอยู่ภายในได้ โจซองโฮ ผู้บริหารระดับสูงทางด้านการทูตของเผ่าโครยอซึ่งนั่งอยู่ข้างเขาและรู้สึกถึงความโกรธนั้นก็ได้พูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
“แคลนลอร์ด แล้วท่านจะทำอย่างไรครับ การสอบสวนนั้น ให้ผมเป็นคน…”
“ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ มันไม่ได้ยากอะไร ฉันจะทำเอง”
แคลนลอร์ดโครยอส่ายหน้าไปมาและลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงหันไปพูดกับหนึ่งในผู้เล่นที่ถูกจับมัดไว้
“จางแฮยุน ปกตินายเป็นคนฉลาด ดังนั้นฉันเชื่อว่านายรู้ดีว่าเหตุผลที่นายถูกพาตัวมาที่นี่นั้นเป็นเพราะสาเหตุอะไร”
“ขอบคุณสำหรับคำชมครับ แต่ผมไม่ได้ฉลาดอย่างที่ท่านคิดหรอก เพราะผมเองก็สงสัยเหลือเกินว่าจู่ๆ เหตุใดผมจึงถูกลากมาที่นี่และต้องพบเจอสภาพเช่นนี้”
“ไอ้นี่…”
“ดังนั้นผมเชื่อว่าท่านจะอธิบายเรื่องทั้งหมดจนข้าสามารถเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ได้ครับ”
แม้จะเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่จางแฮยุนกลับตอบกลับไปอย่างใจเย็นโดยไม่กะพริบตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาเป็นคนแรกที่แพคซอยอนกล่าวถึงในฐานะหนึ่งในสายลับที่หลบซ่อนอยู่ในเผ่าโครยอ
“อืม แต่ผมไม่คิดว่าพี่จะทำเรื่องแบบนี้โดยไม่ได้คิดไตร่ตรองมาก่อน แต่ยังไงก็ตาม หากมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น มันก็เป็นธรรมดามนุษย์ที่จะต้องไขข้อข้องใจนั้นครับ”
คำพูดที่เป็นธรรมชาติของจางแฮยุนทำให้แคลนลอร์ดโครยอถึงกับต้องกำหมัดแน่น เขาดูเหนื่อยหอบระหว่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธอยู่สักพัก หลังจากนั้นจึงได้เริ่มพูดออกมาบ้าง
“ในตอนที่นายเดินเข้ามา ฉันสังเกตเห็นว่านายแอบมองไปทางแพคซอยอน เพราะเป็นฝ่ายที่ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ พอเห็นฉันออกมาอย่างมั่นใจแบบนี้เลยหวาดกลัวกันสินะ”
“ถ้าถามผม ผมไม่รู้ครับ ผมได้ยินข่าวลือว่าแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ได้จับกุมแพคซอยอนแล้ว และเพิ่งจะได้เห็นแพคซอยอนจริงๆ เป็นครั้งแรกครับ ผมเพียงแค่มองเพราะเห็นว่ามันน่าเหลือเชื่อ ไม่ได้มีความหมายอื่นใดเลยครับ”
“เฮอะ แม้ว่าชื่อของนายจะออกมาจากปากของหล่อนอย่างนั้นน่ะหรือ”
“ครับ? ชื่อผมหรือครับ ทำไม…”
จางแฮยุนแสดงสีหน้าสงสัยออกมาจากใจจริง และเมื่อแคลนลอร์ดโครยอเห็นอากัปกิริยานั้นก็จะอาละวาดขึ้นอีกรอบ โจซองโฮจึงแตะที่ไหล่เขาเสียก่อน
“แคลนลอร์ด ใจเย็นก่อนนะครับ เถียงกันไปก็ไม่มีประโยชน์ ผมคิดว่าหากเราจบเรื่องโดยเร็วคงจะดีกว่าพายเรือวนในอ่างกันอยู่เช่นนี้นะครับ”
“…”
โจซองโฮพูดขึ้นขณะจ้องไปยังจางแฮยุนด้วยสายตาเฉียบคม แคลนลอร์ดโครยอพยักหน้าอย่างยินยอมกับคำห้ามปรามของเขา และถอนหายใจออกมายาวเหยียดก่อนจะกลับไปนั่งที่ของตนอีกครั้ง
โจซองโฮค่อยๆ ก้าวมาด้านหน้าแล้วพูดต่อ
“ผู้บริหารงานระดับสูงแห่งโครยอ จางแฮยุน ฉันจะไม่พูดลงลึกถึงรายละเอียดหรอกนะ”
“คุณจะพูดอะไรก็พูดเถอะผมไม่สนหรอก แต่ก่อนอื่นช่วยกรุณาบอกผมทีว่านี่มันเรื่องอะไร ขอล่ะ”
“เมื่อไม่นานมานี้แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ได้จับแพคซอยอนเป็นเชลย และได้รู้ข้อมูลที่น่าตกใจข้อหนึ่งหลังจากทำการสอบสวนเธอ นั่นก็คือมีสายลับของพวกเร่ร่อนที่แฝงตัวอยู่ทั่วทั้งทวีปทางเหนือ”
จางแฮยุนเอียงศีรษะเพื่อคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นภาพนั้นผมก็รู้สึกประทับใจขึ้นมาแวบหนึ่ง มองแค่เพียงภายนอก เหมือนเป็นนักแสดงที่มาจากโลกยุคปัจจุบันเลย และตอนนี้เขาก็กำลังแสดงท่าทีว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก จางแฮยุนก็พูดขึ้นขณะที่คิ้วขมวดมุ่น
“คำพูดนั้นเป็นการบอกว่าผมคือสายลับอย่างนั้นเหรอครับ”
“ใช่”
“ฮะๆ…ความจริงผมก็พอรู้มาบ้างแล้ว แต่พอได้มาฟังด้วยตัวเองแบบนี้ก็ทำเอาตะลึงไม่ใช่เล่นนะครับเนี่ย”
“นายนี่มันหน้าด้านจนถึงที่สุดจริงๆ น่ารังเกียจจังนะ”
จางแฮยุนจ้องโจซองโฮเขม็ง เพราะคำพูดที่รุนแรงของเขา หลังจากนั้นผมว่าความมืดมัวเริ่มระบายบนใบหน้าของจางแฮยุน เขาพูดขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่ยุติธรรมเลย ผมไม่ใช่สายลับนะครับ”
“นั่นน่ะ ไม่ว่าใครก็พูดได้นะ”
“ท่านทั้งสองเลือกจะเชื่อคำพูดของคนที่เป็นเพียงพวกเร่ร่อนมากกว่าผมที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีอย่างนั้นหรือครับ”
“ฉันรู้ว่านายต้องพูดแบบนั้น ฉันจึงได้เตรียมอะไรบางอย่างมาด้วย”
แม้แคลนลอร์ดโครยอจะแสดงภาพลักษณ์ที่ดูเฉยเมยต่อจางแฮยุน แต่โจซองโฮไม่ใช่คนง่ายๆ แบบนั้นเลย เขาพูดตัดบทจางแฮยุนที่กำลังร้องขอความเห็นใจในฉับเดียวไม่เหลือลู่ทางอะไรให้ทั้งสิ้น จากนั้นจึงได้นำลูกแก้วขนาดเล็กกว่ากำปั้นออกมาจากอ้อมกอด และเมื่อผมได้เห็นมันชัดๆ ผมก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างพุ่งเข้ามาในตาผม
คริสตัลแห่งความสัตย์จริง
แม้ผมจะไม่สามารถพูดได้ว่ามันไม่มีอะไรมากมาย แต่มันคือหนึ่งในอุปกรณ์หายากอย่างหนึ่ง ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าเหตุใดโจซองโฮจึงดูมั่นใจถึงเพียงนี้ ตอนนี้เผ่าโครยอเป็นเผ่าที่ยอดเยี่ยมสมดังคำร่ำลือ ก็สมควรแล้วที่จะมีคริสตัลแห่งความสัตย์จริงไว้ในครอบครอง
โจซองโฮไม่รอช้า เขากลิ้งคริสตัลแห่งความสัตย์จริงไปตรงหน้าจางแฮยุนอย่างรวดเร็ว คริสตัลแห่งความสัตย์จริงกลิ้งไปตามพื้นและหยุดลงตรงหน้าจางแฮยุนอย่างพอดิบพอดี เขาค่อยๆ ก้มหน้าลงมองมัน แต่ก่อนที่เขาจะมองมันได้เต็มตา เสียงของโจซองโฮก็ดังขึ้นเสียก่อน
“นายรู้ใช่ไหมว่านี่คืออะไร”
“นี่มัน…ทะ ท่านพี่! นี่ต้องทำถึงขนาดนี้เชียวหรือครับ”
“ก็ตามที่นายพูดยังไงล่ะ ฉันจะไม่พูดยืดยาวในการพิจารณาความถูกต้องในช่วงนั้นหรอก หากนายเป็นผู้บริสุทธิ์จริง คริสตัลนี้ก็จะพิสูจน์ให้นายเอง”
“…”
เกมจบแล้ว ใบหน้าของจางแฮยุนที่เงยหน้าขึ้นอีกครั้งยังคงเรียบเฉย แต่ผมก็สามารถอนุมานได้จากแววตาที่สั่นไหวอย่างรุนแรงของเขาว่าภายในใจเขากำลังว้าวุ่นอย่างหนัก
“หากนายจะท่องเวทก็ต้องคลายเครื่องควบคุมออกเสียก่อน ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้แล้ว และหวังว่านายคงจะไม่คิดอะไรไร้สาระหรอกนะ จางแฮยุน”
ผมแอบหาวโดยไม่ให้ใครเห็นตอนที่มองไปยังโจซองโฮที่กำลังเดินลงไปตรงกลาง