Muyoku no Seijo wa Okane ni Tokimeku นักบุญคนนี้หิวเงินจังเว้ย - ตอนที่ 0 บทนำ
ในวันนี้ สถาบันการศึกษาไวส์แซเกอร์นั้นก็ค่อนข้างที่จะวุ่นวายกว่าช่วงเวลาปกติ
ภายในประเทศมหาอำนาจของทวีปนี้ จักรวรรดิไวส์ มีสถาบันอยู่แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยตึกเรียนสีขาวสะอาดตา ตกแต่งภายในอย่างหรูหรา เหมาะสมกับความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ เหล่าบุตรชายและบุตรสาวของขุนนางทั้งหลาย รวมไปถึงสามัญชนที่มีพรสวรรค์ ล้วนมารวมตัวกันที่นี่
เสียงระฆังของโบสถ์ดังไปทั่ว นักเรียนทั้งหลายมารวมตัวกันอยู่ที่บริเวณทางเข้าของอาคารที่ถูกทำความสะอาดไว้อย่างดีโดยเหล่าข้ารับใช้ ดวงตาของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เด็กสาวผมสีทองคนหนึ่งก้าวออกมาจากมุมทางเดิน ท่วงท่าของเธอนั้นสง่างามแสดงให้เห็นถึงความมีชาติตระกูล นักเรียนทั้งหลายที่รู้สึกตัวถึงการมาถึงของเธอล้วนพากันค้อมศีรษะให้
“อรุณสวัสดิ์เพคะ ท่านเบียงก้า”
“อรุณสวัสดิ์เช่นกันจ้ะ”
สวมใส่ชุดเดรสหรูหราที่แสดงออกถึงความมั่งคั่ง เด็กสาวคนนี้คือเบียงก้า ชื่อเรียกของเธอนั้นมีอยู่มากมาย ประธานนักเรียน น้องสาวขององค์ชายลำดับที่หนึ่งอัลเบิร์ต หรือไม่ก็ดอกไม้งามแห่งจักรวรรดิ ผู้ติดตามของเธอคนนี้เดินเข้ามาเพื่อที่จะทักทาย ส่งผลให้เธอตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
“เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะมากาเร็ต คุณเองก็มาเพื่อที่จะดูบุตรสาวของตระกูลมาร์ควิสฮาเคนเบิร์กเช่นเดียวกันรึ?”
“แน่นอนค่ะท่านเบียงก้า! ในฐานะบุคลากรของสถาบันแห่งนี้ ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก [ภัยพิบัติแห่งฟลอร่า] หรอกค่ะ ได้ยินมาว่าบุตรสาวของท่านคลอเดียถูกพบตัวเจอเป็นครั้งแรกในรอบสิบสองปี ไม่มีทางที่จะกลั้นความสงสัยไว้ได้หรอกค่ะ”
“นั่นสินะจ๊ะ ถึงแม้ว่าเธอจะเคยอาศัยอยู่ในสลัมมาก่อน แต่สายเลือดทรงปัญญาของฮาเคนเบิร์กนั้นเข้มข้นยิ่งนัก อย่างน้อยที่สุดเธอก็คงจะรู้มารยาทพอสมควร”
เธอยกพัดขึ้นมาปกปิดการเคลื่อนไหวของปากเอาไว้ เพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวที่บ่งบอกว่า “หรืออาจจะไม่” เธอเหลือบมองทางเข้าโถงทางเดินจากหางตา สายตาคมกริบราวกับแมวที่กำลังค้นหาเหยื่อ
“กำหนดการเปิดภาคเรียนถูกเลื่อนออกหนึ่งวัน…ได้ยินมาว่างานเลี้ยงต้อนรับนักเรียนใหม่ของท่านพี่เองก็ถูกเลื่อน เพื่อเธอคนนี้สินะ แน่นอนว่าบุคคลที่เป็นที่จับตามองจากทั้งสถาบันเช่นนี้ ตัวเราในฐานะประธานนักเรียนและเจ้าหญิงลำดับที่หนึ่งก็จำเป็นที่จะต้องให้ความสนใจเธอเช่นกัน”
“แน่นอนค่ะ!”
สถาบันแห่งนี้แบ่งออกเป็นสองช่วง ช่วงต้นจะเริ่มรับนักเรียนตั้งแต่อายุ 12 ปี และจะเรียนต่อยาวสี่ปีไปจนถึงอายุ 15 ส่วนในช่วงปลายจะเริ่มตั้งแต่อายุ 16 ไปจนถึง 18 ปี ตัวเบียงก้าเองนั้นเป็นนักเรียนปีที่ 4 หรือก็คือชั้นสูงสุดของการศึกษาช่วงต้น และเป็นผู้มีอิทธิพลสูงที่สุดในหมู่นักเรียนช่วงต้นนี้
“อีะ…”
ทันใดนั้นเอง หนึ่งในผู้ติดตามก็ส่งเสียงออกมา
“ตรงนั้น กระทั่งท่านนาตาเลียเองก็มาด้วยค่ะ”
ตรงนั้นเองคือเด็กสาวผมสีทองอีกคนหนึ่ง ความสง่างามของเธฮนั้นสามารถสังเกตเห็นได้ถึงแม้ใบหน้าจะถูกปิดบังไว้ครึ่งหนึ่งด้วยพัดในมือ เมื่อเบียงก้าเห็นเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย
“ตามปกติแล้ว ท่านพี่นาตาเลียจะไม่แสดงความสนใจถึงเรื่องเช่นนี้แท้ๆ เธอคงจะรู้สึกสงสัยมากพอสมควรเลย ถึงขนาดเดินทางมายังตึกฝ่ายการศึกษาช่วงต้นเช่นนี้”
“อย่างที่พูดเลยค่ะท่านเบียงก้า ท่านนาตาเลียคือญาติของเจ้าชายอัลเบิร์ตและยังเป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งในหมู่ว่าที่คู่หมั้นด้วยค่ะ การที่ใครสักคนที่อาจจะมีสถานะสูงส่งยิ่งกว่าเธอโผล่ขึ้นมา คงจะสร้างความกังวลให้เธอไม่น้อยเลยค่ะ”
“เช่นนั้นเอง”
เบียงก้าแสดงสายตาเย็นชาออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เธอไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลไปเลยแท้ๆ ถ้าหากมีผู้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าที่ไหนมารุ่มร่ามกับท่านพี่ ตัวเรานี่ล่ะที่จะเป็นผู้จัดการเอง”
จากน้ำเสียงของเธอ ใครที่ฟังก็คงจะรู้สึกได้ว่าตัวนาตาเลียเองก็ถูกรวมอยู่ใน “ผู้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้า” เหล่านั้นด้วย เหล่าผู้ติดตามทั้งหลายที่ไม่รู้จะตอบสนองเช่นไรก็ได้แต่ปั้นหน้ายิ้มกลับไป
ตัวเบียงก้าเองเป็นผู้หญิงที่ตรงไปตรงมา เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น และมีความเป็นผู้นำสูง ส่วนทางนาตาเลียนั้นเกิดในตระกูลดยุก และถูกเรียกว่าชื่นชมในความฉลาดหลักแหลมของเธอมาตั้งแต่ยังเยาว์ เธอมีรูปร่างที่บอบบาง และกิริยามารยาทที่งดงาม เรียกได้ว่าเป็นเธอเป็นแบบอย่างของหญิงชนชั้นสูงเลยทีเดียว
ฝั่งหนึ่งคือผู้นำของฝ่ายการศึกษาช่วงต้น ส่วนอีกฝั่งหนึ่งนั้นก็เป็นที่รักของฝ่ายการศึกษาช่วงปลาย นั่นทำให้นักเรียนหญิงของสถาบันนั้นแยกเป็นสองฝ่ายแทบจะครึ่งต่อครึ่ง การที่จู่ๆจะมีมือที่สามโผล่ขึ้นมานั้น มีโอกาสสูงที่จะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้นได้
“มาแล้วค่ะ”
สายตาทั้งหลายหันไปหาประตูเหล็กซึ่งเป็นทางเข้า แต่ละสายตานั้นส่งอารมณ์ที่แตกต่างออกมา คนที่เป็นกังวล คนที่เพียงแค่สงสัย และคนที่มีนัยยะแฝง—
ในอดีต บุตรสาวของตระกูลมาร์ควิส คลอเดีย วอน ฮาเคนเบิร์ก ถูกขับไล่ออกจากสถาบันผ่านทางประตูนั้นด้วยข้อหาที่ถูกปลอมแปลงขึ้นมา ตกลงสู่สถานะสามัญชน และจากนั้นจึงสละชีวิตเพื่อให้กำเนิดบุตสาวของตน ซึ่งถูกพบตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี และเด็กคนนั้นก็กำลังจะเดินผ่านประตูเดียวกันนี้เข้ามา
ครืนนน…
เมื่อประตูนั้นถูกเปิดออก ทุกๆคนล้วนกลั้นหายใจ
ผู้ที่ปรากฏตัวออกมานั้น คือภูตแห่งแสงสว่าง ซึ่งเล่าต่อกันมาในคัมภีร์ของโบสถ์
ไม่ มีเพียงนักบวชระดับสูงเท่านั้นที่สามารถมองเห็นภูตได้ แต่ถึงเช่นนั้นก็ยังยากที่จะเชื่อ เพราะเบื้องหน้าของพวกเขานั้นเป็นความงดงามในระดับที่ไม่ควรที่จะมีอยู่ในโลกนี้ เป็นตัวตนที่คิดว่ามีอยู่เพียงในเทพนิยาย
รองเท้าขัดเงารัดที่รัดอยู่บนเท้าเล็กๆนั้นก้าวย่างเข้ามายังโถงทางเดิน ใครที่เห็นท่วงท่าการเดินของเธอก็คงจะเข้าใจไปว่าเธอเป็นเจ้าหญิงของประเทศใดสักแห่ง
ชุดเดรสสีดำคลุมทั้งร่างขนาดเล็กของเธอ ใบหน้าของเธอนั้นถูกปกคลุมไว้ด้วยผ้าคลุมหน้าแบบโปร่งแสง มีเพียงแค่บางมุมเท่านั้นที่จะสามารถมองเห็นผิวสีขาวราวกับไข่มุกของเธอได้อย่างชัดเจน ผมยาวสลวยสีดำสั่นไปพร้อมๆกับการก้าวเดินของเธอ
สิ่งที่ผู้คนทั้งหลายจับจ้องมากที่สุดก็คือใบหน้าของเธอ รูปลักษณ์ของเธอนั้นเปี่ยมไปด้วยความเยาว์วัยสมเป็นเด็กอายุ 12 ปี แก้มนวลนิ่ม ริมฝีปากเปล่งปลั่ง ขนตายาวสวนได้รูป และนัยน์ตาสีม่วงอันเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลฮาเคนเบิร์ก สายตาของเธอนั้นเจือปนด้วยความเศร้าเล็กน้อย เธอเชิดศีรษะและเดินตรงไปข้างหน้า แสดงให้เห็นถึงความเป็นชนชั้นสูง
“คุณพระ…”
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอ่ยออกมา แต่ผู้คนตรงนั้นก็ทำได้เพียงเห็นด้วย ความงดงามของเธอนั้นอยู่ในระดับที่ทำให้อุทานออกมาได้เลย
ลีโอโนร่า วอน ฮาเคนเบิร์ก
อดีตไม่แน่ชัด ถูกเลี้ยงดูมาในเขตเมืองสำหรับชนชั้นล่าง แต่กลับสามารถขโมยหัวใจของเหล่าชนชั้นสูงในที่แห่งนี้ได้ในทันที
เบียงก้าถึงกับลืมที่จะปิดบังสีหน้าของตนเอาไว้ด้วยพัด กว่าจะดึงสติกลับมาได้ เด็กสาวคนนั้นก็เดินผ่านเธอไปแล้ว
“แหม แหม…!”
ถึงแม้เธอต้องการที่จะพูดอะไรสักอย่างออกไป นี่เป็นเพียงอย่างเดียวที่หลุดออกมาจากปากของเธอ สำหรับคนที่คิดก่อนพูดเสมออย่างเบียงก้าแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องผิดปกติอย่างมาก
‘พูดอะไรดี ต้องพูดอะไรดีเพื่อให้เธอหันมา’
เธอเริ่มจะร้อนรนขึ้นเรื่อย จนในที่สุดก็พูดออกมา…
“แหม มีผู้ติดตามเพียงคนเดียวเช่นนั้นหรือคะ? ช่างไม่สมฐานะของบุตรสาวตระกูลฮาเคนเบิร์กเลยนะคะเนี่ย!”
เธอเสียใจในสิ่งที่พูดออกไปทันที ไม่ใช่ว่าการพูดแบบนี้จะเป็นท่าทีที่แสดงออกถึงความไม่เป็นมิตรหรอกหรือ?
เมื่อนักเรียนคนอื่นๆได้ยินเช่นนั้น ก็ย่อมคิดว่าเบียงก้าเห็นเธอผู้นี้เป็นศัตรู และเริ่มที่จะตามน้ำในทันที
“อุ๊ยตาย ดูชุดเดรสเชยๆนั่นสิคะ! ไม่ว่าจะเติบโตมาเช่นไร ก็ควรที่จะแต่งกายให้สมกับเป็นกุลสตรีของสถาบันแห่งนี้นะคะเนี่ย ยังมีเรื่องที่จะต้องเรียนอีกมากเลยนะคะ”
“ช่วยไม่ได้หรอกค่ะ โตมาอย่างไรก็กลายเป็นคนเช่นนั้น เรื่องของทางนั้น เราไม่ควรไปก้าวก่ายมากหรอกค่ะ”
“นั่นสินะคะ สีดำเทาแบบนั้นคงจะเป็นแฟชั่นของพวกชนชั้นล่างเสียกระมังคะ”
คำพูดเหล่านั้นทำให้ชายหนุ่มผู้ติดตามของหญิงสาว ผู้ซึ่งค่อนข้างจะหน้าตาดีเอาการ—ถึงกับกำหมัดแน่น กันมาส่งสายตาใส่พวกเบียงก้า แต่นั่นยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงและเด็กหนุ่มคนนั้นก็ถูกดูหมิ่นไปด้วย
‘แย่แล้ว’
เบียงก้าไม่ได้ตั้งใจที่จะไล่ต้อนเด็กคนนั้นเช่นนี้ เธอรีบพยายามที่จะควบคุมเหล่าผู้ติดตามของเธอในทันที
ในตอนนั้น เด็กสาวที่เดินอย่างไม่สนใจรอบด้านจนถึงเมื่อครู่ก็หันมา ส่งรอยยิ้มเบาบางให้กับเบียงก้า
กระทั่งกับเพศเดียวกัน ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อได้เห็นรอยยิ้มนั้น กระทั่งพวกผู้ติดตามของเบียงก้าที่ว่าร้ายเธอจนถึงเมื่อครู่ก็เอ่ยคำพูดไม่ออก
ในตอนนี้กำลังชะงักอยู่นั้น เด็กสาวก็ใช้โอกาสนี้หันหลังและเดินกลับไป คนอื่นๆที่นั่นก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเฝ้ามอง
“…เป็นคนที่สวยงามอะไรขนาดนี้”
มากาเร็ตที่ร่วมว่าร้ายก่อนหน้านี้ถึงกับหลุดพูดออกมา เมื่อรู้สึกตัวถึงเรื่องนั้น เธอก็พยายามที่จะกลับลำในทันที
“ไม่ใช่นะคะ ดิฉันสามารถบอกได้เลยค่ะว่าเธอคนนั้นยังคงมีกลิ่นสาบของสลัมหลงเหลืออยู่…ใช่ค่ะ เหมือนกับชุดเดรสของเธอ”
เธอพยายามที่จะแก้ตัวให้กับเบียงก้าอย่างร้อนรน แต่อีกฝ่ายกลับส่ายศีรษะเงียบๆ
“ไม่จ้ะ”
สามารถมองเห็นด้านหลังของทั้งสองคนที่จากไปอยู่ลิบๆ เบียงก้าจึงกล่าวออกมา
“เดรสชุดนั้น ถึงแม้ว่าดีไซน์จะออกไปทางเรียบง่าย แต่เนื้อผ้านั้นเป็นของชั้นหนึ่งแน่นอน — นั่นต้องเป็นเดรสจากซาวารินเป็นแน่”
“โอว…!”
ซาวารินนั้นตั้งอยู่ที่ทางตอนเหนือของจักรวรรดิ และมีความเชี่ยวชาญในทางด้านผ้าทอ ผ้าที่ทอโดยซาวารินนั้นล้วนเป็นของในระดับที่ราชวงศ์ใช้กัน เพียงแค่บอกว่าเป็นผ้าจากซาวาริน ก็จะสามารถเพิ่มมูลค่าของผ้าผืนนั้นได้หลายเท่า ว่ากันว่าผ้าซาวารินหนึ่งผืนมีค่าเท่ากับม้าสิบตัวและรถม้าทั้งคัน
“ถ้าพูดถึงผ้าซาวารินแล้ว เป็นเพราะว่าคุณลักษณะที่มีความเหนียวของมัน ทำให้เคลื่อนไหวได้ยากเมื่อนำมาใช้เป็นกระโปรงเนื่องจากว่ามันจะติดอยู่กับขา การที่จะสามารถเดินได้เช่นนั้นในขณะที่สวมใส่ผ้าซาวารินน่ะ เป็นเรื่องที่…”
ในฐานะผู้ที่ผ่านการฝึกสอนการเคลื่อนไหวภายในผ้าซาวารินมาก่อน เธอรู้ดีว่านั่นเป็นเรื่องที่ยากมากแค่ไหน แต่การเคลื่อนไหวของเด็กคนนั้นนั้นลื่นไหลราวกับหงส์บนทะเลสาบ
“เด็กยากจนจากสลัมไม่น่าจะสามารถเรียนรู้เรื่องเช่นนั้นได้ด้วยเวลาเพียงน้อยนิด”
ถ้าหากไม่ใช่ว่าเธอฝึกอย่างเอาเป็นเอาตาย…ก็คงพูดได้แค่ว่านั่นเป็นเพียงธรรมชาติของเธอ
ลีโอโนร่า วอน ฮาเคนเบิร์ก
เด็กคนนั้น ไม่ธรรมดาเลย
.
“ให้ตายเถอะ การที่ก่อเรื่องวุ่นวายแบบนั้นตั้งแต่เข้ามาด้านใน…! นักเรียนที่สุภาพ อะไรกันล่ะ! คนพวกนั้นไม่ได้ต่างอะไรจากแม่สามีจิกกัดลูกสะใภ้เลย!”
สะบัดเส้นผมสีทองของตนไปมา เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะแสดงความไม่พอใจของตนออกมาเมื่อหลุดพ้นจากสายตาของผู้คน
“พวกนักเรียนชายก็เอาแต่มองอ้าปากค้างน้ำลายไหล ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจคนพวกนั้นนะ—แต่ผู้หญิงพวกนั้น! การพูดเสียดสีแบบนั้นมันอะไรกัน นี่คิดว่าท่านลีโอโนร่าเป็นใครกันแน่?!”
“ใจเย็นก่อน ไคล์”
เมื่อได้ยินเสียงอ่อนหวานของเด็กสาว ชายหนุ่มคนนั้น ไคล์ ก็สงบลงโดยเร็ว
“ขออภัยที่แสดงกิริยาเช่นนี้ให้ท่านเห็นครับ”
ไคล์นึกถึงตอนนั้น ที่นายหญิงของเขาทำเพียงมองไปข้างหน้า ราวกับกำลังจดจ่อกับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ไกลออกไป เธอไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจใดๆต่อคำพูดเหล่านั้นแม้แต่น้อย เธอกลับดูสงบเงียบเสียจนทำให้ไคล์รู้สึกละอายใจในท่าทีของตนเอง
‘ท่านลีโอโนร่าช่างเป็นคนที่สูงส่ง ไม่แสดงท่าทีใดๆกับความเสียมารยาทเช่นนั้น จิตใจของเธอไม่สั่นคลอนจากคำว่าร้ายใดๆแม้แต่น้อย’
เมื่อเห็นความแตกต่างระหว่างตัวเขาและเธอ ผู้สามารถทำให้สถานการณ์สงบลงได้ด้วยรอยยิ้ม นั่นทำให้ไคล์ ซึ่งได้รับหน้าที่ให้มารับใช้เธอเพียงเมื่อวาน รู้สึกนับถือเธอยิ่งขึ้นไปอีก
ลีโอโนร่า วอน ฮาเคนเบิร์ก
ผู้มีสายเลือดจากหนึ่งในตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจักรวรรดิ ถูกกักขังอยู่ในเมืองชนชั้นล่าง และถูกช่วยออกมาเมื่อไม่นานมานี้ เด็กสาวผู้น่าสงสาร ทั้งที่เขาเพิ่งจะได้มารับใช้เธอเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่เขาก็มั่นใจว่าเด็กสาวผู้นี้ไม่ได้มีเพียงรูปลักษณ์งดงามจากพระเจ้าแต่ยังเป็นนายหญิงที่น่าเคารพและเปี่ยมด้วยปัญญา เขาสาบานกับตนเองว่าจะคอยรับใช้เธอไปทุกที่
‘ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตัวผมจะทุ่มเทตัวเองเพื่อให้ท่านลีโอโนร่ามีความสุขได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้’
เดินตามเด็กสาวไปอย่างเงียบๆ แต่มีจิตใจที่ร้อนแรงลุกโชนอยู่ภายใน ไคล์เชิดศีรษะขึ้นและมองไปข้างหน้า
‘ถึงแม้ว่าเธอจะอ่อนวัยยิ่งกว่าผมเสียเอง แต่กลับสามารถเดินหน้าไปได้อย่างมีเกียรติ ผมอยากรู้เหลือเกิน ว่าท่านลีโอโนร่าคิดอะไรอยู่ในตอนนี้…’
ไคล์ส่ายหน้าเล็กน้อย เขาจะต้องพยายามมากกว่านี้ เพราะต่อจากนี้ไป เป็นหน้าที่ของเขาเองที่จะทำความเข้าใจในตัวของนายหญิง แต่เขารู้ดี ว่าคนโง่เง่าเช่นเขาไม่อาจที่จะเข้าใจผู้ทรงปัญญาเช่นเธอผู้นี้ได้
และในส่วนของเด็กสาวที่อยู่ภายใต้สายตานับถือของคนรับใช้นั้น…
‘หนึ่ง สอง…สะบัดขี้ม้าออกจากใต้ตีน ขวา ซ้าย…’
ไอ้ชุดชั้นหนึ่งนี่มันทำให้เดินยากมาตั้งแต่ตะกี๊แล้วนะ
‘สะบัดขี้ให้หลุด เงยเท้าขึ้น…’
ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเธอเดินจากด้วยท่วงท่าที่งดงามจากภายนอก แต่จริงๆแล้วคือเธอเอาแต่จดจ่อกับไอ้ชุดเดรสน่ารำคาญนี่มานานแล้ว เธอจึงจำเป็นต้องใช้จินตนาการเกี่ยวกับขี้ม้าในการคุมจังหวะการก้าวเท้าภายในหัว
‘อ๊ะ เหรียญทองแดงตกอยู่ทางสิบนาฬิกา! เดี๋ยวค่อยกลับมาเก็บละกัน ต้องไม่ลืมต่างหูที่กลิ้งอยู่แถวๆนั้นด้วย’
สายตาของเธอเป็นดั่งเหยี่ยว ของมีค่าเล็กๆน้อยๆที่ตกอยู่นี่ล่ะเป้าหมายหลักเลย สมกับเป็นที่ๆพวกลูกขุนนางทั้งหลายมารวมตัวกันจริงๆ ขนาดของตกตามพื้นยังระดับชั้นเลิศ เมื่อกี๊เธอเองก็เห็นต่างหูตกอยู่ใกล้ๆกับเท้าของเด็กผู้หญิงผมทองคนนึง ถึงกับหลุดยิ้มออกมาแบบไม่ตั้งใจเลย
ในขณะที่จดจ่อกับการเดินในชุดเดรสนี้ เธอก็ยังไม่ลืมที่จะกวาดตามองหาเหยื่อไปด้วย สมกับเป็นมืออาชีพจริงๆ
‘พอถึงห้องก็รีบเปลี่ยนชุดแล้วออกไปเก็บของพวกนั้นดีกว่า ไอ้ชุดผู้หญิงนี่มีผ้าตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมถึงไม่ทำให้มันมีกระเป๋าติดอยู่ด้วยนะ’
ในตอนที่คิดอย่างนั้น เธอก็เกือบที่จะเดาะลิ้นออกมา แต่ไหล่ของเธอสั่นเล็กน้อยทำให้เธอต้องหยุดตัวเองไว้
‘เวรเอ๊ย! น่ารำคาญฉิบเป๋ง! แค่เดาะลิ้นนี่ก็น่าจะได้ป่าววะ? ยัยลีน่านี่ กลับไปเมื่อไหร่จะเก็บเงินซะให้เข็ด’
ดวงตาของเธอส่งความเศร้าออกมาเล็กน้อย จนถึงเมื่อวานนี้ เด็กสาวที่ชื่อว่าลีโอโนร่าผู้นี้ เคยมีชื่อว่า ลีโอ—และเป็นเด็กผู้ชายมาก่อน
ใช่แล้ว
ในจักรวรรดิที่เธอจะได้รับการขนานนามว่าเป็น “นักบุญผู้เสียสละ” ในอนาคต ชีวิตอันยากลำบากของลีโอโนร่าได้เริ่มขึ้นเมื่อสองวันก่อน