My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา - ตอนที่ 1034 ราชาช้างเผือก
- Home
- My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา
- ตอนที่ 1034 ราชาช้างเผือก
ตอนที่ 1034 ราชาช้างเผือก
ฉิงเฟิงเป็นผู้บ่มเพาะพลังธาตุไฟดังนั้นแก่นอสูรธาตุไฟเม็ดนี้มีผลประโยชน์ต่อเขาอย่างยิ่ง เขานั่งไขว่ห้างบนพื้นและเริ่มดูดซับแก่นอสูรทันที
มันใช้เวลาไม่นานนักสำหรับการที่ฉิงเฟิงดูดซับแก่นอสูรเพราะเขามีขอบเขตบ่มเพาะระดับจิตโลกาเช่นเดียวกับพลังของแก่นอสูรเม็ดนี้ อีกทั้งเขายังได้ฝึกฝนท่วงทำนองจิตวิญญาณสวรรค์ไปแล้ว
แม้ว่าแก่นอสูรจะไม่ได้เพิ่มพลังแท้ให้เขาแต่มันก็ช่วยในการควบคุมพลังแท้ธาตุไฟของเขาให้ดียิ่งขึ้น
หลังจากฉิงเฟิงดูดซับแก่นอสูรเสร็จเรียบร้อยเขาก็ยืนขึ้นและนำทุกคนมุ่งสู่แกนกลางของเทือกเขาคุนหลุนซึ่งในพื้นที่ส่วนนั้นถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้เก่าแก่ เถาวัลย์และหินที่มีรูปร่างแปลกๆ รวมไปถึงสัตว์อสูรปีศาจมากมาย ไม่ไกลจากที่ที่พวกเขาจากไปสัตว์อสูรอีกตัวก็ปรากฏตัวขึ้น ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ในระดับจิตโลกาขั้นสูงสุด แต่มันก็ไม่สามารถเทียบได้กับฉิงเฟิงและพลังของเจดีย์สีเขียวของเขา เขาฆ่ามันได้ทันทีและได้รับแก่นอสูรอีกเม็ดหนึ่งมาครอง
เขตแดนยับยั้งของเจดีย์สีเขียวนั้นทรงพลังเกินไปภายในเขตแดนนี้พลังของสิ่งมีชีวิตจะถูกจำกัดให้เท่ากับผู้ใช้ซึ่งก็คือฉิงเฟิง ผลที่ออกมาจึงทำให้เขาสังหารพวกมันได้อย่างง่ายดาย
แต่หลังจากใช้พลังของเจดีย์สีเขียวไปเป็นครั้งที่ห้าพลังวิญญาณของเขาก็เริ่มแสดงอาการอ่อนล้าออกมาทำให้เขาเดินโซเซจนแทบจะสะดุดล้ม
“
เจ้าหนูเจดีย์สีเขียวแห่งนี้เป็นอุปกรณ์วิญญาณระดับราชัน ถึงแม้ว่าพลังวิญญาณของเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ย่อมมีขีดจำกัด เจ้าใช้มันติดต่อกันถึงห้าครั้งไปแล้วในวันนี้มันอาจจะทำลายแหล่งพลังงวิญญาณของเจ้าถาวร”
เสียงของมังกรเพลิงดังขึ้นในจิตของฉิงเฟิง
ถึงแม้ว่ามังกรเพลิงจะเป็นเศษเสี้ยววิญญาณที่ร่วงหล่นแต่มันก็มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับพลังงานทางจิตวิญญาณ ฉิงเฟิงได้ฟังคำแนะนำของมังกรเพลิงและยอมรับว่าความแข็งแกร่งทางวิญญาณของเขาไม่แข็งแรงพอที่จะใช้พลังของเจดีย์สีเขียวได้มากกว่าห้าครั้งต่อวัน
เขานั่งลงบนพื้นและพักร่วมครึ่งชั่วโมงจนกระทั่งพลังวิญญาณและร่างกายเริ่มฟื้นตัว
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้งและพาทุกคนเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางพวกเขาเจอสัตว์อสูรอีกสองสามตัวในระหว่างทาง อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ราชาอสูรมีดวายุ อาจารย์ของฉิงเฟิงได้จัดการพวกมันเองด้วยกระบี่ราชันวิญญาณ
สองชั่วโมงต่อมาพวกเขามาถึงแกนกลางของแดนต้องห้ามเทือกเขาคุนหลุนซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนที่อันตรายที่สุด!
ไม่นานหลังจากที่พวกเขามาถึงฉิงเฟิงและพรรคพวกก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่หนักหน่วง ช้างตัวหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา มันมีสีขาวและใหญ่ยาวถึง 80 เมตร งวงของมันยาวประมาณ 20 เมตร มันคือราชาช้างเผือก
“
สัตว์อสูรขอบเขตสวรรค์
!
ช้างเผือกตัวนี้ต้องมีขอบเขตพลังเหยียบย่างไปถึงระดับสวรรค์แล้วอย่างแน่นอน
!
“
ใบหน้าของฉิงเฟิงซีดเผือดด้วยความตื่นตระหนก
ถ้าหากมันเป็นสัตว์อสูรในขอบเขตจิตโลกาไม่ว่าจะขั้นไหนก็ตามเขาย่อมจัดการกับมันได้โดยไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม เขายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้กับสัตว์อสูรขอบเขตสวรรค์หรือใช้พลังของเจดีย์สีเขียวได้
“เจ้ามนุษย์ข้ารู้สึกได้ถึงพลังสายเลือดช้างเผือกในตัวของเจ้า มาสิ ติดตามข้าและเป็นข้ารับใช้ของข้าซะ”
ราชาช้างเผือกกล่าวกับราชาอสูรมีดวายุด้วยท่าทางที่มีความสุข
ราชาช้างเผือกไวต่อกลิ่นอายสายเลือดและสิ่งแรกที่มันสังเกตได้คือพลังสายเลือดช้างเผือกภายในร่างของราชาอสูรมีดวายุ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอีกฝ่ายก็เต็มไปด้วยความโกรธ เขาเป็นถึงหัวหน้าของสิบราชาอสูรผู้ยิ่งใหญ่ การที่ขอให้เขาเป็นข้ารับใช้ของสัตว์อสูรช่างเป็นการหยามหยันกันสิ้นดี !
“เฮอะเจ้าช้างโง่เง่า แกต่างหากที่ควรเป็นข้ารับใช้ของข้า !”
ราชาอสูรมีดวายุคำรามตอบโต้ราชาช้างเผือกอย่างเยือกเย็น
ดวงตาของราชันช้างเผือกทอประกายเย็นชามันฟาดงวงอย่างดุดันไปที่ราชาอสูรมีดวายุ งวงของมันทั้งทรงพลังและรวดเร็วมาก อากาศโดยรอบปริแตกไปทั่วทุกที่ที่มันฟาดผ่าน
“กระบี่ราชันวิญญาณ– กระบี่ที่หนึ่ง !”
ราชาอสูรมีดวายุปลดปล่อยวิชากระบี่ที่เขาเพิ่งได้เรียนรู้มาแต่เขาก็ไม่แข็งแกร่งพอที่จะใช้เคล็ดวิชาขั้นสูงใดๆเว้นเสียแต่ว่าเขาจะไปถึงขอบเขตวิญญาณสวรรค์
งวงของราชาช้างเผือกและกระบี่วิญญาณราชันชนกันทำให้อากาศระเบิดและปล่อยคลื่นพลังงานขนาดใหญ่ไปในทุกทิศทางต้นไม้และเศษหินดินทรายกระเด็นกระดอนไปทุกหนทุกแห่งด้วยผลกระทบของคลื่นพลังงาน
ปังปัง ปัง ~
ราชาอสูรมีดวายุถอยไปหลายก้าวเขามาถึงขอบเขตจิตโลกาขั้นปลายแต่ราชาช้างเผือกมีพลังในระดับจิตวิญญาณสวรรค์ อีกทั้งเขายังใช้ได้เพียงแค่เสี้ยวเล็กๆของพลังในตัวกระบี่ราชันวิญญาณเท่านั้น มันเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของราชาช้างเผือก
เมื่อเห็นสถานการณ์ของอาจารย์ไม่สู้ดีนักฉิงเฟิงก็รีบดิ่งเข้าใส่ราชาช้างเผือก
“
หมัดที่สาม
–
สวรรค์พินาศโลกาสลาย
!”
ฉิงเฟิงตะโกนออกมาพร้อมกับใช้หมัดที่สามของเพลงหมัดทลายนรกานต์
ฉิงเฟิงชกอย่างหนักหน่วงเข้าที่ร่างของราชาช้างเผือกมันเหยียดขาอันใหญ่โตออกไปเข้าปะทะกับหมัดของฉิงเฟิงจนทำให้เกิดเสียงดังสนั่นที่สั่นสะเทือนโลก
ในครั้งนี้ทั้งฉิงเฟิงและราชาช้างเผือกไม่มีฝ่ายใดถอยหลัง
เพลงหมัดทลายนรกานต์ของฉิงเฟิงเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะขั้นอมตะ(หมายถึงสามารถพัฒนาจนถึงขีดขั้นอมตะได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่) ถึงกระนั้น ราชาช้างเผือกก็มีพลังในระดับจิตวิญญาณสวรรค์ ดังนั้นผลที่ออกมาจึงไม่มีใครได้เปรียบ
เห็นได้ชัดว่าหากเทียบกันที่พลังทางกายภาพ หมัดทลายนรกานต์มีประสิทธิภาพเพียงใด มันสามารถต่อกรกับสัตว์อสูรในขอบเขตจิตวิญญาณสวรรค์ขั้นต้นได้ !
หวืด~
ราชาช้างเผือกเหวี่ยงง่วงของมันอีกครั้งและพุ่งเข้าหาฉิงเฟิงเฟิงด้วยความเร็วสูงฝ่ายหลังจึงใช้ท่าร่างก้าวมังกรและเคลื่อนไหวดั่งมังกรเพื่อหลบการโจมตีของมันไปได้
สัตว์อสูรตัวนี้แข็งแกร่งเกินไปสำหรับฉิงเฟิงอย่างดีที่สุดก็ทำได้แค่ต้านรับและเขาก็ยังไม่สามารถหาวิธีล้มมันได้
แม้ว่าหมัดของฉิงเฟิงจะเข้าเป้าหลายครั้งแต่หมัดของเขาก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะทะลุทะลวงผ่านพลังป้องกันของมันได้ “เจ้าหนูช้างตัวนี้มีกายาที่แข็งแกร่งเพราะมันบ่มเพาะกายา เจ้าจงโจมตีมันด้วยพลังวิญญาณ” เสียงของมังกรเพลิงดังขึ้นในหัวของฉิงเฟิงอีกครั้ง
เขาพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของมังกรเพลิง
“
เกลียวคลื่นวิญญาณคู่
!”
ฉิงเฟิงปล่อยพลังวิญญาณจากจิตของเขาและก่อตัวเป็นคลื่นวิญญาณสองลูกโดยเล็งไปที่ช้างเผือก
ทันใดนั้นเองราชาช้างเผือกก็รู้สึกเจ็บในสมองของมันเหมือนพลังงานวิญญาณของมันฉีกขาดออกจากกัน มันหยุดโจมตีในทันที
“ทุกคนลงมือโจมตีพร้อมกันเลย!” ฉิงเฟิงตะโกนบอกทุกคนรอบตัวเขา
หลังจากฉิงเฟิงกล่าวจบราชาอสูรมีดวายุ ฮวาเซียนจือ ฉินเซียนจื่อและลู่ซวนจี๋ต่างก็หยิบอุปกรณ์วิญญาณของพวกเขาออกมาและเริ่มโจมตีราชาช้างเผือก ทั่วร่างของกายถูกปกคลุมไปด้วยเลือดหลังจากถูกรุมสกรัม
ราชาช้างเผือกกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเนื่องจากมันได้รับบาดเจ็บและพ่นแก่นอสูรออกมากลุ่มก้อนแก่นอสูรนี้มีสีขาวและเปี่ยมล้นไปด้วยออร่าที่น่าสะพรึงกลัว
ลำแสงสีขาวราวกับสายฟ้าสีขาวถูกยิงออกมามันนำมาซึ่งพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่สามารถฉีกแบ่งปฐพีออกจากกัน
ในขณะนี้ฉิงเฟิงรู้สึกหนาวสั่นไปทั่วร่างกายในขณะที่เขารู้สึกได้ถึงอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตที่กำลังย่างกรายเข้ามา