My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา - ตอนที่ 1050 พ่อจะรอเจ้าที่แดนดาราชั้นสูง
- Home
- My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา
- ตอนที่ 1050 พ่อจะรอเจ้าที่แดนดาราชั้นสูง
ตอนที่ 1050 พ่อจะรอเจ้าที่แดนดาราชั้นสูง
ฉิงเฟิงไม่เพียงแค่ช็อคที่ได้ทราบว่ามารดาของตนเองเป็นถึงฟินิกซ์ลำดับสองของเผ่าพันธุ์ฟินิกซ์บรรพกาลเท่านั้นแต่ยังตกใจที่ได้รับรู้ว่าโลกใบนี้เล็กจ้อยเพียงใด
ในความคิดของเขาโลกนี้ทรงพลังมหาศาล แต่ไฉนมันถึงอ่อนแอที่สุดในบรรดามิติชั้นต่ำสุด !
ราชันผู้พิชิตดูเหมือนจะสังเกตเห็นความคิดของฉิงเฟิงได้และกล่าวขึ้นว่า“เมื่อก่อนนี้โลกเราเคยทรงพลังอำนาจอย่างยิ่งตั้งแต่สมัยยุคบรรพกาล มันเคยเป็นถึงหนึ่งในสามพันดาราที่แข็งกร้าวที่สุดในบรรดาดารานับล้านๆดวง ทว่า ดาราอื่นร่วมมือกัน พวกมันใคร่ปรารถนาในสมบัติของโลก ในที่สุดพวกมันก็บุกโจมตีโลก ทำลายสวรรค์และปฐพี พิฆาตตัวตนอมตะและนักบุญมากมายบนดาวเคราะห์ดวงนี้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมโลกของเราถึงได้อ่อนแอที่สุด” ทุกคนต่างก็มีสีหน้าเศร้าสลดเมื่อได้ยินเรื่องราวสมัยยุคโบราณจากการบอกเล่าของราชันผู้พิชิตพวกเขาตื่นเต้นยินดีกับอดีตอันรุ่งโรจน์ของโลก แต่รู้สึกเศร้าเมื่อพวกเขาได้ยินถึงความแห้งแล้งของโลก
“เฟิงน้อยพ่อต้องไปแล้ว พ่อจะรอเจ้าที่สามพันพิภพใหญ่” ราชันผู้พิชิตกล่าวด้วยรอยยิ้ม (เก่งเกินระนาบพลังของโลก เลยต้องไปห้าวที่กาแลคซี่อื่น -.-)
จากนั้นราชันผู้พิชิตก็ไปถึงทางแยกระหว่างมิติเขายื่นเท้าขวาก้าวไปข้างและถูกเคลื่อนย้ายไปยังดาวเคราะห์อุดรแล้งในชั่วพริบตา
หากผู้ใดต้องการเข้าสู่สามพันพิภพใหญ่คนผู้นั้นจะต้องเดินทางเข้าสู่มิติถัดไปตามลำดับขั้น เขาต้องเข้าสู่มิติชั้นกลาง จากนั้นก็มิติชั้นสูง จากนั้นก็พิภพเล็ก พิภพระดับกลางและสุดท้ายจึงจะไปถึงพิภพใหญ่
ฉิงเฟิงรู้สึกเศร้าเมื่อได้เห็นพ่อของเขาจากไปเขาเพิ่งจะได้พบพ่อไม่นาน ยังไม่ทันจะมีเวลากินข้าวด้วยกันสักมื้อแต่พ่อของเขาก็ต้องรีบจากไปอีกครั้ง
“
พ่อแม่ …. รอผมก่อนนะ สักวันหนึ่งผมเข้าสู่สามพันพิภพใหญ่ และสร้างชื่อของผมให้เป็นที่รู้จักไปในทุกๆดาราในจักรวาล”
นี่คือคำสัญญาของฉิงเฟิงต่อพ่อแม่ของเขา
“ฉิงเฟิงเจ้าเองก็ต้องรีบออกไปเดี๋ยวนี้ นักบุญไร้นภาผู้ซึ่งขังพ่อเจ้าไว้ใกล้จะมาถึงที่นี่แล้ว” ผู้พิทักษ์มิติกล่าวด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว
โดยไม่ต้องให้ผู้พิทักษ์มิติกล่าวเตือนฉิงเฟิงก็สัมผัสได้ถึงขุมพลังมหาศาลที่กำลังใกล้เข้ามาจากนอกจักรวาลเช่นกัน
เขามีเซ้นส์ที่เฉียบคมมากเขารู้สึกได้ถึงภัยคุกคามรุนแรงจากส่วนลึกของมิติ แม้ว่ายังไม่เห็นตัวตนของคนผู้นั้น แต่เพียงแค่สัมผัสจากมิติที่ห่างไกลก็เพียงพอที่จะทำให้ผมเผ้าชี้ชัน
เขาไม่กล้าเสียเวลาอีกแม้แต่เสี้ยววิเขารีบกลับไปรวมกลุ่มกับราชาอสูรมีดวายุและทุกคนเพื่อเตรียมอพยพจากใต้ผาทลายฟ้า
ไม่นานหลังจากที่ฉิงเฟิงและพรรคพวกจากไปภาพฉายของลูกตากลมขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นในรอยแยกมิติ
ลูกตานี้มีขนาดใหญ่มหึมาด้วยเส้นผ่าศูนย์กลางอย่างน้อยก็สามร้อยเมตรดารานับอนันต์สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวได้ภายในส่วนลึกของดวงตาดวงนี้ และในเวลาที่มันหมุนไปรอบๆ มันก็เป็นความโกลาหลโดยสมบูรณ์
นักบุญได้ปรับเปลี่ยนดวงตาดวงนี้มันถูกใช้เป็นตัวแทนที่แสดงถึงเจตจำนงของนักบุญ พร้อมกับเจตจำนงของดาวเคราะห์ซึ่งผสานไว้ด้วยพลังงานที่น่าสะพรึงกลัว
ภายใต้การแสดงตนที่ทรงพลังผู้พิทักษ์มิติคุกเข่าลงกับพื้น ร่างกายของเขาสั่นเทาราวกับว่าร่างกายและวิญญาณของเขาสามารถพังทลายได้ทุกเมื่อ
“โอ้…..ท่านนักบุญไร้นภาผู้สูงส่ง” ผู้พิทักษ์มิติกล่าวอย่างนอบน้อมด้วยความเคารพสูงสุด แต่ดวงตาของเขาฉายแววหวาดกลัวอย่างสุดขั้วหัวใจ
เขารู้ว่านักบุญไร้นภาผู้นี้ยิ่งใหญ่มากและสามารถสังหารเขาได้ด้วยการจ้องมองเพียงวูบเดียว!
ดวงตาของนักบุญไร้นภามองไปที่ผู้พิทักษ์มิติอย่างเย็นชาโดยปราศจากอารมณ์ใดๆเขาเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดศิษย์ของนิกายพิชิตสวรรค์ถึงได้หลบหนีไป ”
ใบหน้าของผู้พิทักษ์มิติแข็งทื่อในขณะที่เขากล่าวขึ้นในทันทีว่า“เขาทำลายผนึกด้วยตนเองและหนีไปขอรับ”
ดวงตาอันลึกซึ้งของนักบุญไร้นภาสำรวจผู้พิทักษ์มิติอย่างเย็นชาเขาไม่ได้กล่าวอันใดออกมา เพียงแค่จ้องมองอย่างเย็นชาเป็นเวลานานมาก จากนั้นเขา(ดวงตา)ก็หายไปจากรอยแยกมิติ “ในที่สุดก็ไป…” ผู้พิทักษ์มิติพึมพำกับตัวเองในขณะที่ผุดลุกขึ้นและและปาดเหงื่อจากหน้าผากที่เปียกโชก หัวใจของเขายังคงเต้นรัวไม่หยุด
นักบุญไร้นภาจากดาวดวงอื่นผู้นี้ทรงพลังจากยิ่งเพียงแค่ภาพฉายของดวงตาจำแลงก็ทำให้ผู้พิทักษ์มิติไร้หนทางต่อสู้
…………….
ฉิงเฟิงพร้อมทั้งพรรคพวกต่างก็ออกจากใต้ผาทลายฟ้าและปีนกลับขึ้นไปสู่เบื้องบน
เมื่อพวกเขามาถึงจุดสูงสุดของหน้าผาฉิงเฟิงก็นึกอะไรบางอย่างออกในทันทีและเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ ท่านลุงเนี่ยอยู่ไหนครับ ”
ราชาอสูรมีดวายุหยุดด้วยความสับสนและกล่าวว่า“หลังจากที่เขาปรากฏตัวที่ผาทลายฟ้า จู่ๆเขาก็หายตัวไป”
หายตัวไป
ฉิงเฟิงรู้สึกงุนงงเซี่ยหวู่ซวงคือราชันกระบี่ที่มีพลังระดับจิตโลกขั้นสูงสุด จู่ๆเขาหายไปเฉยๆได้อย่างไร
ฉิงเฟิงค้นหาทุกซอกมุมที่บนหน้าผาทันใดนั้นเองดวงตาของเขาก็แข็งค้างเมื่อเห็นเศษเสื้อผ้าอยู่ไม่ไกล เขาจำได้อย่างชัดเจนว่านี่เป็นเสื้อผ้าของราชันกระบี่
จากเศษชายเสื้อที่ร่วงอยู่ฉิงเฟิงสัมผัสได้ถึงพลังงานของสัตว์อสูรจำนวนมาก เขารู้ได้ในทันทีว่าเนี่ยหวู่ซวงไม่ได้หายไปไหน แต่เป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งลักพากตัวเขาไป
“เจ้าหมาดมกลิ่นชายเสื้อนี่และพาพวกเราไปตามหาท่านลุงเนี่ย” ฉิงเฟิงขมวดคิ้วแล้วพูดกับลูกหมาสีดำ
ลูกหมาสีดำมีท่าทีลังเลแต่มันก็ยอมดมกลิ่นและติดตามกลิ่นในอากาศนำทางพวกฉิงเฟิงไป
จมูกของสุนัขไวเป็นพิเศษลูกหมาสีดำตามกลิ่นและนำกลุ่มไปที่ซากปรักหักพังของวังคุนหลุน ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปในวังที่ทรุดโทรมระหว่างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ฉีกขาดเป็นเศษเล็กเศษน้อยและบรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยพลังงานมหาศาลที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหดหู่
“เจ้าหมาแกแน่ใจนะว่าท่านลุงเนี่ยอยู่ในนี้ ” ฉิงเฟิงถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
บอกตามตรงฉิงเฟิงไม่ต้องการที่จะเข้าไปในซากปรักหักพังของวังคุนหลุนแห่งนี้ เนื่องจากเซ้นส์ของเขาทำงานอีกครั้งและเตือนเกี่ยวกับภยันตรายอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ภายใน
ลูกหมาสีดำพยักหน้ามันชี้อุ้งเท้าไปข้างหน้าและพูดว่า “ข้านอนยันเลย เนี่ยหวู่ซวงอยู่ในซากปรักหักพังนี่”
ฉิงเฟิงไม่มีทางเลือกเขาโบกมือและพูดว่า “มาเถอะทุกคน เข้าไปข้างในกัน”
ซากปรักหักพังนั้นใหญ่โตมากมองด้วยตาเปล่ามันดูเหมือนไร้ที่สิ้นสุด
ในสมัยโบราณมันเป็นพระราชวังที่สวยงามที่เรียกว่าวังคุนหลุนแต่วันนี้กลับกลายเป็นซากปรักหักพังหลังจากการต่อสู้
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าวฉิงเฟิงก็เห็นโครงกระดูกติดอยู่กับพื้นด้วยหอกยาวแทงทะลุ
เนื้อและเลือดของศพถูกดูดจนแห้งเหี่ยวแต่โครงกระดูกของศพกลับไร้ซึ่งร่องรอยความเสียหายและยังส่องประกายเหมือนหยก
คนผู้นี้ย่อมต้องแข็งแกร่งยิ่งยวดเมื่อตอนมีชีวิตอย่างแน่นอนแม้กระทั่งตายไปแล้วศพของเขาก็ยังคงมีพลังงานจำนวนมหาศาล
ฉิงเฟิงอารมณ์หนักอึ้งด้วยความเศร้าเมื่อเห็นโครงกระดูกนี้
ในขณะที่เขาเดินหน้าต่อไปเขาก็เห็นโครงกระดูกสีขาวอื่นๆอีกหลายร่างบนพื้น
เลือดและเนื้อของโครงกระดูกเหล่านี้ถูกดูดจนหมดสิ้นแต่พวกมันกลับมีสภาพไม่เหมือนโครงกระดูกแรกที่เขาเพิ่งเห็น
ในบรรดาโครงกระดูกเหล่านี้บางอันมีความยาวประมาณหนึ่งเมตร ลักษณะของมันคล้ายกับโครงกระดูกของเด็กอายุเจ็ดหรือแปดขวบเท่านั้น มีหอกยาวทะลุหัวใจของมันและตรึงมันไว้กับพื้น
ฉิงเฟิงรู้สึกเศร้าสลดอย่างมากในขณะที่ยืนอยู่ข้างๆโครงกระดูกเหล่านี้นอกจากนี้เขายังรู้สึกได้ถึงเสียงคร่ำครวญที่คลุมเครือซึ่งเล็ดลอดออกมามาจากโครงกระดูกสีขาวเหล่านี้