My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา - ตอนที่ 1052 สัตย์สาบาน ชำระแค้นต่อหนึ่งร้อยดารา
- Home
- My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา
- ตอนที่ 1052 สัตย์สาบาน ชำระแค้นต่อหนึ่งร้อยดารา
ตอนที่ 1052 สัตย์สาบาน ชำระแค้นต่อหนึ่งร้อยดารา
เด็กหญิงตัวน้อยตะโกนออกมาว่า‘ท่านปู่คะ ท่านปู่ !’ เธอเห็นการเสียสละของคุณปู่ของเธอ เสียงตะโกนของเธอฟังดูน่าเศร้าและหมดหนทาง
ฉึก!
จากนั้นชายสวมชุดเกราะผู้โหดเหี้ยมก็แทงหอกของเขาเข้าใส่ขั้วหัวใจของเด็กผู้หญิงตัวน้อยเธอล้มลงกับพื้นและมองท้องฟ้าด้วยความสิ้นหวัง ดวงตาเต็มไปด้วยรอยน้ำตา
“เหตุใด…เพราะเหตุใดท่านถึงต้องการสังหารข้าและท่านปู่… ” เด็กหญิงตัวน้อยถามพร้อมทั้งน้ำตาด้วยเสียงที่สั่นเทา
“เพราะเจ้าคือผู้สืบทอดมรดกทั้งปวงของผู้ฝึกตนบนโลก”ชายสวมชุดเกราะตอบพร้อมทั้งแสยะยิ้มด้วยรอยยิ้มที่โหดร้ายเลือดเย็น
“ไอ้ตัวบัดซบ! แม้กระทั่งเด็กแปดขวบแกยังไม่เว้น” ฉิงเฟิงกล่าวอย่างโกรธแค้นด้วยรอยน้ำตาบนใบหน้า
ผู้ฝึกตนจากดาวดวงอื่นเหล่านี้ล้วนเป็นตัวสารเลวโดยสมบูรณ์พวกมันสังหารผู้ฝึกตนบนโลกใบนี้ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่เด็กสตรีและคนชรา !
ถึงแม้ว่าฉากที่ปรากฏให้เห็นเหล่านี้จะเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงประวัติศาสตร์อันยาวนานที่ผ่านมาของโลกแต่ฉิงเฟิงก็สะเทือนใจราวกับว่าเขาได้สัมผัสกับมันด้วยตัวเอง
ไม่เพียงแค่ฉิงเฟิงเท่านั้นที่ตัวสั่นไปด้วยความโกรธแค้นแต่ยังรวมไปถึงฮวาเซียนจือและฉินเซียนจื่อที่อยู่ข้างๆเขาอีกด้วย
อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น…. ความโหดร้ายทารุณที่ยิ่งกว่ากำลังจะตามมา
หนึ่งในผู้ฝึกตนชุดดำชูร่างเด็กแรกเกิดขึ้นบนฟ้าด้วยหอกของเขาและเดินแห่ต่อหน้าผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ส่วนแม่ของทารกแรกเกิดถูกสังหารอย่างไร้ความปราณีโดยผู้ฝึกตนที่ชั่วร้ายจากต่างมิติ
“ผู้รุกรานเหล่านี้ช่างชั่วช้านัก! แม้แต่…แม้แต่ทารกแรกเกิดก็ไม่ละเว้น”
ใบหน้าของฉิงเฟิงซีดเซียวด้วยหมัดที่กำแน่นร่างกายของเขาสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธแค้นที่รุนแรง
ผู้ฝึกตนที่บุกโลกล้วนแต่ทรงพลังยิ่งยวดพวกมันสังหารจักรพรรดิสวรรค์,นักบุญและตัวตนอมตะมากมายนับไม่ถ้วน แม้กระทั่งทำลายสรวงสวรรค์ของโลก
การต่อสู้ครั้งใหญ่ครั้งนี้ถูกขนานนามว่าการต่อสู้แห่งซากปรักหักพัง โลกถูกทำให้เสื่อมโทรม สวรรค์พินาศและกลายเป็นกองซากปรักหักพัง
ผู้ฝึกตนที่ทรงพลังเหนือกว่าระดับนักบุญขึ้นไปล้วนแต่ถูกสังหารและเคล็ดวิชาบ่มเพาะพลัง, อุปกรณ์วิญญาณ, สมบัติตลอดจนผลไม้อมตะล้วนถูกพบทั้งหมด วิถีแห่งการบ่มเพาะของโลกสูญหาย,ผู้ฝึกตน 99% ของโลกถูกสังหารสิ้นและมีผู้รอดชีวิตเหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบของโลกและไม่เคยปรากฏตัวอีกเลยนับแต่นั้นมา
จากการสูญเสียวิถีแห่งการบ่มเพาะพลังและแก่นวิญญาณบนโลกมันหลงเหลือเพียงแก่นพลังขั้นต่ำเท่านั้น
โดยปราศจากสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการฝึกฝน,โลกจึงกลายเป็นดั่งขุมนรกของผู้ฝึกตน
เมื่อกาลเวลาผ่านไปนักบุญและตัวตนอมตะจึงกลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ผู้คนบอกว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นเทพนิยายและเชื่อว่าพวกเขามีตัวตนในนิยายและจินตนาการเท่านั้น
จากนั้นหลายพันปีต่อมาโลกได้พัฒนาอารยธรรมของพวกเขาขึ้นบนพื้นฐาน“ไร้ซึ่งการบ่มเพาะพลัง”
ด้วยความก้าวหน้าหลายพันปีมนุษย์ได้คิดค้นเครื่องบินรถไฟ รถยนต์ เรือ จรวด ระเบิด โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์และลืมเลือนเรื่องราวในอดีตอันรุ่งโรจน์ของโลกไปอย่างสมบูรณ์
ฉิงเฟิงฮวาเซียนจือและฉินเซียนจื่อต่างก็รู้สึกเศร้าเมื่อได้เห็นอดีตของโลกใบนี้
พวกเขาไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยว่าโลกจะมีอดีตเช่นนี้ครั้งหนึ่งมันเคยทรงพลังมาก แต่ปัจจุบันมันอ่อนแอจนเป็นซากปรักหักพัง
โลกในปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีขั้นสูงแต่จักรพรรดิสวรรค์ ตัวตนอมตะและนักบุญต่างกลายเป็นตำนานเล่าขาน
ฉิงเฟิงโกรธแค้นมากเมื่อได้รับรู้ว่าบรรพบุรุษของเขาถูกฆ่าและสังหารสิ้น
ภาพมายาของจักรวาลหายไปและสถานที่โดยรอบก็กลับคืนสู่ปกติฉิงเฟิงได้เป็นประจักษ์พยานต่อสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกในอดีตกาล แต่ทุกสิ่งกลับสดใสในความทรงจำของเขาราวกับว่าเขาได้ประสบมันด้วยตนเอง “
พวกเจ้าทั้งสามคนล้วนเป็นผู้ถูกเลือกดังนั้นจงสืบทอดเคล็ดวิชาบ่มเพาะเหล่านี้ไป มันคือท่วงทำนองสวรรค์อมตะ
,
ท่วงทำนองบงกชอมตะและท่วงทำนองวายุอมตะ
”
เสียงที่แห้งกรังแต่เรียบง่ายดังขึ้นในวังโดยที่ไม่ทราบต้นตอของเสียง
พลังงานแสงสามสายปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าโดยที่เส้นสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในร่างของฉิงเฟิงฮวาเซียนจือและฉินเซียนจื่อตามลำดับ
ทั้งสามคนคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อดูดซับเคล็ดวิชาอย่างระมัดระวังฉิงเฟิงได้รับสืบทอดท่วงทำนองสวรรค์อมตะอันทรงพลังที่สามารถทำให้ผู้ฝึกสามารถก้าวไปถึงระดับอมตะได้
ท่วงทำนองสวรรค์อมตะมีมีสิบระดับและทุกระดับมีขอบเขตการฝึกฝนที่สอดคล้องกันระดับแรกคือขอบเขตจิตวิญญาณแท้จริง ระดับที่สองคือขอบเขตจิตโลกา ระดับที่สามคือขอบเขตจิตวิญญาณสวรรค์ และขั้นที่สี่คือขอบเขตจิตวิญญาณราชัน
ตอนนี้ฉิงเฟิงมีพลังอยู่ในระดับจิตวิญญาณสวรรค์ขั้นต้นและเทคนิคบ่มเพาะที่เหมาะกับเขาที่สุดคือวิชาในระดับจิตวิญญาณสวรรค์ในห้วงสมาธิเขาได้พบกับหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับระดับพลังของเขาในปัจจุบัน เขาท่องจำมันและเริ่มฝึกฝนทันที
มือทั้งสองของเขายกขึ้นเล็กน้อยก่อตัวขึ้นเป็นผนึกมือจากขอบเขตจิตวิญญาณแท้จริง หน้าอกของเขายกขึ้นเล็กน้อยในขณะที่เริ่มหายใจสูดรับเอาแก่นพลังจากสวรรค์และปฐพี
แก่นพลังแท้จำนวนมากจากท้องฟ้าและปฐพีต่างพุ่งเข้าสู่ร่างของฉิงเฟิงและกลืนกินมันทั้งหมดเหมือนกับปลาวาฬที่กลืนน้ำทะเลมันดูดซับแก่นพลังจากอากาศโดยรอบอย่างเมามันและส่งผลให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
แก่นวิญญาณของฉิงเฟิงกำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากแก่นสีดำที่ครั้งหนึ่งเคยมีรอยขีดข่วนมาก่อน แต่หลังจากดูดแก่นพลังจำนวนมากเข้าไปก็ปรากฏรอยขีดสองรอยขึ้นในขณะที่เขาทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณสวรรค์ขั้นกลาง
หลังจากฉิงเฟิงเลื่อนระดับพลังแก่นพลังจำนวนมากในอากาศก็ยังคงเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่องและก่อตัวเป็นพลังแท้จำนวนมากจนเกิดรอยขีดที่สามบนแก่นวิญญาณของเขา
รอยขีดสามรอยเป็นสัญลักษณ์ของของการเข้าถึงขอบเขตจิตวิญญาณสวรรค์ขั้นปลายปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากลิ่นอายพลังในพื้นที่แห่งนี้ทรงอำนาจแนะหนาแน่นมากจนทำให้เขาทะลวงด่านจากขอบเขตจิตวิญญาณสวรรค์ขั้นต้นไปสู่ขั้นปลายได้ในเวลาไม่นาน
“ท่วงทำนองสวรรค์อมตะนี้ทรงพลังอย่างแท้จริง! ไม่น่าแปลกใจเลยว่ามันเป็นเทคนิคบ่มเพาะพลังที่สามารถเปลี่ยนผู้ฝึกให้กลายเป็นตัวตนอมตะได้”
ฉิงเฟิงยืนขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ
เขารู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลภายในร่างกายของเขาซึ่งมีพละกำลังประมาณสี่หมื่นกิโลกรัมแน่นอนว่าในตอนนี้เขาสามารถฆ่าสัตว์อสูรขอบเขตจิตวิญญาณสวรรค์ขั้นปลายได้ด้วยหมัดเดียว !
นอกจากฉิงเฟิงแล้วฮวาเซียนจือและฉินเซียนจื่อก็ประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะเช่นกัน
พวกเธอทั้งสองล้วนทะลวงระดับถึงขอบเขตจิตวิญญาณสวรรค์ขั้นต้น
ฮวาเซียนจือฝึกท่วงทำนองบงกชอมตะส่วนฉินเซียนจื่อฝึกท่วงทำนองวายุอมตะทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเคล็ดวิชาที่ทรงพลังที่มีเพียงระดับตัวตนอมตะเท่านั้นจึงจะได้ครอบครอง “ขอบคุณมากท่านบรรพบุรุษสำหรับเคล็ดวิชาเหล่านี้ท่านมีอะไรที่ผมพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่ ” ฉิงเฟิงเอ่ยปากถามขึ้นในขณะที่โค้งคำนับด้วยความเคารพ
น้ำเสียงอ่อนแอและดูชรากล่าวขึ้นว่า
“เจ้าเป็นผู้ฝึกตนของโลกใบนี้ข้าเพียงหวังว่าวันหนึ่งวันใดที่เจ้าได้ก้าวถึงขีดขั้นนักบุญหรืออมตะ เจ้าจะล้างแค้นให้บรรพบุรุษและสังหารฆาตกรจากหนึ่งร้อยดาราเหล่านั้น”
ฉิงเฟิงพยักหน้าถึงแม้ว่าเจ้าเสียงนั้นจะไม่ได้ยืนกรานคำขอ แต่ฉิงเฟิงก็ตั้งใจว่าจะล้างแค้นพวกมัน
“ข้าหลี่ฉิงเฟิงให้สัตย์สาบาน หากวันหนึ่งข้าได้ก้าวสู่ขอบเขตนักบุญหรือตัวตนอมตะ ข้าจะมุ่งหน้าไปยังร้อยดาราเหล่านั้นและสับสังหารพวกมันทุกคนที่รุกรานและฆ่าชาวโลก”
ฉิงเฟิงกัดลิ้นเล็กน้อยหลังจากประกาศคำสาบานเขาหยดเลือดลงบนพื้นที่ว่างและมันก็หายไป
ทั้งฮวาเซียนจือและฉินเซียนจื่อต่างก็ให้คำสาบานเช่นกันพวกเธอเป็นผู้ฝึกตนของโลก ดังนั้นเมื่อได้รับรู้ถึงโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่พวกเธอจะต้องล้างแค้นให้บรรพบุรุษของโลก