My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา - ตอนที่ 1067 ทะลวงผ่านสู่ขอบเขตจิตวิญญาณสวรรค์ขั้นสูงสุด
- Home
- My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา
- ตอนที่ 1067 ทะลวงผ่านสู่ขอบเขตจิตวิญญาณสวรรค์ขั้นสูงสุด
ตอนที่ 1067 ทะลวงผ่านสู่ขอบเขตจิตวิญญาณสวรรค์ขั้นสูงสุด
ในฐานะผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณสวรร์คขั้นปลายตอนนี้หลี่ฉิงเฟิงสามารถปรุงยาระดับสวรรค์ได้ เขาเริ่มออกสำรวจรอบๆเกาะทองคำและพบพืชพันธุ์ระดับสวรรค์ หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้วิญญาณสวรรค์, สมุนไพรทองคำและเถาวัลย์สีม่วง
ในการปรุงยา3 สิ่งที่จำเป็นยิ่งก็คือ สมุนไพร เตาปรุงยาแล้วก็เปลวเพลิง ตอนนี้เขามีสมุนไพรแล้ว สิ่งที่ขาดก็คือเตาปรุงยาและเปลวเพลิง
น้ำเต้าทองคำคุ้นเคยกับเกาะทองคำเป็นอย่างดีมันรู้ว่าเจ้านายคนเก่าของมันเก็บซ่อนเตาปรุงยาไว้ใต้พื้นดินที่ไหนสักแห่งบนเกาะ
มันพาฉิงเฟิงไปยังถ้ำแห่งหนึ่งและใช้เวลาไม่นานเพื่อขุดเตาปรุงยาออกมา
เนื่องจากมันมีความสูงมากกว่า1 เมตรและมีสีทองอร่ามอย่างสมบูรณ์ เตาปรุงยาอันนี้จึงเปล่งแสงสีทองเหมือนดวงอาทิตย์ขนาดย่อมๆ ที่ส่วนล่างของเตาปรุงยามีลวดลายดอกไม้ที่ซับซ้อนซึ่งจารึกไว้ด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่สามตัวคือ เตาปรุงยาทองคำ ทุกอย่างเกี่ยวกับมันเปล่งรัศมีออร่าออกมา
“วะวะ ว้าว ! นี่มันเตาหลอมของนักบุญนี่นา !” ลูกหมาสีดำร้องอุทานขึ้นเมื่อได้เห็นเตาปรุงยาชิ้นนี้
ในฐานะสัตว์อสูรวิญญาณที่ปรากฏตัวขึ้นบนโลกตั้งแต่สมัยโบราณมันย่อมรู้เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของทองคำอมตะและเตาปรุงยาทองคำ
ในสมัยโบราณนักบุญทองคำสามารถโลดแล่นท่องไปทั่วทวีปได้อย่างอิสระด้วยเตาปรุงยาทองคำ ครั้งหนึ่งเขาเคยสังหารผู้รุกรานจากต่างมิติระดับนักบุญด้วยตนเองแบบหนึ่งต่อสาม แต่ในที่สุดเขาก็พ่ายแพ้จากการกรุ้มรุมโดยสุดยอดฝีมือถึงสิบคนจากดาวเคราะห์ดวงอื่น
หัวใจของฉิงเฟิงราวกับจะหยุดเต้นเขารู้แล้วว่าตนเองกำลังจะได้ครอบครองสมบัติที่ล้ำค่ายิ่ง เนื่องจากเตาปรุงยานี้เป็นเตาหลอมระดับนักบุญ ตราบใดที่เขาสามารถหาสมุนไพรระดับนักบุญและเปลวเพลิงได้ เขาก็จะสกัดเม็ดยาระดับนักบุญและก้าวเข้าสู่ขอบเขตนักบุญได้ !
แม้แต่ในยุคโบราณยังมีนักบุญบนโลกนี้เพียงไม่กี่คนไม่ต้องกล่าวถึงปัจจุบัน
ด้านข้างเตาปรุงยามีเปลวไฟสีทองกลุ่มหนึ่งคงอยู่ฉิงเฟิงรับรู้ได้ว่ามันเป็นหนึ่งในร้อยเปลวเพลิงที่ทรงพลังที่สุดในโลก
“เปลวไฟทองคำ…มันเป็นเปลวไฟทองคำแน่นอน!”เมื่อเห็นเปลวไฟทองคำฉิงเฟิงก็เต็มไปด้วยความสุขและตื่นเต้น
จากศาสตร์การปรุงยาของราชายาทิพย์เซียวหยุนที่เขาได้รับมาจากสุสานแกรนด์มาสเตอร์เมื่อตอนนั้นทำให้ฉิงเฟิงรู้ถึงคุณค่าของไฟสำหรับนักปรุงยานั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดนอกเหนือจากสมุนไพรและเตาก็คือเปลวไฟ
ยิ่งเป็นเปลวไฟที่เกรดสูงเท่าไหร่อุณหภูมิก็จะสูงขึ้นเท่านั้นและช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จในการปรุงยาขั้นสูงตลอดจนโอกาสล้มเหลวก็จะลดน้อยลง
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในร้อยเปลวไฟที่ดีที่สุดในโลกเปลวไฟทองคำนั้นทรงพลังมาก
ฉิงเฟิงเดินไปที่ด้านข้างของเปลวไฟสีทองเพื่อดูดซับมันเข้าไปในร่างกายเมื่อเขาเอื้อมมือไปกำลังจะแตะมันกลับพบว่าอุณหภูมิของเปลวไฟก้อนนี้สูงมากจนแขนเสื้อของเขาไหม้ก่อนที่จะได้สัมผัสมันด้วยซ้ำ
“
เจ้าหนูเจ้าต้องเปิดใช้งานกายาแดนชำระเพื่อต่อต้านอุณหภูมิสูงล้ำของมันเสียก่อนจึงจะสัมผัสมันได้”
เสียงของจักรพรรดิราตรีดังขึ้นในใจของฉิงเฟิง
ฉิงเฟิงพยักหน้าด้วยความสุขที่ปรากฏในแววตาของเขา
เมื่อเปิดใช้งานกายาแดนชำระเนื้อหนังและผิวของเขาก็แกร่งขึ้นราวกับอุกกาบาต จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาและสัมผัสกับเปลวไฟสีทองซึ่งย่างผิวของเขาจนเกิดเสียงเปรี๊ยะขึ้นจากอุณหภูมิที่สูงถึง 5,000 องศาเซลเซียส
โชคดีที่ฉิงเฟิงได้ฝึกปรือกายาแดนชำระ,เคล็ดวิชาบ่มเพาะกายาที่สามารถเปลี่ยนร่างมนุษย์ของเขาให้กลายเป็นอมตะ ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่สามารถทนอุณหภูมิสูงขนาดนี้ได้ หากเป็นคนทั่วไปของถูกแผดเผากลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา
ฉิงเฟิงโคจรพลังแท้ในร่างและค่อยๆดูดซับเปลวไฟเข้าสู่ร่างกายทีละน้อยๆ
“อะอ้ากกกก !”
เมื่อเปลวไฟสีทองเข้ามาในร่างกายของเขามันก็เผาไหม้กล้ามเนื้อและกระดูกของเขาซึ่งทำให้เขาเจ็บปวดอย่างเฉียบพลัน มันเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกเข็มทิ่มแทงอวัยวะเสียอีก
เขาหน้าซีดและทรุดนั่งลงด้วยความเจ็บปวดเหงื่อเม็ดโป้งไหลลงมาตามร่างกายของเขา
เขาขบกรามแน่นและกำหมัดอย่างแรงจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือแต่เขาไม่รู้สึกอะไรเลยที่ฝ่ามือเพราะอาการปวดแสบปวดร้อนนี้รุนแรงกว่ามาก
เมื่อฮวาเซียนจือและราชาอสูรฉลามคลั่งได้เห็นสีหน้าที่เจ็บปวดของฉิงเฟิงพวกเขาต่างก็เป็นกังวล
พวกเขาต้องการจะช่วยเหลือแต่ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะไม่มีใครสามารถดูดซับเปลวไฟสีทองได้ยกเว้นฉิงเฟิงเพียงผู้เดียว
ฉิงเฟิงรู้สึกว่ากล้ามเนื้อและเส้นชีพจรของเขาแทบจะละลายภายใต้เปลวไฟและเกิดรอยปริแตกบนกระดูกของเขาตามมาด้วยเสียงแตก
พลังของเปลวไฟทองคำนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าเปลวไฟนรกของราชางูนรกทมิฬ
ผ่านรอยปริร้าวในกระดูกสิ่งสกปรกสีดำก็เริ่มไหลออกมา หลังจากขจัดสิ่งสกปรกสีดำออกมากระดูกของเขาก็แข็งขึ้นและเปล่งแสงออร่าสีทอง
ไม่เพียงแค่กระดูกของเขาเท่านั้นแต่กล้ามเนื้อและเส้นชีพจรก็เปลี่ยนเป็นสีทองเช่นกัน
เมื่อทุกส่วนของร่างกายเปลี่ยนเป็นสีทองในที่สุดเขาก็สามารถต้านทานการเผาไหม้ของเปลวไฟสีทองได้ และเริ่มที่จะดูดซับมันเข้ามามากขึ้นและมากขึ้น
ในที่สุดเปลวไฟทองคำทั้งหมดก็เข้าสู่ร่างกายของเขาและถูกกักเก็บไว้ในตันเถียน
เขาพบว่าตนเองสามารถควบคุมไฟได้ดั่งใจเพียงตั้งสมาธิเล็กน้อยก็ปรากฏเปลวไฟสีทองขึ้นบนฝ่ามือของเขา
ราวกับว่าตัวเขากับเปลวไฟสีทองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์เขาเป็นดั่งเจ้านายของมันแล้ว
เมื่อน้ำเต้าทองคำได้เห็นว่าฉิงเฟิงกลายเป็นเจ้านายของเปลวไฟสีทองมันก็ตกตะลึงมาก
ต้องรู้ว่าเปลวไฟทองคำนั้นทรงพลังอย่างยิ่งเนื่องจากมันได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในร้อยเปลวไฟที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้ชั้นฟ้าและปฐพีการที่ฉิงเฟิงสามารถดูดซับและเป็นเจ้านายของมันได้อย่างรวดเร็วนั้นสร้างความประหลาดมาก
ไม่น่าแปลกใจที่มังกรอัคคีและวังคุนหลุนล้วนแต่ยอมรับในตัวชายหนุ่มผู้นี้มันแสดงว่าเขามีศักยภาพและความสามารถสูงมาก
ด้วยเปลวไฟสีทองภายใต้การควบคุมของเขาฉิงเฟิงโยนสมุนไพรระดับสวรรค์ที่เขาเพิ่งเก็บรวบรวมลงไปในเตาหลอมทองคำเพื่อผลิตยาระดับจิตวิญญาณสวรรค์
จากนั้นเขาก็เพิ่มความร้อนด้วยเปลวไฟสีทอง
ไม่นานนักกลิ่นอายของโอสถชั้นเลิศก็ลอยออกมาจากเตาในขณะที่เม็ดยากำลังกลั่นตัวเป็นรูปเป็นร่าง ด้วยประสบการณ์การปรุงยาก่อนหน้านี้ทำให้กระบวนเหล่านี้รวดเร็วขึ้นมาก
เขาเปิดฝาเตาปรุงยาออกมาและเผยให้เห็นเม็ดยาระดับสวรรค์ห้าเม็ดที่อยู่ข้างใน
พวกมันมีขนาดไม่ใหญ่นัก,ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ แต่ทว่าแต่ละเม็ดกลับเปี่ยมไปด้วยแก่นพลังจำนวนมาก แม้แต่กลิ่นของพวกมันก็ให้ความสดชื่น
เขาทำออกมาได้ห้าเม็ดเม็ดหนึ่งสำหรับตนเอง อีกสี่เม็ดที่เหลือมอบให้ราชาอสูรฉลามคลั่ง, ฮวาเซียนจือ, ลูกหมาสีดำและงูกลืนฟ้า
ลูกหมาสีดำและงูกลืนฟ้าอยู่กับเขามาได้สักพักดังนั้นเขาควรจะตอบแทนพวกมันบ้าง
จากนั้นฉิงเฟิงก็อ้าปากกินเม็ดยานั้นเข้าไปมันเปลี่ยนเป็นแก่นพลังแท้จำนวนมาก
พลังแท้ไหลผ่านลำคอของเขาและไปผสานกันที่จุดตันเถียน
ตอนนี้แก่นวิญญาณในตันเถียนของเขามีรอยเกิดขึ้น4 รอย จาก 3 รอยก่อนหน้านี้ หลังจากที่ดูดซับพลังแท้จากเม็ดยาระดับจิตวิญญาณสวรรค์เข้าไป
รอยสี่รอยคือสัญลักษณ์ของการพัฒนาสู่ขั้นสูงสุดของขอบเขตวิญญาณสวรรค์นั่นเอง