My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา - ตอนที่ 1073 บุกนิกายดาบปีศาจ
- Home
- My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา
- ตอนที่ 1073 บุกนิกายดาบปีศาจ
ตอนที่ 1073 บุกนิกายดาบปีศาจ
ฉิงเฟิงทำลายเสาพลังน้ำของอสูรวาฬและช่วยให้เรือโดยสารของพวกเขากลับสู่ความปลอดภัย
แต่ฉิวเฟิงรู้สึกว่ากำปั้นของเขานั้นมีผลต่อมันเล็กน้อยเท่านั้นเป็นไปได้สูงว่าอสูรวาฬตัวนี้ต้องฝึกฝนเทคนิคการขัดเกลากายาจนทำให้ร่างกายของมันทรงพลังอย่างมาก
ในมหาสมุทรสัตว์อสูรบางตัวมีการฝึกฝนเทคนิคการปรับแต่งกายาเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งร่างกายของพวกมัน ผู้ฝึกตนทั่วไปย่อมไม่อาจทะลวงการป้องกันของสัตว์อสูรเหล่านี้ได้ แต่ฉิงเฟิงนับว่าทรงพลังมากที่สามารถสร้างอาการเจ็บให้มันได้ แม้จะเล็กน้อยก็ตาม
เขาคิดคำนวณว่าอสูรวาฬตัวนี้จะต้องมีพลังทางจิตวิญญาณที่ค่อนข้างอ่อนแอเนื่องจากร่างกายของมันแข็งแกร่งมากเขาจึงตัดสินใจที่จะโจมตีมันด้วยการโจมตีทางวิญญาณแทน
“
เกลียวคลื่นวิญญาณคู่
!
“
ฉิงเฟิงปล่อยพลังวิญญาณของเขาออกมาและก่อตัวเป็นเกลียวคลื่นวิญญาณสองสาย
คลื่นวิญญาณเหล่านี้บินไปหาอสูรวาฬทะลวงเข้าไปในหัวของมันและฉีกพลังวิญญาณของมันออกเป็นสองส่วน
อสูรวาฬกรีดร้องอย่างเจ็บปวดถึงแม้ว่ามันจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งแต่พลังวิญญาณของมันนั้นอ่อนแอมาก ดังนั้นมันจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีทางวิญญาณของฉิงเฟิง
อสูรวาฬฟาดหางในทะเลทำให้เกิดคลื่นยักษ์ที่สูงนับสิบเมตรที่ชนกับฉิงเฟิง
ฉิงเฟิงตอบโต้ด้วยการชักกระบี่เพลิงคะนองออกมาและยิงพลังงานกระบี่อันแหลมคมออกไปปิดกั้นน้ำทะเลทั้งหมด
ฉิงเฟิงก้าวอย่างแผ่วเบาไปบนหัวเรือและลอยตัวขึ้นเหนือหัวของอสูรวาฬจากนั้นก็ใช้ออกด้วยกระบวนท่าแรกของวิชากระบี่เพลิงอัสนี [ผสานเพลิงอัสนี]
พลังงานกระบี่ควบแน่นกันจนเกิดเป็นเปลวเพลิงสีแดงและสายฟ้ามันกระแทกใส่หัวของวาฬอสูรจนปลิดชีพมันได้ภายในกระบวนท่าเดียว
วาฬอสูรที่น่าสงสารตัวนี้มีกายาที่ทรงพลังมากแต่มันได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีทางวิญญาณ นั่นคือเหตุผลที่ฉิงเฟิงสามารถฆ่ามันได้ด้วยกระบวนท่าเดียว
จากนั้นฉิงเฟิงก็ใช้กระบี่ผ่าเปิดท้องของมันเพื่อดึงเอาแก่นอสูรออกมาแก่นอสูรของมันเป็นสีน้ำเงินอย่างสมบูรณ์และปล่อยพลังงานที่แข็งแกร่งออกมา วาฬอสูรนั้นเป็นจ้าวเหนือหัวของท้องมหาสมุทรซึ่งสัตว์อสูรในทะเลอีกหลายตัวต่างก็ยอมสยบต่อมัน ดังนั้นเขาสามารถใช้แก่นอสูรนี้ในการยับยั้งสัตว์อสูรในมหาสมุทรได้
ฉิงเฟิงวางแก่นอสูรของมันไว้ที่หน้าเรือมันปล่อยพลังงานอันมหาศาลออกมาทำให้สัตว์อสูรในมหาสมุทรไม่กล้าย่างกรายเข้าใกล้
โดยไร้ซึ่งการขัดขวางจากเหล่าสัตว์อสูรเรือโดยสารจึงเดินทางได้รวดเร็วขึ้นมากและมาถึงที่เกาะแปซิฟิกภายในเวลาห้าชั่วโมง
นี่เป็นครั้งที่สองที่หลี่ฉิงเฟิงมายังเกาะแปซิฟิกครั้งที่แล้วคือการแข่งขันศิลปะการต่อสู้โบราณแห่งทวีปมังกรซึ่งเขาได้เอาชนะคู่แข่งคนอื่นๆทั้งหมดและกลายเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธอันดับหนึ่งในบรรดารุ่นเยาว์ยุคนี้
แต่คราวนี้แตกต่างกันเขามาที่เกาะแปซิฟิกเพื่อช่วยราชินีอสูรเพลิงและราชาอสูรค้างคาวม่วง เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและโทรหาทั้งสองคนอีกครั้ง แต่มันก็มีเพียงเสียงเตือนว่าพวกเขาปิดโทรศัพท์และไม่สามารถรับสายได้
ในเมื่อฉิงเฟิงไม่อาจะติดต่อพวกเขาและไม่มีเบาะแสใดๆเขาจึงโทรหาซาโต้ โยชิโกะ บุตรสาวคนโตของหัวหน้าตระกูลนินจา เมื่อไม่นานมานี้เธอได้กลับไปยังเกาะแปซิฟิกและกลายเป็นหัวหน้าตระกูลนินจาซึ่งเป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ของผู้ฝึกยุทธ์โบราณบนเกาะแปซิฟิก
หลังจากตอบรับโทรศัพท์ของฉิงเฟิงแล้วโยชิโกะก็ละจากงานทุกอย่างเพื่อมุ่งหน้าไปยังท่าเรือ
โยชิโกะยังคงมีใบหน้าที่งดงามด้วยกลิ่นอายอันเย้ายวนแห่งมนต์เสน่ห์ขนตาของเธอเพรียวบาง ผิวของเธอนุ่มนวลราวกับหยกสีขาว เธอสวมชุดกิโมโนแต่รูปร่างที่สมส่วนและเซ็กซี่ของเธอก็ยังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน
ฉิงเฟิงไม่ได้พบกับเธอนานแล้วเธอกลับงดงามมากขึ้นเรื่อยๆ
“นายท่านคะยินดีต้อนรับสู่เกาะแปซิฟิก” โยชิโกะโค้งคำนับและกล่าวด้วยความเคารพ
ฉิงเฟิงพยักหน้าและถามว่า“โยชิโกะ ฉันขอให้เธอตามหาราชินีอสูรเพลิงและราชาอสูรค้างคาวม่วง เธอได้ข่าวอะไรบ้างไหม ”
“ขอโทษค่ะนายท่านข้าไม่ได้รับข่าวใดๆเกี่ยวกับพวกเขาเลย…” โยชิโกะส่ายหัวพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าบนใบหน้าอันงดงามของเธอ
ถึงแม้ว่าโยชิโกะจะเป็นสมาชิกหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่บนเกาะแปซิฟิกซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในประเทศแต่พวกเธอก็ยังไม่สามารถหาที่อยู่ของราชาอสูรทั้งสองคนได้ นั่นอาจหมายความว่าผู้ที่ทำให้พวกเขาหายตัวไปย่อมทรงพลังอำนาจเหนือกว่าตระกูลนินจา
“เข้าใจแล้วดูเหมือนว่าฉันจะต้องใช้พลังของตราผู้พิชิต”
ฉิงเฟิงหยิบตราผู้พิชิตออกมาและหยดเลือดของเขาลงไปจากนั้นตำแหน่งที่ตั้งของทั้งสองคนนั้นก็ปรากฏบนตราอย่างน่าอัศจรรย์
ด้วยการนำทางของตราผู้พิชิตและสติปัญญาของโยชิโกะฉิงเฟิงก็รู้ว่าพวกเขาทั้งคู่ถูกขังไว้ที่ตระกูลดาบปีศาจบนเกาะแปซิฟิกซึ่งเป็นนิกายระดับสวรรค์ !
กลุ่มตระกูลดาบปีศาจเป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่บนเกาะแปซิฟิกแต่พวกเขาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของนิกายดาบปีศาจเท่านั้น
ฉิงเฟิงเผยอยิ้มเล็กน้อยเนื่องจากเขารู้ตำแหน่งของทั้งสองแล้ว เขาไม่ต้องการเสียเวลามากไปกว่านี้ เขาโบกรถแท็กซี่และมุ่งหน้าไปที่ตระกูลดาบปีศาจพร้อมกับฮวาเซียนจือและซาโต้ โยชิโกะทันที
จู่ๆก็มีเสียงวิทยุบนรถแท็กซี่ประกาศข่าวออกมาว่า“วันนี้เป็นวันแต่งงานของนายน้อยผู้หนึ่งแห่งเกาะแปซิฟิก ท่านผู้นั้นจะแต่งงานสาวงามชาวหัวเซี่ย, ราชินีอสูรเพลิง !”
ฉิงเฟิงที่กำลังนั่งอยู่ที่เบาะหลังและได้ยินข้อความนี้อย่างชัดเจนเขาสบถออกมาด้วยความหงุดหงิดว่า “นายน้อยบัดซบคนนี้กล้าดียังไงมาแต่งงานกับลูกน้องฉัน หาที่ตาย”
ฉิงเฟิงจ่ายเงินคนขับเพิ่มอีกหมื่นหยวนเพื่อขอให้เขาขับให้เร็วขึ้นภายใต้แรงดึงดูดของเงินตรา คนขับรถแท็กซี่ซิ่งฝ่าไฟแดงนับสิบดวงติดต่อกันและมาถึงนิกายดาบปีศาจอย่างรวดเร็ว
“นายท่านคะนิกายดาบปีศาจเป็นนิกายผู้ฝึกตนระดับสวรรค์ซึ่งทรงพลังมาก พวกเราจะบุกเข้าไปจริงเหรอคะ ” โยชิโกะหันมาถามฉิงเฟิงด้วยใบหน้าที่เป็นกังวลเล็กน้อย
คนอื่นๆย่อมไม่ทราบว่านิกายดาบปีศาจนั้นทรงพลังเพียงใดแต่ในฐานะลูกสาวคนโตของตระกูลนินจา โยชิโกะรู้ดี แน่นอนว่าพวกเขาเป็นมหาอำนาจบนเกาะแปซิฟิ พวกเขาสามารถทำลายตระกูลนินจาได้อย่างง่ายดาย
“ผ่อนคลายเถอะโยชิโกะนิกายดาบปีศาจอะไรนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับฉัน”
ฉิงเฟิงยิ้มอย่างหยิ่งยะโส
เขาเข้าใจว่าหลังจากที่จากกันไประยะหนึ่งโยชิโกะย่อมไม่รู้ว่าเขาอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตจิตวิญญาณสวรรค์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากเธอรู้เธอคงไม่เป็นกังวลเช่นนี้ ฉิงเฟิงลุกขึ้นจากรถแท็กซี่และจ้องมองไปที่นิกายดาบปีศาจที่อยู่เบื้องหน้ามันเป็นตึกขนาดมหึมาและสง่างามที่สูงนับสิบเมตรพร้อมกับการตกแต่งภายนอกที่หรูหรา
ประตูทางเข้าทำจากหินสีดำโดยมียามสองคนยืนอยู่ด้านหน้าพวกเขาปลดปล่อยกลิ่นอายของผู้ฝึกตนขอบเขตจิตโลกาขั้นสูงสุดออกมา
นิกายดาบปีศาจสมแล้วที่เป็นนิกายระดับสวรรค์พวกเขาทรงพลังอำนาจมากจนแม้แต่ยามเฝ้าประตูก็ยังมีพลังในระดับนี้
ฉิงเฟิงเดินไปข้างหน้าแต่เพียงเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเขาก็ถูกยามขวางเอาไว้
“หยุดก่อนที่นี่คือนิกายดาบปีศาจ บุคลภายนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา”
ยามเฝ้าประตูที่อยู่ทางซ้ายแสยะยิ้มด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
ฉิงเฟิงมองด้วยหางตาและไม่สนใจคำพูดของเขาจากนั้นก็เดินต่อไป ยามผู้นั้นขมวดคิ้วและฟาดฝ่ามือที่แฝงไปด้วยพลังแท้ออกมาหมายจะหยุดยั้งฉิงเฟิง
ฉิงเฟิงหัวเราะเยาะและยื่นมือขวาฟาดเข้าใส่หัวของยามผู้นั้นจนหมดสติแทนถึงแม้ว่ายามจะเป็นชนชั้นนำที่มีพลังในขอบเขตจิตโลกาขั้นสูงสุด แต่เขาก็เทียบอะไรไม่ได้กับฉิงเฟิงแม้แต่น้อยนิดและถูกอีกฝ่ายคว่ำอย่างง่ายดาย