My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา - ตอนที่ 1097 ผนึกบนภูเขา
- Home
- My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา
- ตอนที่ 1097 ผนึกบนภูเขา
ตอนที่ 1097 ผนึกบนภูเขา
เมื่อได้ยินคำพูดของฉิงเฟิงใบหน้าของโซวพั่วเทียนก็เปลี่ยนไป ดวงตาของเขากระพริบไปด้วยแสงเย็นชา
เขาแสยะยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวด้วยเสียงเย็นว่า“เจ้ากล้าเล่นตลกกับข้า มานี่เลย คุกเข่าลงและขอขมาข้า”
ฉิงเฟิงยืนนิ่งอย่างไร้การเคลื่อนไหวเขายิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ขอโทษแก โทษทีนะ แกไร้คุณสมบัติ”
ใบหน้าของโซวพั่วเทียนเริ่มมืดมนลงเขาก้าวหนึ่งก้าวไปข้างหน้าและเปล่งกลิ่นอายที่แหลมคมออกมา เขาเตรียมจะสั่งสอนบทเรียนให้ฉิงเฟิง
ในฐานะที่เป็นนายน้อยแห่งนิกายราชันสัตว์และยังเป็นถึงยอดฝีมือระดับครึ่งก้าวจิตราชันไม่เคยมีใครกล้าเล่นตลกกับเขา ฉิงเฟิงเป็นคนแรก “โซวพั่วเทียนคุณคิดจะทำอะไร ! หลี่ฉิงเฟิงเป็นคนของหน่วยความมั่นคงพิเศษของเรา” ชาวเฟิ่งอู่เดินไปขวางอยู่ด้านหน้าฉิงเฟิงและกล่าวด้วยใบหน้าที่เย็นชา
เธอเป็นคนพาฉิงเฟิงมาที่นี่ดังนั้นเธอต้องออกหน้าปกป้องเขา เธอไม่ต้องการให้เขาได้รับบาดเจ็บ
เมื่อได้เห็นฉากนี้โซวพั่วเทียนก็หน้าบูดบึ้งถึงแม้ว่าเขาจะดูเหมือนว่าคนไม่เกรงกลัวฟ้าดิน แต่ยังมีคนสองคนที่เขากลัวที่สุด หนึ่งคือพ่อของเขาและอีกคนคือคนที่เขาหลงรัก ชาวเฟิ่งอู่
เปรี้ยง
!
เสียงรุนแรงดังขึ้นจากยอดเขาจากนั้นแสงสีทองก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและส่องสว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้า
ใบหน้าของทุกคนหันไปมองอย่างรวดเร็วพวกเขาไม่สนใจเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างหลี่ฉิงเฟิงและโซวพั่วเทียนอีกต่อไป พวกเขามองไปที่ต้นเสียงแทน
ภูเขากำลังเปลี่ยนแปลงและดูเหมือนว่าอีกชั้นหนึ่งของภูเขากำลังตกลงมาก้อนหินแตกและด้านในของภูเขาสีเขียวถูกเปิดเผยให้เห็น
ภูเขาลูกนั้นส่องแสงสีเขียวในขณะที่ผลวิญญาณและถ้ำลึกลับบางแห่งเริ่มเผยขึ้น
ทุกคนมีสีหน้าตื่นเต้นมากในขณะที่วิ่งขึ้นไปบนเนินเขาและพยายามเลือกผลวิญญาณ
นิกายกระบี่ราชันเป็นกลุ่มแรกที่วิ่งขึ้นไปแต่ทันทีที่พวกเขาขึ้นมา กลิ่นอายสีเขียวซีดก็ปรากฏขึ้นจากในภูเขาสีเขียวและบีบพวกเขาให้ถอยกลับไปยังทิศทางที่พวกเขาวิ่งมา สาวกบางส่วนหน้าซีดเซียวและได้รับบาดเจ็บ
สาวกจากนิกายอื่นๆก็รีบขึ้นไปบนเนินเขาเหมือนกันไม่ผลที่ได้รับก็ไม่ต่างกับนิกายกระบี่ราชัน พวกเขาถูกผลักออกมาด้วยกลิ่นอายสีเขียว รัศมีสีเขียวอ่อนนั้นแฝงไปด้วยพลังเวทย์และทำให้ไม่มีใครสามารถขึ้นไปถึงยอดได้
ฉิงเฟิงขมวดคิ้วและกล่าวว่า“นี่คือข่ายอาคมป้องกันภูเขา ถ้าเราไม่ทำลายมันเราจะไม่สามารถขึ้นไปบนภูเขาได้”
“คุณรู้ได้อย่างไรว่านี่คือข่ายอาคมคุ้มครองภูเขา” เชาเฟิ่งอู่กล่าวด้วยริมฝีปากสีแดงที่โค้งขึ้นของเธอ ความสงสัยปรากฏในดวงตาคู่โตที่ดูสดใสของเธอ
ฉิงเฟิงขมวดคิ้วและพูดว่า“ฉันเคยศึกษาศาสตร์ของข่ายอาคมมาก่อน ดังนั้นฉันจึงรู้ว่านี่เป็นข่ายอาคมป้องกันภูเขาในระดับนักบุญ หลังจากที่นักบุญโบราณตายไป ข่ายอาคมนี้จึงเป็นอิสระ และในที่สุดก็ค่อยๆเผยตัวออกมา”
ชาวเฟิ่งอู่พยักหน้าทันใดนั้นเธอก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อหน้าต่อตาเธอในตอนนี้
ในฐานะหัวหน้าหน่วยความมั่นคงพิเศษชาวเฟิ่งอู่ย่อมรู้เกี่ยวกับตัวตนของนักบุญโบราณ รวมไปถึงการดำรงอยู่ของข่ายอาคมระดับนักบุญ เธอรู้ว่าฉิงเฟิงกล่าวถูกต้องแล้ว มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเธอและคนอื่นๆที่จะขึ้นไปที่นั่น
ส่วนอีกด้านหนึ่งยอดฝีมือของนิกายราชันกระบี่, ราชันสัตว์, ราชันเหมันต์และราชันแห่งยันต์ พวกเขาทั้งหมดมารวมตัวกันเพื่อหารือเกี่ยวกับการหาหนทางขึ้นไป
จ้าวนิกายระดับราชันทั้งสี่ตัดสินใจโจมตีพร้อมกันและในที่สุดก็สามารถฉีกหลุมบนข่ายอาคมป้องกันได้สำเร็จ
แต่มันก็ทำได้เพียงเกิดรูเล็กๆที่พอจะลอดผ่านไปได้เพียงคนเดียวในแต่ละครั้งเท่านั้น
จากนั้นคนของนิกายทั้งสี่ก็เข้าไปก่อนตามด้วยชาวเฟิ่งอู่ฉิงเฟิงและคนอื่นๆ
ถึงแม้ว่าข่ายอาคมป้องกันจะมีรูเปิดอยู่และทุกคนก็เข้าไปข้างในได้เพียงไม่กี่ก้าวสาวกของนิกายราชันสัตว์ก็ถูกผลักกระเด็นออกมาจากการเก็บผลวิญญาณ “ทุกท่านอย่าเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามผลวิญญาณและสมบัติทั้งหมดที่นี่ได้รับการปกป้องจากผนึก หากต้องการของพวกนั้นเราต้องทำลายมนต์ผนึกเสียก่อน” จ้าวนิกายราชันกระบี่, จ้าวหลิงหวังขมวดคิ้วและกล่าวกับฝูงชน
ผู้คนรอบๆฟังคำพูดของเขาและพยายามที่จะทำลายมนต์ผนึกโดยการโจมตีมันอย่างไรก็ตาม มนต์ผนึกเหล่านี้สามารถตอบโต้ได้โดยอัตโนมัติและสะท้อนการโจมตีทั้งหมดของพวกเขากลับมา
มนต์ผนึกบางส่วนก็ระเบิดออกจนทำให้เหล่าสาวกบางคนได้รับบาดเจ็บสาหัสทีเดียว
เมื่อได้เห็นว่ามนต์ผนึกเหล่านี้ทรงประสิทธิภาพเพียงใดทุกคนก็กลัวที่จะโจมตีมัน
ฉิงเฟิงมีปฏิกิริยาที่ต่างจากคนเหล่านั้นเขาไม่เคลื่อนไหวทำอะไรทั้งสิ้น เพราะผลทางจิตวิญญาณที่อยู่เบื้องหลังคาถาผนึกไม่ได้ใช้กับเขามากนัก สิ่งที่เขาต้องการคือสมบัติในตำนาน
จากนั้นยอดฝีมือขอบเขตจิตราชันทั้งสี่คนก็เป็นผู้นำฝูงชนและทำให้พวกเขาขึ้นเขาไปได้อย่างราบรื่น
แต่ทว่ายิ่งขึ้นไปสูงเท่าใดพวกเขาก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงแรงกดทับจากข่ายอาคมมากขึ้นและทำให้ผู้คนจำนวนมากไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีกต่อไป
มีเพียงยอดฝีมือจิตราชันทั้งสี่เท่านั้นที่สามารถฝืนไปถึงจนถึงที่ลาดชันได้อีกร่วมกิโลเมตรก่อนที่จะไม่สามารถไปต่อได้
หลังจากเดินทางขึ้นภูเขามาร่วมกิโลเมตรพวกเขาก็มาถึงครึ่งทางของจุดสูงสุด ปรากฏกระบี่ยาวเล่มหนึ่งปักอยู่บนพื้น มันเป็นกระบี่สีทอง
กระบี่สีทองเล่มนี้กว้างสามนิ้วและยาวสามฟุตด้วยการเปล่งแสงอันสุกสว่างสดใส มันเปล่งประกายอร่ามจ้าจนผู้คนไม่อาจลืมตามองได้ “กระ….กระบี่แสงสีทอง มันเป็นกระบี่วิญญาณระดับราชัน, กระบี่แสงสีทอง !!” จ้าวหลิงหวังกล่าวด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสุข
กระบี่แสงสีทองเป็นอุปกรณ์วิญญาณที่มีชื่อเสียงในยุคโบราณและมันยังทรงพลังมากจนทุกคนต่างก็ต้องการครอบครอง
“
เจ้าหนู
,
อย่าเพิ่งตื่นเต้นกระบี่
แสงสีทองนั้นแข็งแกร่งก็จริงแต่เจ้าไม่จำเป็นต้องไปช่วงชิงมัน อีกห้าร้อยเมตรบนภูเขามีฟูก
(Futon)
สีดำอยู่สิ่งนั้นต่างหากคือสมบัติที่แท้จริง มันเรียกว่าฟูกวิญญาณ มันสามารถเสริมแกร่งพลังวิญญาณของเจ้าได้
” เสียงอันเบาบางของมังกรอัคคีดังขึ้นในหัวของฉิงเฟิง(ฟูกอะไรวะ…แอดก็งง)
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของมังกรอัคคีดวงตาของฉิงเฟิงก็สว่างขึ้น
ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาตอนนี้นับว่าแข็งแกร่งมากแต่ความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของเขายังอ่อนแออยู่ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการให้ความสำคัญกับสิ่งนั้น
ฟูกแห่งจิตวิญญาณนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเขาดังนั้นฉิงเฟิงจึงชื่นชอบมันมาก
ในขณะนี้ฉิงเฟิงอยู่กับเหล่าสาวกของนิกายทั้งสี่ที่ความสูงห้าร้อยเมตรบนภูเขาเขาอยู่ไกลเกินไปจากกระบี่แสงสีทอง ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะต้องการกระบี่เล่มนั้นก็คงไม่อาจแย่งชิงได้
ที่ระดับความสูงประมาณหนึ่งพันเมตรบนภูเขายอดฝีมือทั้งสี่ได้โคจรพลังแท้ของพวกเขาและต่อสู้เพื่อกระบี่แสงสีทองด้วยความแข็งแกร่งเต็มที่ ในทางกลับกันฉิงเฟิงก็ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ใดๆเลย
ฉิงเฟิงยืนอยู่ที่ความสูงห้าร้อยเมตรและมองไปที่การต่อสู้ของจ้าวนิกายทั้งสี่ด้วยใบหน้าเรียบเฉยและสงบนิ่ง
ชาวเฟิ่งอู่กล่าวกระตุ้นเตือนหลายครั้งเธออยากให้ฉิงเฟิงลงมือและหาโอกาสช่วงชิง แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธ
ฉิงเฟิงรู้ตัวเองเสมอไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ครั้งใด หากเขาไม่มั่นใจเต็มร้อยเขาจะไม่ลงมือ ตอนนี้เขายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวนิกายในขอบเขตจิตราชันทั้งสี่และไม่จำเป็นต้องเพาะสร้างศัตรูเพื่อกระบี่แสงสีทองที่ตนเองไม่ได้ต้องการ
ชาวเฟิ่งอู่ส่ายหัวอย่างไร้คำพูดบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในทีมของเธอตอนนี้คือฉิงเฟิง ถ้าหากฉิงเฟิงไม่ลงมือ เธอก็ทำอะไรไม่ได้
ด้วยความช่วยเหลือของมังกรอัคคีฉิงเฟิงพบฟูกดำในถ้ำแห่งหนึ่งประมาณ 500เมตรขึ้นไปบนภูเขา
ฟูกดำนั้นดำสนิทไร้ชีวิตชีวาและไม่มีใครสังเกตเห็น มันถูกป้องกันไว้โดยอาคมและปล่อยแสงสลัวๆสีดำ
ฉิงเฟิงมาถึงฟูกและทำลายอาคมจากนั้นก็คว้ามันขึ้นมาอย่างไรก็ตามฟูกแห่งจิตวิญญาณนี้ไม่สามารถใส่เข้าไปในวงแหวนมิติของเขาได้
ในขณะที่ฉิงเฟิงกำลังเดินออกจากถ้ำพร้อมฟูกในมือเขาก็ถูกขวางโดยโซวพั่นเทียนแห่งนิกายราชันสัตว์
เขามองไปที่ฉิงเฟิงอย่างเย็นชาและพูดว่า“ส่งมอบสิ่งนั้นมา”
ฉิงเฟิงแสยะยิ้มและกล่าวตอบว่า“ฉันไม่รู้ว่าแกกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”
ดวงตาของโซวพั่นเทียนดูเกรี้ยวโกรธเขากล่าวอย่างเหยียดหยามว่า “ภูเขาพยัคฆ์มังกรเป็นวังของบรรพบุรุษแห่งลัทธิเต๋า มันเต็มไปด้วยสมบัติมากมายที่แม้แต่ใบหญ้าข้างทางก็อาจจะเป็นหญ้าจิตวิญญาณได้ ไม่ต้องพูดถึงฟูกอันหนึ่ง”
หลังจากได้ยินสิ่งที่โซวพั่นเทียนกล่าวฟู่โตวตี้ที่ยืนอยู่ข้างๆก็เพ่งสายตามองไปที่ฉิงเฟิงเช่นกัน
หลังจากได้ยินคำพูดกระตุ้นเตือนจากโซวพั่นเทียนเขาก็รู้สึกว่าฟูกสีดำเป็นสมบัติล้ำค่า ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่ยอมให้มันตกอยู่ในมือของฉิงเฟิง