My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา - ตอนที่ 1108 กระบี่ที่หนึ่ง แสงทองท่องนภา !
- Home
- My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา
- ตอนที่ 1108 กระบี่ที่หนึ่ง แสงทองท่องนภา !
ตอนที่ 1108 กระบี่ที่หนึ่ง แสงทองท่องนภา !
เมื่อรู้สึกถึงการปรากฏตัวของหลี่ฉิงเฟิง,จักรพรรดินีนกยูงปีศาจก็ตื่นขึ้นมา ดวงตาคู่งามของเธอแสดงออกถึงความสับสน
“เจ้าป้องกันพลังแห่งเต๋าสวรรค์ได้อย่างไร” เธอถามด้วยใบหน้าที่ซีดอย่างชัดเจน น้ำเสียงของเธอดูอ่อนแอ
ฉิงเฟิงยิ้มเล็กน้อยและส่ายหัวเขาไม่มอบคำตอบเพื่อคลายความสงสัยให้เธอ
ฉิงเฟิงเต็มไปด้วยความลับมากมายที่เขาไม่ต้องการให้จักรพรรดินีนกยูงปีศาจได้รู้เขาไม่รู้ว่าเธอเป็นมิตรหรือศัตรู
เมื่อเห็นว่าฉิงเฟิงไม่ตอบคำถามของเธอจักรพรรดินีนกยูงปีศาจก็กล่าวว่า “โปรดช่วยข้าคลายผนึกออก”
ฉิงเฟิงกล่าวว่า“ผมเป็นเพียงมนุษย์ที่มีพลังในขอบเขตครึ่งก้าวสู่จิตราชันเท่านั้น ผมไม่มีความสามารถพอจะลบล้างมันออกได้
ตอนที่ 1108 กระบี่ที่หนึ่ง แสงทองท่องนภา !
เมื่อรู้สึกถึงการปรากฏตัวของหลี่ฉิงเฟิง,จักรพรรดินีนกยูงปีศาจก็ตื่นขึ้นมา ดวงตาคู่งามของเธอแสดงออกถึงความสับสน
“เจ้าป้องกันพลังแห่งเต๋าสวรรค์ได้อย่างไร” เธอถามด้วยใบหน้าที่ซีดอย่างชัดเจน น้ำเสียงของเธอดูอ่อนแอ
ฉิงเฟิงยิ้มเล็กน้อยและส่ายหัวเขาไม่มอบคำตอบเพื่อคลายความสงสัยให้เธอ
ฉิงเฟิงเต็มไปด้วยความลับมากมายที่เขาไม่ต้องการให้จักรพรรดินีนกยูงปีศาจได้รู้เขาไม่รู้ว่าเธอเป็นมิตรหรือศัตรู
เมื่อเห็นว่าฉิงเฟิงไม่ตอบคำถามของเธอจักรพรรดินีนกยูงปีศาจก็กล่าวว่า “โปรดช่วยข้าคลายผนึกออก”
ฉิงเฟิงกล่าวว่า“ผมเป็นเพียงมนุษย์ที่มีพลังในขอบเขตครึ่งก้าวสู่จิตราชันเท่านั้น ผมไม่มีความสามารถพอจะลบล้างมันออกได้หรอก”
คำพูดปฏิเสธของเขาดูเหมือนเธอจะไม่สนใจเธอเพียงกระพริบตาคู่งามและพูดว่า “ถึงแม้ว่าตอนนี้เจ้าจะอ่อนแอจริง แต่เมื่อยามที่เจ้าบรรลุถึงขอบเขตจิตราชัน เจ้าย่อมทำได้”
“ผมเข้าใจแล้วผมจะได้อะไรจากการช่วยเหลือท่าน ” ฉิงเฟิงถามด้วยรอยยิ้ม
เขาไม่ทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ต่อตนเองการช่วยเหลือผู้หญิงในชุดขาวนั่นหมายความว่าเขาจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวงในการไม่เชื่อฟังเจตจำนงของเต๋าแห่งสวรรค์
“ข้าสามารถมอบเคล็ดวิชาระดับอมตะให้เจ้าได้หากเจ้าฝึกฝนมากพอเจ้าจะกลายเป็นตัวตนระดับอมตะในสักวันหนึ่ง” จักรพรรดินีนกยูงปีศาจขยิบตาคู่งามในขณะที่เสนอผลประโยชน์ให้ฉิงเฟิง
ในความเห็นของเธอเคล็ดวิชาระดับอมตะนั้นทรงพลังที่สุดไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะปฏิเสธเธอ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปทำให้เธอตกใจมาก
ฉิงเฟิงส่ายหัวและปฏิเสธเธอว่า“ผมไม่สนใจเคล็ดวิชาระดับอมตะหรอก”
สำหรับคนอื่นๆเคล็ดวิชาระดับอมตะนั้นหายากมากและยากที่จะครอบครองอย่างไรก็ตามฉิงเฟิงไม่สนใจเพราะเขาครอบครองเคล็ดวิชาระดับอมตะสองอย่างแล้ว – ท่วงทำนองสวรรค์อมตะและกายาแดนชำระ
เมื่อได้ยินการปฏิเสธของฉิงเฟิงการแสดงออกของจักรพรรดินีนกยูงปีศาจก็เปลี่ยนไป เธอไม่เคยคิดเลยว่าฉิงเฟิงจะปฏิเสธเคล็ดวิชาระดับอมตะ
“แล้วเจ้าต้องการอะไรเป็นการแลกเปลี่ยน” เธอถามฉิงเฟิง ใบหน้าที่งดงามของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย
หลังจากใช้เวลาคิดสั้นๆฉิงเฟิงเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อผมบรรลุถึงขอบเขตจิตราชันอย่างสมบูรณ์ ผมสามารถคลายผนึกให้ท่านได้ ข้อแลกเปลี่ยนของผมคือ ท่านต้องเป็นผู้คุ้มกันของผมสามปี”
กระบวนการคิดของฉิงเฟิงนั้นง่ายมากเขาไม่ได้ขาดแคลนเคล็ดวิชาบ่มเพาะแต่สิ่งที่เขาขาดคือผู้คุ้มกันยอดฝีมือ
ฉิงเฟิงไม่ได้ประเมินค่าตนเองสูงไปบางทีสักวันหนึ่งเขาอาจจะแข็งแกร่งที่สุดในโลก แต่ในสายตาของปรมจารย์ยอดฝีมือจากดาวเคราะห์ดวงอื่น เขานับว่าอ่อนแอมาก
หากตัวตนระดับอมตะในดาวเคราะห์ที่ห่างไกลปรากฏขึ้นพวกเขาเหล่านั้นสามารถฆ่าตนเองได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งแต่ก็ยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับระดับอมตะได้
การแสดงออกของจักรพรรดินีนกยูงปีศาจเปลี่ยนไปเธอมองเขาในแง่ร้ายและคิดในใจว่าชายหนุ่มผู้นี้มั่นใจในตัวเองเกินไปที่จะขอให้เธอเป็นผู้คุ้มกัน มันราวกับว่าเขาคิดจะหาที่ตาย
ในยุคโบราณจักรพรรดินีนกยูงปีศาจเป็นจักรพรรดินีแห่งโลกปีศาจ เธอมีชื่อเสียงในด้านความสามารถ เธอสามารถเอาชนะตัวตนระดับอมตะบนโลกได้ ไม่มีใครกล้าที่จะขอให้เธอเป็นผู้คุ้มกัน ชายหนุ่มคนนี้นับเป็นคนแรก
แล้วจักรพรรดินีนกยูงปีศาจจะยอมเป็นผู้คุ้มกันของใครสักคนหรือไม่ ไม่อย่างแน่นอนเพราะเธอมีความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีของเธอ
“ท่านสาวงามความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีไม่คุ้มค่าอะไรต่อสถานการณ์ของท่านในตอนนี้หรอกมั้ง ท่านเคยถูกผนึกมาแล้วถึงห้าพันปี ท่านยังต้องการเช่นนี้อีกหรือ ?” ฉิงเฟิงพูดติดตลกกับจักรพรรดินีนกยูงปีศาจ
หลังจากขบคิดอยู่ครู่หนึ่งเธอก็พูดว่า“มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ข้าเป็นผู้คุ้มกันของเจ้าถึงสามปี ข้าให้ได้มากที่สุดก็หนึ่งปี”
ฉิงเฟิงพยักหน้าและยอมรับข้อตกลงของจักรพรรดินีนกยูงปีศาจเขารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะยอมเป็นผู้คุ้มกันของเขาถึงสามปีดังนั้นเวลาหนึ่งปีก็นับว่านานพอแล้ว แต่ในตอนนี้ฉิงเฟิงยังไม่สามารถช่วยเธอได้ มีเพียงบรรลุถึงขอบเขตจิตราชัน เขาจึงจะช่วยเธอได้
จากนั้นฉิงเฟิงก็เดินไปข้างๆกระบี่แสงสีทองและถือมันไว้ในมือ
แสงสีทองที่คมชัดเปล่งออกมาจากตัวกระบี่ราวกับแสงสีทองไหลเวียนไปทั่วพื้นผิวรังสีกระบี่ของมันทำลายบรรยากาศ
กระบี่แสงสีทองเป็นอุปกรณ์จิตวิญญาณระดับราชันข้างในนี้มีผนึกถึงเก้าชั้น ด้วยการทลายผนึกแต่ละชั้น กระบี่เล่มนี้จะพัฒนาขึ้นตามลำดับ
ยิ่งระดับสูงขึ้นพลังทำลายของมันก็จะยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัวซึ่งขอบเขตจิตราชันนั้นแตกต่างจากขอบเขตมรรคายุทธ์ระดับอื่นๆที่แบ่งออกเป็นขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลายและขั้นสูงสุด
แต่ขอบเขตจิตราชันนั้นแบ่งเป็นขอบเขตย่อยๆเก้าขั้น ด้วยระดับที่สูงขึ้นความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
มันเป็นการยากที่จะฝึกฝนจนเลื่อนขั้นในแต่ละระดับเนื่องจากแต่ละขั้นนั้นต้องใช้พลังแท้สะสมจำนวนมาก รวมไปถึงต้องใช้หินพลัง เม็ดยา วัตถุดิบสวรรค์และสมบัติปฐพี
ในตอนนี้ฉิงเฟิงอยู่เพียงแค่ระดับครึ่งก้าวก่อนจะถึงจิตราชันขั้นที่1 เท่านั้น
เขารู้ว่าสิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้ก็คือการเพิ่มพูนความแข็งแกร่งและพลังแท้ของเขา
ภายในกระบี่แสงสีทองบรรจุไว้ด้วยเคล็ดวิชากระบี่แสงสีทองมีทักษะอยู่เก้าขั้นซึ่งตอนนี้ฉิงเฟิงสามารถฝึกปรือได้เพียงทักษะแรกเท่านั้น
ทักษะแรกชื่อว่า[แสงทองท่องนภา] การจู่โจมของกระบี่แรกนั้นจะดูราวกับว่ามันปรากฏขึ้นจากฟากฟ้า ความเร็วของมันนั้นเร็วพอๆกับสายฟ้าและคงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ใดจะมีปฏิกิริยาตามทัน ฉิงเฟิงคว้ากระบี่ไว้ในมือและเริ่มฝึกฝนด้วยการเหวี่ยงกระบี่เบาๆต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปก็ถูกตัดครึ่งในเสี้ยวพริบตา
ความเร็วของกระบี่นี้เร็วกว่าที่สายตามนุษย์จะมองเห็นได้
ความสามารถในการเรียนรู้ฝึกฝนของฉิงเฟิงนั้นเยี่ยมยอดเหนือมนุษย์เพียงไม่นานเขาก็เรียนรู้กระบี่แรกได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
หลังจากเสร็จธุระฉิงเฟิงก็เดินลงมาที่ด้านล่างของภูเขา ทันทีที่เขามาถึงเขาก็ได้พบกับจ้าวเกอควางและคนอื่นๆ
ผู้นำนิกายทั้งสี่ยังคงหมดสติจากฝ่ามือของจักรพรรดินีนกยูงปีศาจอย่างไรก็ตาม จ้าวเกอควาง ปิงซีเยว่ โซวอู่หยา ฟู่โตวตี้และคนอื่นๆต่างก็ตื่นขึ้นมาแล้ว
พวกเขาถูกกดทับด้วยพลังของเต๋าสวรรค์เท่านั้นจึงหมดสติในเวลาชั่วครู่ตอนนี้เมื่อเต๋าสวรรค์หายไปพวกเขาก็ฟื้นขึ้นเป็นธรรมดา เมื่อได้เห็นออร่าจากกระบี่แสงสีทองของฉิงเฟิงจ้าวเกอควางและคนอื่นๆต่างก็ตื่นเต้นมาก
พวกเขาต้องการกระบี่แสงสีทองตอนนี้มันปรากฏอยู่ในมือของฉิงเฟิงแล้ว ดังนั้นพวกเขาต่างก็ตัดสินใจว่าจะต้องแย่งชิงมันจากมืออีกฝ่ายให้ได้
“หลี่ฉิงเฟิงมอบกระบี่แสงสีทองมา” จ้าวเกอควางแสยะยิ้มและออกคำสั่งต่อฉิงเฟิง
ไม่ได้มีเพียงแค่จ้าวเกอควางเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงปิงซีเยว่ โซวอู่หยาและฟู่โตวตี้ ทุกคนมองไปที่ฉิงเฟิงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่า ความตั้งใจของพวกเขาแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดแจ้ง พวกเขาต้องการบีบบังคับให้ฉิงเฟิงมอบกระบี่แสงสีทอง
“เฮอะ”
ฉิงเฟิงแสยะยิ้มเล็กน้อยและเดินไปข้างหน้าพร้อมกับกระชับกระบี่แสงสีทองในมือไว้แน่นจิตสังหารแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขา ฉัวะ
!
ฉิงเฟิงพลิกข้อมือและฟาดกระบี่ตรงไปหาจ้าวเกอควางในทันที
กระบี่แสงสีทองเปล่งออร่าแหลมคมออกมาในขณะที่มันพุ่งเข้าทำลายกระบี่ยาวของจ้าวเกอควางในเสี้ยวพริบตา
จ้าวเกอควางยังไม่ได้ปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อยก่อนที่กระบี่ของเขาจะถูกทำลาย
หลี่ฉิงเฟิงแข็งแกร่งเกินไป,ไม่สิ ต้องกล่าวว่ากระบี่แสงสีทองรวดเร็วเกินไปต่างหาก มันทำให้จ้าวเกอควางไม่มีเวลาตอบสนองได้ทัน !
“อะไร เจ้าทำลายกระบี่ของข้าตอนไหน !?” เมื่อได้เห็นกระบี่ที่หัก จ้าวเกอควางก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง