My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา - ตอนที่ 534
“พี่เสี่ยวเหมย, หลี่ฉิงเฟิงน่าเหลือเชื่อมาก เขาไม่เพียงแค่เอาชนะหลิวเฟยเหยียนแต่ยังเอาชนะผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดอีกด้วย !” หวังเสี่ยวลี่กล่าว
เธอร่ายยาวถึงความสำเร็จของฉิงเฟิงให้พี่สาวของเธอฟังทั้งหมด เพราะเธอรู้ว่าฉิงเฟิงเป็นคนที่พี่สาวของเธอชื่นชม หวังเสี่ยวเหมยรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยิน
“ฮิๆ ฉันรู้อยู่แล้วว่าพี่ใหญ่หลี่พิเศษมาก แย่จังที่ฉันกำลังจะตาย..และคงไม่มีโอกาสได้พบเขาอีกต่อไป..” หวังเสี่ยวเหมยเปลี่ยนจากความสุขมาเป็นความเศร้าโศกเมื่อเธอนึกถึงอาการป่วยของเธอ
เธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งและตอนนี้เธอต้องคอยรับการรักษาตลอดเวลา
เธอเคยคิดว่ามีเพียงคนอายุ 60-70 ปีถึงจะเป็นมะเร็ง เธอไม่เคยคาดคิดเลยว่าตัวเองจะเป็นโรคมะเร็งตั้งแต่ยังสาว เธอเพิ่งจะอายุ 20 กว่าปีเท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงชีวิตที่เบ่งบานที่สุดของคนๆหนึ่ง
ฉิงเฟิงเพิ่งมาถึงประตูห้องและได้ยินการสนทนาพอดี เขารู้สึกเสียใจเมื่อได้ยินที่หวังเสี่ยวเหมยกล่าว เขามีความรู้สึกที่ดีต่อผู้หญิงคนนี้
“หวังเสี่ยวเหมย, ฉันมาเยี่ยมเธอแล้ว” ฉิงเฟิงเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับตะกร้าผลไม้ในมือ
“พี่ใหญ่หลี่ คุณมาแล้วเหรอ” หวังเสี่ยวเหมยรู้สึกตื่นเต้นเมื่อเห็นฉิงเฟิงมาเยี่ยม ขณะที่ใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอเริ่มมีสีสันเล็กน้อย
ฉิงเฟิงวางตะกร้าผลไม้ไว้ข้างๆเตียง จู่ๆเขาก็รู้สึกสับสนเมื่อมองที่ผิวพรรณของหวังเสี่ยวเหมย
เขาตรวจสอบอาการของหวังเสี่ยวเหมยด้วยเทคนิคการสังเกตของแพทย์แผนจีนและพบว่าเธอดูมีสุขภาพดีไม่เหมือนผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งแม้แต่น้อย
ในทางการแพทย์แล้วคนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งมักจะผอมแห้งและดูบอบบาง คนเหล่านั้นจะมีอาการผมร่วงและดูเหนื่อยง่ายอีกด้วย แต่หวังเสี่ยวเหมยนั้นถึงแม้สีหน้าเธอจะดูซีดเซียว ดูเหมือนว่าเธออ่อนแอกว่าคนทั่วไปเท่านั้นเอง
“หวังเสี่ยวเหมย เธอรู้ได้อย่างไรว่าเธอเป็นมะเร็ง ?” ฉิงเฟิงถามขณะที่ขมวดคิ้ว
หวังเสี่ยวเหมยตอบขณะที่เธอแทบจะน้ำตาไหล “ฉันได้รับการวินิจฉัยจากคุณหมอหลิวว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก เขากล่าวว่าฉันจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เกินกว่า 3 เดือน”
มะเร็งปากมดลูก ?
ฉิงเฟิงคุ้นเคยกับการแพทย์แผนจีนและรู้ว่ามะเร็งปากมดลูกเป็นอย่างไร มันเป็นโรคที่ยากจะรักษา ไม่เพียงแค่มะเร็งปากมดลูกเท่านั้นที่รักษายาก แต่โรคมะเร็งชนิดอื่นๆก็เช่นกัน จนถึงปัจจุบันไม่มีใครสามารถค้นพบวิธีการรักษาโรคร้ายแรงดังกล่าวนี้ได้เลย แพทย์สามารถทำได้เพียงประคองชีวิตของผู้ป่วยได้ชั่วคราวโดยการใช้เคมีบำบัด(คีโม)หรือยาเสพติดบางประเภท
“หวังเสี่ยวเหมย เธอรู้สึกเจ็บปวดตามร่างกายของเธอตั้งแต่เมื่อใด อาการเป็นอย่างไรบ้าง ?” ฉิงเฟิงถามหวังเสี่ยวเหมย
“พี่ใหญ่หลี่ ฉันรู้สึกเจ็บปวดตามร่างกายตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ฉันรู้สึกอ่อนเพลียและไม่มีกำลังใจในการทำอะไรเลย … ” หวังเสี่ยวเหมยเริ่มอธิบายอาการของเธอต่อฉิงเฟิง เธอรู้สึกมีความสุขถึงแม้ว่าจะเป็นการบอกอาการป่วยของเธอให้เขาฟังก็ตาม เพราะมันแสดงออกว่าเขากำลังเป็นห่วงเธอ
นี่ไม่ใช่อาการของคนเป็นโรคมะเร็งนี่นา
ฉิงเฟิงขมวดคิ้วหลังจากที่เขาได้ฟังหวังเสี่ยวเหมยอธิบายอาการของเธอ จากที่เขาฟังมาก อาการของเธอไม่ได้เหมือนคนเป็นโรคมะเร็งแม้แต่น้อย
ฉิงเฟิงตรวจสอบสภาพร่างกายของหวังเสี่ยวเหมยอีกครั้งด้วยทักษะการสังเกตของเขาน่าประหลาดใจที่เขาพบว่ามีเนื้องอกภายในร่างกายของหวังเสี่ยวเหมยและมีขนาดใหญ่เท่ากับกำปั้น อย่างไรก็ตาม เนื้องอกนี้ไม่ใช่เนื้อร้ายจนพูดได้ว่าเป็นเนื้องอกของมะเร็ง
ไอ้หมอเก๊เอ้ย !
ฉิงเฟิงสบถในใจ แพทย์ที่วินิจฉัยอาการของหวังเสี่ยวเหมยนั้นต้องหมอปลอมหรือไม่ก็หมอที่ไร้ความรู้อย่างแน่นอนถึงวินิจฉัยอาการมั่วซั่วได้ขนาดนี้
ในด้านการแพทย์นั้นจะมีการวินิจฉัยว่าเนื้องอกนั้นเป็นมะเร็งก็ต่อเมื่อเนื้องอกนั้นเป็นเนื้อร้ายเท่านั้น อย่างไรก็ตามเนื้องอกธรรมดาสามารถรักษาให้หายได้และไม่มีอันตรายใดๆต่อร่างกาย
อย่างไรก็ตาม แพทย์บางคนที่ไร้ประสบการณ์อาจจะไม่สามารถแยกแยะระหว่างเนื้องอกมะเร็งและเนื้องอกทั่วไปได้ หวังเสี่ยวเหมยได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของหมอกำมะลอ
ในขณะเดี๋ยวกัน มีหมอหนุ่มคนหนึ่งในชุดกราวน์สีขาวเดินเข้ามา เขามีอายุประมาณ 20 ปีและเพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทย์
ถึงกระนั้นก็ตาม ฉิงเฟิงก็เริ่มของขึ้นทันทีเมื่อได้ยินแพทย์หนุ่มคนนี้เอ่ยปากพูด หมอคนนี้ก็คือหมอที่วินิจฉัยมะเร็งของหวังเสี่ยวเหมยนั่นเอง
“คุณหวังเสี่ยวเหมย เราไม่สามารถถ่วงเวลาได้อีกต่อไปแล้วนะครับ เริ่มต้นการรักษาด้วยคีโมวันนี้เลยนะ” หมอหนุ่มกล่าว
หวังเสี่ยวเหมยดูหวาดกลัว เธอกล่าวว่า “คุณหมอหลิวคะ ไม่ทำได้มั้ย… ?”
หวังเสี่ยวเหมยศึกษาเกี่ยวกับอาการของคนป่วยโรคมะเร็งมาเล็กน้อยตั้งแต่ที่เธอรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง เธอรู้ว่าเมื่อเธอทำคีโมผมของเธอก็จะร่วงจนหมด
เธออยากจะดูน่ารักเช่นนี้ต่อไปและไม่อาจทนเห็นผมยาวสลวยของเธอต้องร่วงหล่นได้ มันดูน่าเกลียดมาก
“คุณหวังเสี่ยวเหมย คุณสามารถยื้อชีวิตของคุณต่อไปได้ด้วยการทำคีโมเท่านั้นนะครับ คุณอย่าเอาความสวยความงามไปแลกกับชีวิตของคุณเลย”
ไอ้สันขวานเอ้ย ! หมอเก๊ ! แกวินิจฉัยโรคให้หวังเสี่ยวเหมยผิดพลาดยังไม่พอ แต่แกยังจะบังคับให้เธอทำคีโมอีกเหรอ ?
ฉิงเฟิงเริ่มโกรธเกรี้ยวมาก เขาคิดในใจ
“เฮ้ย ไอ้หนุ่มชุดขาวคนนั้นน่ะ นายชื่ออะไร?” ฉิงเฟิงทนไม่ไหวจนเอ่ยปากถามขณะที่จ้องมองไปที่หมอหนุ่มคนนั้น
หมอหนุ่มคนนั้นไม่ได้สังเกตเห็นฉิงเฟิงจนถึงขณะนี้ แต่เขาก็ยังคงตอบคำถามฉิงเฟิง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่พอใจกับคำพูดคำจาของฉิงเฟิง
“ผมชื่อหลิวหมิง ผมเป็นหมอของหวังเสี่ยวเหมย”
“หลิวหมิง ใช่มั้ย ? ฉันถามหน่อย ใครบอกนายว่าหวังเสี่ยวเหมยเป็นโรคมะเร็ง ? นายเรียนคณะอะไร ? เรียนจบมาได้ยังไงวะ ?” ฉิงเฟิงสบถอย่างหยาบคายไปที่หมอหนุ่มหลิวหมิง
หลิวหมิงหน้าบูดบึ้งด้วยความโกรธเมื่อได้ยินที่ฉิงเฟิงกล่าวว่า
“คุณหมายถึงอะไร ? ผมนี่แหละเป็นคนที่วินิจฉัยว่าหวังเสี่ยวเหมยเป็นมะเร็ง และผมก็เพิ่งจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยแพทยปีนี้”
“เฮอะ ! งั้นฉันจะบอกนายให้ เนื้องอกในร่างกายของหวังเสี่ยวเหมยไม่ใช่มะเร็ง มันเป็นเนื้องอกที่ไม่เป็นอันตราย นายวินิจฉัยภาษาบ้าอะไร ? โกงข้อสอบจนเรียนจบหรือไง เรื่องแค่นี้ยังไม่รู้ !?” ฉิงเฟิงสบถและเย้ยหยันหลิวหมิงอย่างดุเดือด
ฉิงเฟิงรู้สึกโกรธหลิวหมิงมาก ขอบคุณพระเจ้าที่เขาได้มาเยี่ยมหวังเสี่ยวเหมยวันนี้ มิฉะนั้นเธอจะต้องตายจากการรักษาโดยหมอโง่ๆคนนี้
อะไรนะ ? ฉันไม่ได้เป็นโรคมะเร็งหรอกหรือ ?
หวังเสี่ยวเหมยดูประหลาดใจและแปลกใจมาก
ไม่ใช่ว่าหมอหลิววินิจฉัยว่าฉันเป็นโรคมะเร็งหรอกเหรอ ? แล้วทำไมพี่ใหญ่หลี่ถึงบอกว่าฉันไม่ได้เป็น ?
ฉิงเฟิงอธิบายให้หวังเสี่ยวเหมยฟังเ พราะดูเหมือนว่าเธอจะสับสนในสิ่งที่เขากล่าว
“เสี่ยวเหมยเธอป่วยจริงๆ แต่เนื้องอกของเธอไมใช่เนื้อร้าย ดังนั้นมันไม่ใช่โรคมะเร็ง ฉันสามารถรักษาให้เธอได้”
หวังเสี่ยวเหมยดูแปลกใจและถามขึ้นว่า “จริงๆเหรอพี่ใหญ่หลี่ !? คุณไม่ได้โกหกหรือหลอกให้ฉันดีใจใช่ไหม ?
ฉิงเฟิงพยักหน้าและกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ฉันจะเอาชีวิตเธอมาล้อเล่นเพื่ออะไร ?”
หลิวหมิงดูเหมือนไม่ค่อยพอใจกับเรื่องนี้ เขาเพิ่งจะวินิจฉัยว่าหวังเสี่ยวเหมยเป็นโรคมะเร็ง แต่ชายคนนี้กล่าวว่าเขาวินิจฉัยผิด นี่มันหมายความว่ายังไง ? เขาไม่เชื่อคำพูดหมอหรือไง ?
“คุณชื่อหลี่ฉิงเฟิงใช่ไหม ? ผมวินิจฉัยเธอและตรวจสอบผลโดยอุปกรณ์ทางการแพทย์แล้ว หวังเสี่ยวเหมยเป็นมะเร็ง คุณกำลังกุเรื่องขึ้น ผมจะเอาเรื่องคุณแน่และผมจะไม่ยอมให้คุณปัดความรับผิดชอบจากเรื่องนี้ !”
หลิวหมิงตะโกนใส่ฉิงเฟิงในขณะที่มองเขาอย่างมืดครึ้มด้วยความโกรธ