My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา - ตอนที่ 619
ตอนที่ 619 ก้าวแรกสู่ขั้นใต้สวรรค์ !
แปล Tarhai
“ฉิงเฟิง ข้าคิดว่าเจ้าควรจะพักอยู่ที่เขาตั้งและฝึกฝนวิทยายุทธ์ไปก่อนสัก 2-3 วัน จาก นั้นค่อยกลับเมืองทะเลตะวันออกหลังจากอาการบาดเจ็บทุเลาะลง” ลู่เต๋าซางกล่าวกับฉิงเฟิง
” ขอบคุณท่านเจ้าอาวาส ต้องขออภัยด้วยหากทําให้พวกท่านไม่สะดวกในช่วงสองสามวันนี้” ฉิงเฟิงกล่าวขอบคุณ ในใจของเขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
เมื่อนึกถึงหลินเสวี่ยและหลิวหรูหยานที่ยังคงอยู่ในห้อง ฉิงเฟิงคิดว่าเขาไม่ควรกลับไปตอนนี้ เพราะเมื่อพวกเธอทั้งสองเห็นเขาก็คงจะทะเลาะเบาะแว้งกันอีกและจะยิ่งทําให้การฝึกของเขาล่าช้าไปอีก
” ซวนจี้ นายกลับไปที่ห้องและบอกหลินเสวี่ยกับหลิวหรูหยานว่าฉันจะอยู่ที่นี่สักสองสามวัน คงไม่ได้เจอพวกเธอสักระยะหนึ่ง” ฉิงเฟิงกล่าวกับลู่ซวนจี่
ลู่ซวนจี่เปิดปากของเขาราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็หุบปากลง เมื่อเห็นฉิงเฟิงจ้องเขม็งอย่างดุร้าย เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคาบข่าวไปบอกสาวงามทั้งสองตามนี้ แต่พอนึกถึงการทะเลาะกันของพวกเธอ ลู่ซวนจี้ก็รู้สึกปวดกบาล
” ท่านเจ้าอาวาส ผมสามารถเริ่มฝึกวิทยายุทธ์ได้เลยหรือเปล่า?” ฉิงเฟิงถาม
” แน่นอน แต่ว่าวิทยายุทธ์จากในคัมภีร์เล่มนี้อย่างเย็นยิ่ง เจ้าต้องเตรียมตัวให้ดี”
ลู่เต๋าซางกล่าว
เมื่อได้รับอนุญาตจากลู่เต๋าซางแล้วฉิงเฟิงก็นั่งบนเบาะรองนั่งและเริ่มพลิกอ่านหน้าแรกของเนื้อหาในขั้นใต้สวรรค์
ระดับแรกของขั้นใต้สววรรค์คือการบ่มเพาะการออกกําลังผ่านทางผิวหนัง ซึ่งก็เป็นไปตามชื่อ มันคือออกกําลังกายทางผิวหนัง เพราะผิวหนังของมนุษย์นั้นสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอกมากที่สุด และก็เป็นจุดแรกที่จะได้รับบาดเจ็บอีกด้วย เพราะฉะนั้นก้าวแรกคือการฝึกฝนผิวหนังให้แข็งแกร่งราวกับกําแพงเหล็ก!
ฉิงเฟิงลองหายใจตามรูปแบบแปลกๆจากคําแนะนําในคัมภีร์ ซึ่งเทคนิคนี้แตกต่างจากการหายใจแบบทั่วๆไป มันดูพิเศษเล็กน้อย
เมื่อฉิงเฟิงลองเริ่มฝึก ทั่วทั้งร่างกายของเขาก็รู้สึกอึดอัดเนื่องจากกลั้นลมหายใจเอาไว้ ราวกับว่ามีใครกําลังอุดจมูกของเขาหรือราวกับจมอยู่ใต้น้ํา
ในทุกครั้งที่หายใจเข้าต้องกลั้นลมหายใจ 3 นาที หลังจากผ่านไปสักพัก ทั้งใบหน้าและร่างกายของฉิงเฟิงก็กลายเป็นสีแดงเพราะกลั้นลมหายใจจนทนไม่ได้
ลู่เต๋าซางที่นั่งอยู่บนเบาะไม่ไกลนักเห็นใบหน้าแดงก่ําของฉิงเฟิงเขาก็หัวเราะเบาๆ เพราะเขาก็มีประสบการณ์แบบเดียวกันในช่วงที่ฝึกตอนแรกๆ
ลู่เต๋าซางปิดตาปิดประสาทสัมผัสทั้งหมดและตัดสินใจที่จะไม่รบกวนการฝึกของฉิงเฟิงอีก เนื่องจากเขารู้ดีถึงความยากลําบากในช่วงแรกของกระบวนการฝึก สําหรับปุถุชน การฝึกฝนวิทยายุทธ์โบราณเหมือนเป็นขอบเขตใหม่ คนผู้นั้นต้องเริ่มฝึกตั้งแต่เริ่มแรก
ฉิงเฟิงพยายามหลายต่อหลายครั้ง แต่ในทุกๆครั้งที่ฝึกเขาก็ไม่สามารถกลั้นหายใจได้นานกว่าสามนาที ขั้นแรกของการฝึกออกกําลังทางผิวหนังดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ถึงแม้ว่าฉิงเฟิงจะล้มเหลวซ้ําแล้วซ้ําเล่าแต่เขาก็ไม่ย่อท้อ หากเรื่องเหล่ามันทํากันได้ง่ายๆปานนี้ พวกนักเลงที่เขาพบเจอตามท้องถนนคงเป็นยอดยุทธ์โบราณกันไปหมดแล้ว
การฝึกฝนวิทยายุทธ์จําเป็นต้องมีไหวพริบและความฉลาดทางธรรมชาติสูงมาก หากปราศจากพรสวรรค์และความรู้ความเข้าใจก็จะไม่สามารถฝึกฝนได้อย่างสมบูรณ์แม้ว่าจะฝึกไปแค่ไหนก็ตาม
หลี่ฉิงเฟิงมีพรสวรรค์หรือไม่ ? แน่นอนว่าเขามี แล้วความเข้าใจละ? เขาก็มีเช่นกัน
เพราะถ้าหากหลี่ผิงเฟิงผู้นี้ไม่มีไหวพริบและพรสวรรค์เขาจะขึ้นเป็นวูฟคิง ราชาอันดับหนึ่งที่ยืนอยู่เหนือปุถุชนนับล้านๆคนได้อย่างไร ?
แต่ว่าการฝึกวิทยายุทธ์โบราณนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มันเป็นดั่งภูเขาสูงชันเสียดฟ้าที่เขาจะต้องค่อยๆปีนป่ายขึ้นไป เขาเพิ่งจะเริ่มสัมผัสกับขอบเขตนี้ได้ไม่กี่วัน เขาต้องเริ่มจากศูนย์ นี่นับเป็นอีกขอบเขตหนึ่งแห่งเส้นทางศิลปะการต่อสู้ ซึ่งในขอบเขตนี้เขาคือผู้อ่อนแอที่สุด
เทียบกับการปีนเขา เฮยหวู่ชางปืนไปถึงไหล่เขาแล้ว แต่ฉิงเฟิงเพิ่งจะเริ่มเตรียมอุปกรณ์ปืน เขายังอยู่ล่างสุด ซึ่งการปีนภูเขาฝึกวิทยายุทธ์พวกนี้เป็นไปได้ยากมากที่จะปีนขึ้นไป มันยิ่งกว่าภูเขาแห่งการฝึกฝนใดๆ
ฉิงเฟิงมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาเป็นคนที่มีไหวพริบสูงมาก
เขาเริ่มนึกทบทวนรายละเอียด จุดสําคัญใหญ่ๆในการฝึกฝนเคล็ดวิชาต่างๆที่ผ่านมาในอดีตของเขา มองเห็นทั้งความผิดพลาดและปัญหา เขารู้ว่าวิทยายุทธ์โบราณแตกต่างจากศิลปะการต่อสู้ใดๆแบบสิ้นเชิง เขาต้องละทิ้งแนวคิดเดิมก่อนหน้านี้ทั้งหมด
แม้แต่คนคนหนึ่งยังมีวิธีการขับรถไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นรถอะไรก็ตาม แต่ทว่า แม้การขับไม่เหมือนกัน แต่คอนเซ็ปก็เหมือนกันคือ สตาร์ทรถ เข้าเกียร์ เหยียบคันเร่ง
ซึ่งศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดในปัจจุบันนี้ต่างก็มุ่งเน้นไปที่การออกกําลังกายเพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการชกกระสอบทราย ยกเวท ฯลฯ แต่วิทยายุทธ์โบราณใช้การออกกําลังผ่านทางผิวหนัง ผ่านเคล็ดการกําหนดลมหายใจเพื่อก่อรูปแบบพลังพิเศษขึ้น
การหายใจ
การหายใจ… ใช่แล้ว ! ฉันต้องควบคุมวิธีการหายใจใช่ไหมนะ ?
ดวงตาของฉิงเฟิงสว่างวาบขึ้น เขารู้สึกราวกับว่าเขาได้ค้นพบบางสิ่งที่สําคัญ
มันเป็นความรู้ทั่วไปที่มนุษย์ทุกคนจะต้องหายใจผ่านจมูก แต่ถ้าเป็นสัตว์และพืชบางชนิดละ ? ปลาหายใจผ่านเหงือกและพืชใช้ออกซิเจนผ่านราก ใบ ลําต้น ดอกไม้และผลไม้
พืชมีความสามารถในการหายใจผ่านทุกส่วนของร่างกาย แต่มนุษย์ถือเป็นสายพันธุ์ที่สูงส่งกว่าพืชมากนัก แล้วจะเป็นไปได้หรือไม่ที่มนุษย์จะหายใจผ่านทุกส่วนของร่างกายเหมือนพืช?
ส่วนไหนของร่างกายมนุษย์ที่สัมผัสกับอากาศ? ย่อมเป็นผิวหนังอย่างแน่นอน ถ้าทําให้ผิวหนังมีความคล้ายคลึงกับราก ใบ ดอกและผลของพืช มันจะทําให้หายใจได้เหมือนพืชหรือเปล่า?
เมื่อคิดได้ดังนี้ ฉิงเฟิงก็เริ่มทําตามเทคนิคการหายใจจากคัมภีร์จักรพรรดิยุทธ์ทันที แต่คราวนี้ เขาพยายามหายใจผ่านทางผิวหนังไม่ใช่จมูก
ผิวหนังมีรูขุมขนมากมายซึ่งเชื่อมต่อกับร่างกาย ภายใต้กล้องจุลทรรศน์จะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารูขุมขนของมนุษย์เคลื่อนไหวไปมาได้อย่างอิสระ
หลังจากฉิงเฟิงลองทําตามได้สักพัก มันกลับได้ผลจริงๆ ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนังของเขา
ฉิงเฟิงปิดจมูกและปากของเขาทันทีโดยหายใจผ่านผิวหนังและเขาก็ประสบความสําเร็จ ผมไม่ต้องหายใจทางจมูกเลยตลอดสิบนาที !
สิบนาที นี่เป็นตัวเลขที่น่าฟัง เพราะคนเราใช้จมูกในการหายใจจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะกลั้นลมหายใจไว้ได้ถึงสิบนาที แต่ผิวนั้นแตกต่างกัน ผิวหนังของมนุษย์มีขนาดใหญ่มากและครอบคลุมทั้งร่างกาย การหายใจผ่านทางผิวหนังก็เหมือนมีพื้นที่เก็บออกซิเจนขนาดใหญ่ ซึ่งไม่เพียงแค่ออกซิเจนเท่านั้น แต่เรายังสามารถกักเก็บพลังงานไว้ในผิวหนังได้อีกด้วย
ดูผิวเผินการฝึกวิทยายุทธ์ของฉิงเฟิงด้วยการหายใจผ่านผิวหนังเหมือนจะสมบูรณ์แบบแล้ว และจบขั้นตอนแรกแล้ว แต่ความจริงไม่ใช่เลย ความจริงเทคนิคนี้จุดประสงค์คือต้องการให้ผู้ฝึกได้กักเก็บพลังงานพิเศษบางอย่างที่อยู่ภายในบรรยากาศรอบๆ พลังงานเหล่านี้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่มันก็มีอยู่จริง
พลังงานพิเศษบางอย่างไหลไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาผ่านเทคนิคการหายใจทางผิวหนัง ความร้อนของผิวทําให้มันขับของเสียที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกาย เช่น ฝุ่นและน้ํามันออกจากร่างกาย นี่เป็นวิธีที่ดีกว่าการอาบน้ําร้อน สปา หรือการนวดด้วยซ้ํา
ระหว่างกระบวนการขับของเสีย ผิวหนังของฉิงเฟิงกลายเป็นสีแดงราวกับผิวทารก ขาวอวบ อิ่ม เปล่งประกายแสงสีขาวจางๆออกมา ผิวของเขาได้รับพัฒนาไปอย่างใหญ่หลวงทั้งด้านความทนทานและต้านทานต่อการบาดเจ็บภายนอก
พร้อมกับเวลาที่ผ่านไปของการฝึกฝนหายใจทางผิวหนัง ก็มีคราบสกปรกสีดําที่นอกเหนือไปจากฝุ่น หลุดลอกออกจากผิวของเขา
คราบสกปรกสีดําเหล่านี้ไม่ใช่ฝุ่น แต่เป็นเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วและเศษสกปรกจากชั้นลึกใต้ผิว ซึ่งการอาบน้ําร้อนหรือขัดผิวไม่สามารถทําให้มันหลุดออกมาได้ วิธีเดียวที่จะขจัดของเสียเหล่านี้ ก็คือผ่านเทคนิคการหายใจทางผิวหนัง
เนื่องจากพวกมันถูกกักเก็บไว้ในร่างกายเป็นเวลานานเกินไป สิ่งสกปรกเหล่านี้จึงออกมาเป็นน้ํามันดํา โดยส่งกลิ่นเหม็นออกมาตลอดกระบวนการ
ลู่เต๋าซางเปิดตาของเขาทันทีหลังจากที่ได้กลิ่นเหม็นโชยมาจากอากาศ เมื่อเขาเห็นสิ่งสกปรก และเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วที่ถูกขับออกจากผิวของฉิงเฟิง ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตะลึง
ผู้บ่มเพาะอัจฉริยะ…. หลี่ฉิงเฟิงผู้นี้เป็นอัจฉริยะในการฝึกฝนที่น่าตื่นตระหนกอย่างพลิกฟ้า คว่ําดิน ภายในระยะเวลาอันสั้นเขาสามารถควบคุมการหายใจผ่านผิวหนังได้แล้ว !