My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา - ตอนที่ 721 ข้อมูลจากลั่วหนี่ซาง
- Home
- My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา
- ตอนที่ 721 ข้อมูลจากลั่วหนี่ซาง
เมื่อได้ยินเสียงของลั่วหนี่ซางฉิงเฟิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ลึกลงไปในใจเขารู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยที่เสียมารยาทต่อเธอ
ตอนที่อยู่เมืองเทียนจิงในงานประมูลผู้ฝึกยุทธ์ ลั่วหนี่ซางช่วยเหลือเขาไว้มาก เธอช่วยทำให้เขาได้รับโลหิตมังกรมาจนความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น แต่เมื่อกี้เขาหงุดหงิดจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่และขึ้นเสียงด่าทอต่อเธอไป เขารู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย
มันก็ใช่ที่ฉิงเฟิงจะหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดีเนื่องจากหลินเสวี่ยยังไม่ฟื้นแต่นี่เป็นปัญหาของตัวเขาเอง มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับลั่วหนี่ซางแม้แต่นิดเดียว เขาไม่ควรเอาความหงุดหงิดไปลงต่อเธอ
“มิสลั่วฉันขอโทษด้วย ฉันอารมณ์ไม่ดีเลยเผลอพูดจาไม่เข้าหูไป โปรดยกโทษให้ฉันด้วย” ฉิงเฟิงกล่าวขอโทษออกมา เนื่องจากเป็นความผิดของตนเองเขาจึงกล่าวขอโทษอย่างรวดเร็วและยอมรับความผิด
ลั่วหนี่ซางกล่าวว่า“ภรรยาของคุณยังไม่ฟื้นหรือ ”
ฉิงเฟิงถอนหายใจและกล่าวว่า“เพื่อจะทำให้เธอฟื้น ฉันต้องอาศัยความช่วยเหลือจากอดีตประธานสมาคมการแพทย์ จางหยุนเหอ แต่เขามีเงื่อนไข ฉันต้องรักษาขาของเขาก่อน ซึ่งกระบวนการนั้นฉันต้องการพืชชนิดหนึ่งชื่อว่าเถาวัลย์อีกาดำ แต่จากที่สืบข่าวมาพืชชนิดนี้สูญพันธุ์ไปแล้ว ”
เถาวัลย์อีกาดำ
ลั่วหนี่ซางขมวดคิ้วและกล่าวว่า“วูฟคิง ถ้าเป็นเรื่องอื่นชั้นอาจจะช่วยคุณไม่ได้ แต่ถ้าคุณกำลังตามหาเถาวัลย์อีกาดำ ชั้นช่วยคุณได้นะ”
“มิสลั่วคุณรู้เหรอว่าเถาวัลย์อีกาดำอยู่ที่ไหน !” ใบหน้าของฉิงเฟิงเปลี่ยนไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
ลั่วหนี่ซางพยักหน้าและกล่าวทางโทรศัพท์ว่า“คุณยังจำเรื่องแผนที่หลุมฝังศพของยอดยุทธ์ระดับแกรนด์มาสเตอร์ที่เจียงไป่เต๋าประมูลไปได้ใช่ไหม เถาวัลย์อีกาดำอยู่ภายในสุสานนั้นแหละ”
ฉิงเฟิงเริ่มมีความสุขขึ้นเล็กน้อยเขารู้ว่าจะมีการเปิดหลุมศพแกรนด์มาสเตอร์ขึ้นในไม่ช้านี้ ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมยอดยุทธ์ระดับแกรนด์มาสเตอร์จะแตกต่างจากยอดยุทธ์ทั่วไป แม้แต่พืชที่สูญพันธุ์ไปแล้วอย่างเถาวัลย์อีกาดำก็ยังมีในความครอบครอง
“มิสลั่วพวกเราจะไปหลุมฝังศพนั้นกันเมื่อไหร่ ”
“ที่ชั้นโทรมาหาคุณก็เพื่อจะบอกเรื่องนี้แหละหลุมฝังศพจะเปิดขึ้นพรุ่งนี้ พวกเราไปด้วยกันได้”
“ดีมากรอฉันที่นั่นละ ฉันจะมุ่งหน้าไปเมืองเทียนจิงเดี๋ยวนี้” ฉิงเฟิงวางสายไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสุข
นี่เป็นพรจากพระเจ้าจริงๆความพยายามของเขาทั้งหมดไม่ได้สูญปล่า ! ฉิงเฟิงค้นหาไปทั่วทั้งหัวเซี่ยแต่ก็ไม่อาจพบเบาะแสของมันแม้แต่น้อยแต่ในขณะที่อยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง ลั่วหนี่ซางก็บอกข่าวที่น่ายินดีว่าพืชชนิดนี้อยู่ในหลุมฝังศพแกรนด์มาสเตอร์ เขามีความสุขมากจนแทบจะตายด้วยความตื่นเต้น
ฉิงเฟิงฝากฝังเรื่องราวต่างๆในเมืองตงไห่ให้แก่ทีมเขี้ยวหมาป่าและสั่งให้เหมียวซิยี้คอยดูแลปกป้องหลินเสวี่ยในขณะที่เขาไม่อยู่
ฉิงเฟิงขับรถเร็วมากด้วยความตื่นเต้นและมาถึงตอนสิบเอ็ดโมงเช้า
ตระกูลลั่วเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลของเหล่ายอดยุทธ์โบราณพวกเขาหยั่งรากลึกในเมืองนี้และทรงอำนาจมาก อีกทั้งยังเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญวิทยายุทธ์
คฤหาสน์ของตระกูลลั่วตั้งอยู่บนที่ดินผืนใหญ่ครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยไร่ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสีทองทำให้ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยความหรูหราอลังการอย่างยิ่ง
แม้แต่ประตูก็ทำจากทองคำที่ดูแวววาวและเต็มไปด้วยความสง่างาม
จำเป็นต้องกล่าวว่าตระกูลลั่วชอบสีทองบ้านประมูลของพวกเขาทำด้วยทองคำ บัตรวีไอพีของบริษัทในเครือของตระกูลก็ทำด้วยทองดำ ในและขณะนี้ฉิงเฟิงก็เห็นคฤหาสน์หลังโตและประตูของตระกูลลั่วก็ทำจากทองคำเช่นกัน
ที่หน้าประตูมียามสี่คนทั้งสี่คนนี้ต่างก็ตัวสูงใหญ่ พวกเขามีร่างกายที่แข็งแกร่งและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อทุกส่วนสัด คุณสามารถบอกได้ว่าพวกเขากำลังเก็บซ่อนพลังที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยายุทธ์อย่างชัดเจน
เมื่อฉิงเฟิงก้าวออกจากรถของเขาเขาก็ถูกยามทั้งสี่คนขวางทางไม่ให้เข้าไปด้านในทันที
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ! ที่นี่เป็นเขตหวงห้าม ไม่ใช่ใครก็สามารถเข้าไปได้ !”
ยามผมสั้นคนแรกขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเย็นชา รถBMW ของฉิงเฟิงมีมูลค่ากว่า 500,000 หยวน (สองล้านห้าแสนบาท) โดยปกติแล้วคนที่ขับรถประเภทนี้ถือว่าเป็นคนรวยอย่างมาก แต่สำหรับตระกูลลั่ว 500,000 หยวนนั้นไม่มีอะไรต่างจากจักรยานราคา 300 หยวนแม้แต่น้อย
ควรจะรู้ก่อนว่าตระกูลลั่วไม่ใช่แค่หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แต่พวกเขาเป็นตระกูลของผู้ฝึกวิทยายุทธ์อีกด้วย ตระกูลนี้ตั้งตะหง่านในประเทศมาได้มากกว่าพันปี ผ่านการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์มานับไม่ถ้วน พวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมและธุรกิจใหญ่ต่างๆในหัวเซี่ยมากมายและครอบครองทรัพย์สมบัติมหาศาลซึ่งมีมูลค่าสุทธิกว่าล้านล้านหยวน
ถ้าพูดถึงว่าทำไมพวกเขาไม่ติดอันดับตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศเหตุผลนั้นง่ายมาก พวกเขาไม่ได้แคร์เรื่องนั้นแม้แต่น้อย เพราะพวกเขามองว่ามันเป็นแค่การจัดอันดับที่ต้อยต่ำในโลกของฆราวาส พวกเขาคือตระกูลผู้ฝึกยุทธ์ที่เร้นตัวตนจากโลกภายนอก ถ้าหากวัดจริงๆขึ้นมาความมั่งคั่งของพวกเขาพอๆกับประเทศๆหนึ่งเลยทีเดียว !
ถึงแม้ว่าจะรวบรวมความมั่งคั่งและทรัพย์สินของทุกคนในรายชื่อบุคลที่รวยที่สุดในโลกทั้งหมดมารวมกันก็อาจจะไม่เท่าความมั่งคั่งของตระกูลลั่วด้วยซ้ำเพียงแต่พวกเขาทำตัวสมถะและไม่ประเจิดประเจ้อ แม้กระทั่งในแวดวงข่าวสารก็ยังไม่กล้าเขียนข่าวถึงพวกเขา
มีคนกล่าวไว้ว่าผู้ที่ร่ำรวยจริงๆจะไม่ยอมให้คุณรู้ว่ารวยแต่คนที่ไม่ได้รวยจริงมักจะชอบโชว์ให้เห็นว่ารวย
รถยนต์ที่ขับออกมาจากตระกูลลั่วมักจะเป็นรถแบรนด์หรูระดับไฮเอ็นด์เช่น Rolls Royce หรือ Maserati รถที่ถูกที่สุดที่ขับออกมาก็คือ Land Rover Range Rover ซึ่งมีมูลค่าเกือบล้านหยวน
อาจจะกล่าวได้อย่างหยาบๆว่ารถที่มีมูลค่าต่ำกว่าล้านหยวนจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในคฤหาสน์ของตระกูลลั่ว
ตั้งแต่ที่บอดี้การ์ดที่ประตูเห็นว่าฉิงเฟิงขับรถราคาไม่ถึงล้านพวกเขาก็ดูหมิ่นและมองว่าฉิงเฟิงไร้ราคา
“สวัสดีฉันมาหามิสลั่ว ลั่วหนี่ซาง ฉันเป็นเพื่อนกับเธอ โปรดให้ฉันผ่านเข้าไปด้วย”
ฉิงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของฉิงเฟิงยามผมสั้นไม่เพียงแต่จะไม่ให้เขาเข้าไปข้างใน แต่ยังหัวเราะเยาะอีกต่างหาก
“ฮ่าๆๆ! เด็กน้อยเอ้ย นายทำให้ฉันขำจนปวดท้อง คุณหนูของพวกเรานั้นเป็นหญิงงามที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว เธอเป็นที่รู้จักกันในนามเทพธิดากุหลาบ เธอไม่เคยมีเพื่อนชายคนใด อย่ามาหลอกลวงพวกเราเสียให้ยาก” ชายผมสั้นแสยะยิ้มและมองไปที่ฉิงเฟิงอย่างดูหมิ่นเหยียดหยาม
ในเมืองเทียนจิงมีใครที่ไม่รู้จักลั่วหนี่ซางบ้าง ไม่มีแม้แต่คนเดียว เธอเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะกุหลาบมีหนาม มีผู้ชายมากมายนับไม่ถ้วนที่หมายปองในตัวเธอ ถึงกระนั้นก็ตาม ทุกคนถูกเธอตอกกลับไปเช่นกัน ถ้าหากใครกล้าที่จะมองเธอมากกว่าหนึ่งครั้ง คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนพิการในทันที
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะดูหล่อเหลาอย่างมากแต่ดูจากการแต่งกายและเสื้อผ้าของเขา ยามทุกคนต่างก็บอกได้ว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้มีราคาเท่าใดนัก ยามคิดในใจว่า ถ้าหากฉิงเฟิงเป็นเพื่อนของลั่วหนี่ซางได้ พวกเขาก็คงเป็นสามีของเธอไปแล้ว
ในขณะที่ฉิงเฟิงกำลังจะเอ่ยปากก็มีเสียงเยาะเย้ยดังขึ้นมา
“จิ๊ๆๆนายบอกว่านายเป็นเพื่อนของลั่วหนี่ซางงั้นเหรอ แต่ฉันไม่เคยเห็นหน้านายมาก่อนเลย นายมันพวกหลอกลวงหรือเปล่าวะ ” คนที่พูดเป็นชายหนุ่มอายุราวๆยี่สิบปี เขามีหน้าตาที่หล่อเหลาแต่มีข้อติอย่างหนึ่งคือริมฝีปากบาง
ชายหนุ่มคนนี้มองไปที่ฉิงเฟิงด้วยท่าทางยียวนกวนประสาทเขาตระหนักว่าฉิงเฟิงดูหล่อเหลากว่าเขามากนัก เรื่องนี้ทำให้เขาไม่พอใจ อีกทั้งการที่ได้ยินว่าเขาเป็นเพื่อนกับลั่วหนี่ซางก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น
“แล้วนายละเป็นใคร ฉันเป็นเพื่อนของลั่วหนี่ซางแล้วมันหนักหัวนายหรือไง ? จำเป็นมั้ยที่ฉันต้องให้นายจำได้ ?” ฉิงเฟิงขมวดคิ้ว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เขาต้องรีบขับรถมาจากเมืองตงไห่อย่างรีบร้อนโดยไม่แวะดื่มหรือกินจนมาถึงตระกูลลั่วในที่สุดแต่ทันทีที่มาถึงเขากลับถูกตราหน้าว่าคนหลอกลวง เรื่องนี้ทำให้เขาหงุดหงิดมาก
“ไอ้หนุ่มฉันเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ ! แล้วฉันก็ไม่เคยเห็นหน้านายมาก่อน นายมีอะไรพิสูจน์ได้ไหมละว่าไม่ใช่คนหลอกลวง ” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างเย็นชาด้วยความเย่อหยิ่ง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยหยิ่งยโส
ลูกพี่ลูกน้อง
หลังจากพูดคุยกันมาก็สรุปว่าชายหนุ่มที่หยิ่งยโสคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของลั่วหนี่ซาง ฉิงเฟิงรู้สึกว่าลูกพี่ลูกน้องคนนี้กับตัวลั่วหนี่ซางนั้นมีบุคลิกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเขาเอาแต่เชิดหน้ามองสูงอีกทั้งน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความหยิ่งยโสไม่ไว้หน้าผู้ใด
ฉิงเฟิงมองไปที่ชายหนุ่มที่อวดดีคนนี้และรู้สึกอยากจะเตะเขาให้กระเด็นไปจนถึงเทือกเขาหิมาลัยเลยทีเดียว