My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา - ตอนที่ 871 ห้าตระกูลใหญ่ของญี่ปุ่น
- Home
- My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา
- ตอนที่ 871 ห้าตระกูลใหญ่ของญี่ปุ่น
ในที่สุดหลิวหรูหยานก็วางสายไปหลังจากได้ยินว่าฉิงเฟิงจะกลับมาดูหน้าลูกภายในสามวัน
“บอสครับตอนนี้คุณกำลังจะเป็นพ่อคน แล้วพี่สะใภ้หลินเสวี่ยของผมจะเอายังไงต่อละครับ ” ลูซวนจี๋ถามทีเล่นทีจริงเพื่อพยายามกวนตีนฉิงเฟิง
“ทำไมนายกวนตีนจังวะอยากโดนเตะรึไง ” ฉิงเฟิงกล่าวพร้อมกับจ้องลู่ซวนจี๋ตาเขม็ง
ลูซวนจี๋ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนเขาแตะจมูกตัวเองและกล่าวว่า “แน่นอนว่าไม่อยาก ผมก็แค่อยากรู้ว่าบอสจะทำไงต่อ”
ฉิงเฟิงเบือนหน้าหนีลูซวนจี๋และไม่สนใจเขาอีกต่อไปแต่เขาหันหน้าไปหาโยชิโกะและถามว่า “โยชิโกะ เธอเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลนินจาบนเกาะแปซิฟิก เธอจะบอกอะไรเกี่ยวกับเกาะนี้ให้ฉันรู้ได้บ้าง ” โยชิโกะยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า“เรียนนายท่าน บุคลที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดบนเกาะแปซิฟิกก็คือจักรพรรดิ บุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดคือนายกรัฐมนตรี อำนาจของพวกเขาครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ นอกเหนือจากนั้นยังมีอีกห้าตระกูลใหญ่อีกด้วย ตระกูลเหล่านั้นตระกูลเค็นโด้ ตระกูลบูชิโด ตระกูลคาราเต้ ตระกูลดาบปีศาจและตระกูลนินจา
“นายท่านตระกูลนินจาของชั้นอ่อนแอที่สุดในบรรดาห้าตระกูล ซึ่งตระกูลอื่นๆล้วนแต่ทรงพลัง พวกเขามีแกรนด์มาสเตอร์มากมาย แม้แต่บางคนก็ยังครอบครองอาวุธวิญญาณอีกด้วย”
“อ่อใช่อีกเรื่อง หนึ่งในจักรพรรดิคนก่อนๆก็ยังเป็นคนของตระกูลเคนโด้อีกด้วย ดังนั้นตระกูลนี้จึงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์เป็นอย่างมาก”
ตอนนี้โยชิโกะเป็นข้ารับใช้ของฉิงเฟิงเชื่อฟังเขามากเธอบอกทุกสิ่งที่เธอรู้
ฉิงเฟิงเริ่มเป็นกังวลต่อคำพูดของเธอถ้าแม้แต่โยชิโกะ, ลูกสาวคนโตของตระกูลนินจาที่มีพลังอยู่ในแกรนด์มาสเตอร์ขั้นปลายยังเป็นตระกูลที่อ่อนแอที่สุด แสดงว่าตระกูลอื่นๆย่อมทรงพลังมากกว่านี้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ฉิงเฟิงกังวลไม่ใช่ความสามารถหรือระดับพลังของพวกเขา แต่มันคือการที่พวกเขาครอบครองอุปกรณ์วิญญาณระดับสวรรค์ต่างหาก โดยปกติแล้วจะมีเพียงผู้ฝึกตนเท่านั้นที่มีความสามารถในการใช้อุปกรณ์วิญญาณระดับสวรรค์ หมายความว่าคนเหล่านั้นที่โยชิโกะซาโตพูดถึงต้องมีสัมพันธ์บางอย่างกับผู้ฝึกตนอย่างแน่นอน
ฉิงเฟิงสามารถทลายผนึกชั้นแรกของกระบี่เพลิงคะนองได้ก็เพราะความช่วยเหลือจากจักรพรรดิราตรีหากวันนั้นไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเขา กระบี่เพลิงคะนองก็จะยังเป็นแค่อาวุธระดับแกรนด์มาสเตอร์ต่อไป
จากคำอธิบายของโยชิโกะก็ทำให้ฉิงเฟิงได้รับความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์เกาะแปซิฟิกและการกระจายอำนาจของประเทศนี้
เรือรบแล่นบนผิวมหาสมุทรอย่างราบรื่นยิ่งกว่าเรือโดยสารมากมันแทบไม่รู้สึกโคลงเคลงแม้จะเผชิญหน้ากับคลื่นขนาดใหญ่
ครึ่งชั่วโมงต่อมาจางหยวนเล่ยก็เดินกลับเข้ามาเขาเอ่ยว่า “ฉิงเฟิง พวกเรามีตัวแทนสิบคนจากหัวเซี่ยที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ ไปพบพวกเขากันเถอะ
ฉิงเฟิงพยักหน้าและเดินตามจางหยวนเล่ยออกไป
–ภายในอีกห้องหนึ่ง –
นี่เป็นห้องขนาดใหญ่และหรูหราอย่างมากภายในห้องมีคนสิบคนกำลังนั่งอยู่ ทุกคนล้วนแต่เป็นแกรนด์มาสเตอร์และเต็มไปด้วยออร่าที่ทรงพลัง
หัวเซี่ยส่งยอดฝีมือจำนวนมากเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้โบราณของทวีปมังกรทุกๆคนต่างมีเกียรติ์และศักดิ์ศรีอย่างน่าเหลือเชื่อ เพียงยอดฝีมือเหล่านี้ก้าวเท้าเพียงก้าวเดียวก็สามารถเขย่าทั่วทั้งยุทธภพได้
คนที่นั่งคนแรกคือชายชราที่มีอายุอย่างน้อย70 ปี อย่างไรก็ตาม เขาทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ ดวงตาเปล่งประกายมีชีวิตชีวา เขาอยู่ในระดับแกรนด์มาสเตอร์ขั้นสูงสุด
“อาวุโสหวังท่านเป็นหัวหน้าทีมของหัวเซี่ยเรา ท่านรู้เบื้องหลังของหลี่ฉิงเฟิงหรือไม่ ทำไมหัวหน้าจางหยวนเล่ยถึงต้องต้อนรับเขาเป็นการส่วนตัว ?” ชายวัยกลางคนผิวคล้ำถาม
ชายวัยกลางคนผิวคล้ำคนนี้ตัวสูงใหญ่และแข็งแรงด้วยกล้ามเนื้อปูดโปนไปทั่วร่างกายทั่วร่างของเขามีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งระเบิดออกมา แม้ว่าเขาจะดูห่ามๆแต่ก็ยังคงให้ความเคารพต่ออาวุโสหวัง
ผู้อาวุโสไม่ใช่ใครที่ไหนเขาคือหวังอี้เฮอผู้อาวุโสของนิกายนกกระเรียน เขายังเป็นแขกรับเชิญพิเศษผู้ทรงเกียรติของหัวเซี่ยในการเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ครั้งนี้ ทีมหัวเซี่ยมีทั้งหมดสิบคนหวังอี้เฮอแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนทั้งสิบ เขาเป็นหัวหน้าทีมที่ทุกคนให้ความเคารพอย่างมาก
“หลี่ฉิงเฟิงแข็งแกร่งมากไม่นานนี้เขาสังหารยอดฝีมือมากมายในยุทธภพ หัวหน้าตระกูลกู่ในเมืองเทียนจิง, จ้าวนิกายหมัดเหล็ก, อาวุโสหนึ่งของตระกูลลั่ว และอีกมากมายที่ตกตายด้วยน้ำมือเขา” หวังอี้เฮอกล่าวเบาๆแต่น้ำเสียงหนักหน่วง
“อาวุโสหวังข้าคิดว่าหมอนั่นมันลวงโลก ลองคิดดูสิ ชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆจะเอาอะไรไปสังหารหัวหน้าตระกูลกู่ได้ ” ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมคนหนึ่งกล่าวแทรกขึ้นในทันที
ถึงแม้ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้จะดูไม่ดี,ทั้งดำและผอม แต่เขาก็ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ เขามีพลังระดับแกรนด์มาสเตอร์ขั้นปลาย อาวุธของเขาคือไม้เท้าแก่นนภาซี่งเป็นอาวุธระดับแกรนด์มาสเตอร์ขั้นสูง
ชายวัยกลางคนร่างผอมรู้สึกหงุดหงิดฉิงเฟิงเพราะจางหยวนเล่ยได้บอกแก่พวกเขาว่าหลี่ฉิงเฟิงกำลังจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในทีมนี้เพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน
ถ้าฉิงเฟิงถูกเพิ่มเข้ามาในทีมโดยทั่วไปชายร่างผอมคงไม่โกรธอะไรอย่างไรก็ตาม จางหยวนเล่ยเป็นคนเด็ดขาด เขาตั้งทีมสิบคนก็ต้องมีสมาชิกแค่สิบคน ดังนั้นหากฉิงเฟิงเข้าร่วมทีมก็ต้องมีคนหนึ่งถอนตัวไป ซึ่งจางหยวนเล่ยได้บอกให้ชายร่างผอมคนนี้ถอนตัว แต่ฝ่ายหลังไม่เต็มใจอย่างเห็นได้ชัด
ผู้อาวุโสหวังรู้ว่าชายวัยกลางคนร่างผอมคิดอะไรอยู่เขากล่าวว่า “เจ้าคิดว่ามันไม่แฟร์ที่จู่ๆหลี่ฉิงเฟิงมาแทนที่เจ้าใช่ไหม ”
“ถูกต้องแล้วอาวุโสหวังรางวัลสำหรับการแข่งขันครั้งนี้ก็คือหญ้ามังกร โอสถในตำนานเชียวนะ มันมีค่าเกินกว่าที่จะให้ข้ายอมถอนตัวง่ายๆ !” ชายวัยกลางคนร่างผอมกล่าวขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความโลภ
ไม่เพียงแค่ชายวัยกลางคนร่างผอมเท่านั้นที่ไม่ยอมแพ้แต่คนอื่นๆก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นทีมหัวเซี่ยหรือชาติอื่นๆ ทุกคนต่างต้องการหญ้ามังกร
ปัง!
ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันจางหยวนเล่ยก็ผลักประตูเข้ามาพร้อมกับฉิงเฟิง
ฉิงเฟิงได้ยินการสนทนาของพวกเขาผ่านประตูทำให้รู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดของชายคนนี้ความตั้งใจของเขาในการไปที่เกาะแปซิฟิกก็คือเพื่อช่วยราชาอสูรค้างคาวม่วง ส่วนเรื่องการมีส่วนร่วมในการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ของเขานั้นก็เป็นเพียงเพราะจางหยวนเล่ยเชื้อเชิญ ไม่งั้นเขาคงไม่สนใจการแข่งขันนี้
“หัวหน้าจางข้าคิดว่ามันไม่แฟร์ที่จะมาขอให้ข้าถอนตัวจากทีมหัวเซี่ย ข้าไม่คิดว่าไอ้เด็กหน้าขาวคนนี้ดีพอที่จะมาแทนที่ข้า !” ชายวัยกลางคนร่างผอมผุดลุกขึ้นยืนและกล่าวเสียงดัง
ในขณะที่พูดชายวัยกลางคนร่างผอมก็มองฉิงเฟิงด้วยสายตาที่เย้ยหยันแววตาของเขาหยิ่งผยองอย่างไม่น่าเชื่อ ฉิงเฟิงเพียงมองผ่านแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าชายคนนี้ไม่ชอบขี้หน้าเขา
“
อะไรของเขาละนี่
ฉันไม่เคยหาเรื่องอะไรเขามาก่อนเลยทำไมต้องเกลียดฉันขนาดนี้
”
“งั้นถ้าเจ้าคิดว่ามันไม่ยุติธรรม ทำไมไม่ลองสู้กับหลี่ฉิงเฟิงดูล่ะ ผู้ชนะจะได้เป็นหนึ่งในสิบของทีมหัวเซี่ย ส่วนคนแพ้ก็ต้องถอนตัวเป็นผู้ชม”
จางหยวนเล่ยเสนอความคิดออกมาทันทีราวกับว่าเขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
ชายวัยกลางคนยืนขึ้นในทันทีเขากระชับไม้เท้าแก่นนภาไว้ในมือและชี้ไปที่ฉิงเฟิงพร้อมทั้งกล่าวว่า “เจ้าหนู มาสู้กับข้า ข้าจะทุบตีเจ้าภายในท่าเดียว”
ที่จริงฉิงเฟิงไม่ได้ต้องการสู้กับชายคนนี้สักเท่าไหร่แต่ในเมื่อเขาทำตัวก้าวร้าวและแสดงความเป็นศัตรูกับเขาอย่างชัดเจน ฉิงเฟิงจึงไม่มีทางเลือก เพราะแม้แต่ลู่ซวนจี๋ก็ยังรู้สึกเดือดกับท่าทีอหังการของเขา นับประสาอะไรกับฉิงเฟิง
ถ้าคุณเสนองั้นฉันก็จะสนองให้เอง
“ย่อมได้ฉันจะออมมือให้” ฉิงเฟิงยิ้มจางๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งมั่นใจ