My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา - ตอนที่ 995 การต่อสู้ทางจิต
- Home
- My Cold and Elegant CEO Wife ราชันย์หมาป่ากับ CEO ที่แสนเย็นชา
- ตอนที่ 995 การต่อสู้ทางจิต
ตอนที่ 995 การต่อสู้ทางจิต
ม่านแสงป้องกันปริแตกงั้นหรือ
อาวุโสสามตื่นตระหนกและพยายามสร้างม่านป้องกันขึ้นมาอีกอันหนึ่งด้วยพลังแท้ของเธอแต่มันก็สายเกินไป
หวืด…
ใบมีดน้ำแข็งมากกว่าสิบเล่มทะลุทะลวงม่านพลังและปักลงบนร่างของอาวุโสสามเสื้อผ้าอาภรณ์ฉีกขาด โลหิตหลั่งไหลอย่างไม่อาจควบคุมได้
‘โยนหินไม่พ้นเท้า’อาวุโสสามเป็นตัวอย่างที่เหมาะเจาะของความหมายหลังสำนวนนี้
ใบมีดน้ำแข็งของเธอควรจะทำร้ายฉิงเฟิงแต่พวกมันกลับสร้างอาการบาดเจ็บให้เธอแทน
หญิงสาวกหญิงที่อยู่ด้านข้างเวทีต่างก็ประหลาดใจพวกเธอไม่คิดว่าอาวุโสสามที่น่าชื่นชมของพวกเธอจะได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของเธอเอง ช่างเป็นเรื่องตลกนัก !
“ท่านผู้อาวุโสท่านแพ้แล้ว” ฉิงเฟิงมองเธอและกล่าวด้วยน้ำเสียงหัวเราะเยาะเย้ย
เมื่อเปรียบเทียบกับฉิงเฟิงที่ยังคงมีสภาพสมบูรณ์อาวุโสสามบาดเจ็บรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด
อาวุโสสามรู้สึกหงุดหงิดอย่างยิ่งหลังจากได้ยินสิ่งที่ฉิงเฟิงพูดเธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอพ่ายแพ้จริงๆ
สีหน้าของประมุขร้อยบุปผาก็ดูเลื่อนลอยเช่นกันเธอมอบหมายให้ผู้อาวุโสสามคนนี้เป็นผู้อาวุโสของตำหนักเพราะเธอมีพลัง แต่เธอกลับทำให้ตำหนักร้อยบุปผาต้องขายหน้าด้วยการบาดเจ็บจากการโจมตีของตัวเอง
ผู้อาวุโสสามรู้สึกละอายใจมากเพราะเธอสามารถรับรู้ได้ถึงการเยาะเย้ยถากถางจากฝูงชนที่มองเธออยู่เธอผละจากเวทีในพริบตาเพราะไม่มีหน้าจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป เธอทิ้งมู่หงหลิงที่พยายามออกหน้าช่วยไว้ในตอนแรกเพราะเธอพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์
“รอบแรกหลี่ฉิงเฟิงเป็นผู้ชนะ” ประมุขร้อยบุปผาประกาศชื่อผู้ชนะออกมาแม้ว่าเธอจะลังเลอย่างมาก
ท้ายที่สุดนี่คือการประลองอย่างถูกต้องเปิดเผยต่อหน้าศิษย์สาวกและอาวุโสของตำหนักร้อยบุปผาทุกคนไม่มีทางที่จะตุกติกอะไรได้เลย
“โอ้โหๆ!! หลี่ฉิงเฟิงชนะแล้ว !” ชุ่ยน้อยร่ำร้องออกมาอย่างมีความสุขกับฮวาเซียนจื่อที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆเธอ
ฮวาเซียนจื่อพยักหน้าด้วยใบหน้าแดงระเรื่อเธอสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่พบกัน ทั้งในแง่ของความสามารถในการต่อสู้และพลังโจมตี
คนหนึ่งๆสามารถเปลี่ยนแปลงและยกระดับพลังได้อย่างสมบูรณ์ภายในสามวันได้ด้วยหรือ ฮวาเซียนจื่อตระหนักว่าชายคนนี้มักจะทำให้เธอต้องประหลาดใจทุกครั้งที่พบกัน เขาเป็นชายปาฏิหาริย์ที่สร้างปาฏิหาริย์ได้เสมอ
ในขณะเดียวกันใบหน้าของมู่หงหลิงก็ซีดเซียวราวกับว่าเธอสูญเสียครอบครัว เธอคิดไม่ถึงว่าแม้กระทั่งผู้พิทักษ์ของเธอก็ยังพ่ายแพ้ต่อหลี่ฉิงเฟิง
“มู่หงหลิงอาวุโสสามผู้พิทักษ์ของเธอแพ้แล้ว เธอควรรักษาคำพูดและออกจากตำหนักร้อยบุปผาไปซะ” ฉิงเฟิงกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้มจางๆ
มู่หงหลิงสะดุ้งตกใจเพราะสิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็เกิดขึ้นกับเธอแล้ว
“ได้โปรดอย่าบีบให้ข้าต้องไปเลย! ข้ายอมทำทุกอย่าง” มู่หงหลิงเอ่ยปากขอร้องอย่างสิ้นหวัง
เธอมีความผูกพันอันแน่นแฟ้นกับที่นี่เธอถูกคนในนิกายแห่งนี้เก็บมาเลี้ยงและเติบโตมาที่นี่ เธอถูกพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่อายุยังน้อย เธอไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปหากต้องไปจากที่นี่ ฉิงเฟิงตอบเธอหลังจากขบคิดอยู่ครู่หนึ่งว่า“ก็ได้ เธอจะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าเธอต้องเป็นสาวใช้ของฮวาเซียนจื่อเและดูแลเธอให้ดีต่อจากนี้ไป”
อะไรนะ… ให้เป็นสาวใช้ของศิษย์น้อง ?
สีหน้าของมู่หงหลิงกลายเป็นฉุนเฉียวเมื่อเธอรู้สึกเหมือนโดนหลี่ฉิงเฟิงทำให้ขายหน้า
เธอเป็นศิษย์ระดับสูงติดหนึ่งในห้าของตำหนักร้อยบุปผาหลี่ฉิงเฟิงกลับปฏิบัติต่อเธอเหมือนสุนัขและบอกให้เธอไปเป็นคนรับใช้ของฮวาเซียนจื่องั้นหรือ ! เจ้าล้อข้าเล่นใช่ไหม ?
“ถ้าเธอไม่ตกลงก็ออกไปจากที่นี่ตามสัญญาซะ” ฉิงเฟิงกล่าวอย่างเย็นชา เขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจสำหรับผู้หญิงประเภทนี้
“ก็ได้ๆข้ายอมแล้ว ข้าจะเป็นสาวใช้ของฮวาเซียนจื่อนับแต่นี้ไป”
ในที่สุดมู่หงหลิงก็พยักหน้าและตกปากรับคำอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
เธอต้องฝืนตัวเองเป็นสาวใช้ของฮวาเซียนจื่อเพราะเธอไม่อยากออกจากนิกาย
ที่จริงแล้วเธอรู้สึกเสียใจเล็กน้อยต่อสิ่งที่ทำลงไปจนต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้หากเธอไม่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับฮวาเซียนจื่อตลอดเวลา เธอคงไม่ต้องเป็นสาวใช้ของฮวาเซียนจื่อ
“ไม่จริงน่าศิษย์พี่หงหลิงจะเป็นสาวใช้ของฮวาเซียนจื่อจริงๆหรือ !”
“แล้วจะโทษใครได้นอกจากตัวเธอ เธอเป็นคนท้าทายหลี่ฉิงเฟิงเอง”
“เจ้าหมอนั่นเป็นใครมาจากไหน ทำไมแข็งแกร่งขนาดนี้ ?”
สาวกหญิงทุกคนต่างก็พูดคุยกันไม่หยุดต่อสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
มู่หงหลิงเป็นศิษย์พี่ที่พวกเธอชื่นชมพวกเธอแทบทุกคนต่างก็รู้สึกไม่พอใจที่เห็นว่าเธอพ่ายแพ้หลี่ฉิงเฟิงอย่างง่ายดายและถูกบังคับให้เป็นสาวใช้ของฮวาเซียนจื่อ
รอบแรกจบลงและหลี่ฉิงเฟิงผู้พิทักษ์ของฮวาเซียนจื่อเป็นผู้ชนะ
ผู้เข้าร่วมคนสองขึ้นไปเวทีเพื่อจับสลากเธอชื่อจ้าวจื่อรั่วและมีอายุราวยี่สิบต้นๆ เธอมีใบหน้าที่ละเอียดอ่อน ผิวพรรณเรียบเนียน ผมยาวสลายและหุ่นเพรียว
เธอมีกระดิ่งทองแดงบนข้อมือซึ่งยังคงดังก้องทุกครั้งที่เธอเดิน
จื่อรั่วเดินมาตรงหน้าประมุขร้อยบุปผาและจับสลากขึ้นมามันสลักชื่อ ‘โจวหมิง’ไว้บนนั้น
“รอบที่สองจ้าวจื่อรั่วพบกับโจวหมิง”ประมุขร้อยบุปผากล่าว
ในขณะเดียวกันผู้หญิงทั้งสองคนเดินก็ขึ้นไปบนเวทีในเวลาเดียวกัน โจวหมิงมีรูปร่างผอมสูงและยังมีหน้าอกคู่โตและใบหน้างดงาม
อันที่จริงแล้วผู้หญิงทุกคนในตำหนักร้อยบุปผาล้วนแต่มีใบหน้าที่งดงามอย่างน่าทึ่งและยังงดงามกว่าสาวงามทั่วไปในโลกภายนอก
โจวหมิงใช้ขลุ่ยเป็นอาวุธมันเป็นขลุ่ยไม้ไผ่สีเขียวที่ยาวประมาณสี่สิบเซนติเมตร
แน่นอนว่าขลุ่ยไม่ได้ทำมาจากไม้ไผ่ดาษดื่นทั่วๆไปมันทำมาจากไผ่วิญญาณซึ่งเติบโตขึ้นด้วยการดูดซับอากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติจนแข็งแกร่งมากและเต็มไปด้วยแก่นวิญญาณที่เข้มแข็ง
โจวหมิงพาดขลุ่ยบนริมฝีปากเรียวบางของเธอแล้วเป่ามันด้วยลมหายใจที่เต็มไปด้วยพลังแท้
อันที่จริงแล้วมีอุบายซ่อนอยู่ในเสียงขลุ่ยที่ฟังนี้มันทำให้เกิดการโจมตีแบบคลื่นเสียงที่มีผลต่อจิตวิญญาณของคู่ต่อสู้ และอาจทำให้คู่ต่อสู้เกิดอาการจิตแปรปรวน
วิญญาณเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะศูนย์กลางทางจิตของสมองซึ่งเป็นส่วนที่บอบบางที่สุดในร่างกายมนุษย์
จ้าวจื่อรั่วย่อมรู้แน่นอนว่าการโจมตีทางวิญญาณนั้นน่ากลัวเพียงใดเธอเริ่มสั่นกระดิ่งทองแดงบนข้อมือขึ้นและเปล่งเสียงไพเราะออกมา
ในขณะเดียวกันกระดิ่งก็ยิงลำแสงสีขาวของการโจมตีทางจิตออกมาและปะทะกับการโจมตีของขลุ่ย
การโจมตีทางจิตวิญญาณนั้นมนุษย์ทั่วไปจะไม่อาจมองเห็นและสามารถรู้สึกได้เพียงเฉพาะผู้ที่มีพลังจิตที่หนักแน่นมั่นคงเช่นฉิงเฟิงเท่านั้น
ฉิงเฟิงรู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนราวกับว่าจิตวิญญาณของเขาทุบไม้ทุบตีเขาสามารถรู้สึกได้ถึงพลังจิตที่ทรงพลังระหว่างผู้หญิงทั้งสองคนนี้อย่างชัดเจน