My Death Flags Show No Sign of Ending - ตอนที่ 30
[ ….. พวกนายคิดยังไงเกี่ยวกับฮาโรลด์ ]
ขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าพวกเขาก็เริ่มที่จะตั้งแค้มป์ ไอรีนเธอลดเสียงของเธอลงเพื่อถามอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับคำถามนั้น โรบินสันและชิโด้ได้สบตากันซักพักและก็ตอบคำถามเหล่านั้นไปตามลำดับ
[ ก็ดูไม่ใช่เด็กไม่ดีอะไรนะ ? ]
[ เขาแข็งแกร่งมั้งนะ? ]
[ ชั้นก็คิดว่าเด็กนั้นแข็งแกร่งเหมือนกัน แต่ไม่มีทางที่มันจะเป็นเด็กดีไปได้ ! ]
ภาพจำเกี่ยวกับคำพูดที่ด่าเธอว่าเป็นเพียงแมลงกระจอกแว๊บเข้ามาในหัว ไม่มีทางเลยที่ไอรีนจะยอมรับความคิดเห็นของโรบินสันได้
[ แล้ว ? ]
[ ก็นะ คงมีแค่โรบินสันที่คิดแบบนั้นคงเพราะเด็กนั้นเป็นคนแรกที่ไม่กลัวเขาหลังจากที่พบกันครั้งแรกล่ะมั้ง ]
[ มันก็..ใช่แหละ… ]
เขาไม่สามารถปฎิเสธได้เลยเกี่ยวกับความประทับใจที่มีต่อฮาโรลด์ ผู้ซึ่งไม่กระวนกระวายหรือเกรงกลัวในภาพลักษณ์ของเขา
[ แล้ว ในเมื่อเขาไม่กลัวโรบิ้นเลยซักนิด ไม่ใช่ว่าเขาผ่านประสบการณ์การต่อสู้มามากพอสมควรเลยหรอ? ]
เธอเองก็ไม่สามารถคัดค้านความเห็นของชิโด้ได้เช่นกัน พวกเขาทั้งหมดเกือบจะเห็นพ้องตรงกัน พูดตรงๆ มันก็ไม่ผิดหรอกที่จะบอกว่าใบหน้าของโรบินสันถือว่าเป็นอาวุธสังหารได้เลย รูปร่างขนาดตัว+หน้าตานั้นดุร้ายจนทำให้ผู้ใหญ่สั่นสะท้านไปด้วยความกลัวง่ายๆ ยิ่งถ้าเป็นแค่เด็กอายุราวๆฮาโรลด์ ถ้าร้องไห้คงไม่แปลก นั้นคือสิ่งที่ทั้ง 3 คนคิด
แม้ว่าจะไม่ได้นัดกันมาก่อน แต่สายตาของทั้ง 3 ก็จับจ้องไปยังฮาโรลด์พร้อมกัน รูปลักษณ์ของเด็กคนนั้นที่กำลังเพิ่มกิ่งไม้เข้าไปในกองไฟขณะทำสีหน้าบูดบึ้งนั้นก็ดูเหมาะสมกับวัยดี แต่ความเป็นจริง การที่เด็กคนนี้ถูกเชิญชวนให้เข้ากองอัศวินตั้งแต่อายุ 13 ปี แสดงว่าหมอนี่คงต้องเก็บซ่อนพลังจริงๆเอาไว้เป็นแน่
พวกเขาทั้ง 3 ไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงนี้ได้เพราะพวกเขาเองก็ยังไม่เคยเห็นฝีมือของฮาโรลด์ด้วยตาของพวกเขาเอง และอาจเพราะเด็กคนนี้ได้รับการยอมรับจากโคดี้ซึ่งเป็นพวกขาดความรับผิดชอบบ่อยๆเป็นทุนเดิม พวกเขาจึงแทบไม่เชื่อ แม้พวกเขาจะรู้อยู่เต็มอกว่าการชวนเข้ากองอัศวินนี่คงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องล้อเล่น
ทันใดนั้น ชิโด้ก็ได้พึมพังบางสิ่ง
[ หรือว่า ไปถามเจ้าตัวตรงๆเลยดีกว่า ]
แทบไม่ต้องรอให้นานหลังจากที่ชิโด้พูด ทันทีที่เขากางเต๊นท์จนเสร็จ เขาก็กระโดด “บ๋อง” ไปยืนอยู่ต่อหน้าของฮาโรลด์ โดยที่มีกองไฟขั้นระหว่างพวกเขา และเริ่มพูดขึ้น
[ โย่ว ฮาโรลด์ มีเวลาซักเดี่ยวมั้ย ? ]
[ มีอะไร ? ]
[ ปล่าวๆ ไม่มีอะไรมาก แค่.. พวกเรารู้จักกันแค่ชื่อเท่านั้นเอง อืมม ผมคิดว่าบางทีพวกเราควรทำความรู้จักกันมากขึ้นกว่านี้หน่อยเป็นไง ]
[……อยากจะทำอะไรก็ทำ ]
แม้ว่าจะทำสีหน้าเชิงรำคาญ ฮาโรลด์ก็รับข้อเสนอของชิโด้ พอเห็นปฎิกิริยาเช่นนั้น โรบินสันและไอรีนก็ขยับเข้ามาใกล้ด้วยเช่นกัน
[ ก็เอ่ออ.. ผมว่าจะถามก่อนหน้านี้แล้ว คือนายไปพบกับหัวหน้าที่ไหนหรอ ? หมอนั้นไม่ยอมบอกเลยแม้ว่าผมจะพยายามถามตั้งหลายครั้ง ]
[ ที่เดลฟิต งานประลอง ]
[ หืมมมม ตอนนั้นพวกเราไปทำหน้าที่ทหารรักษาการณ์นี่นา…. ]
[ อ่า ใช่แล้ว นายคือเด็กนั้น ! เด็กที่อัดคนเมาจนสลบใช่มั้ย ? ]
ภาพจำในหัวของโรบินสันก็แว๊บขึ้นมา อาจเพราะตอนนั้นฮาโรลด์อยู่ไกล โรบินสันเลยจำหน้าของฮาโรลด์ไม่ได้ แต่พอเขาลองนึกย้อนกลับไปตอนนั้น ส่วนสูง ลักษณะ และบรรยากาศรอบตัวดูคล้ายคลึงกับเด็กคนนั้นมาก
[ หืม ? โรบินสัน นี่นายรู้อะไรมาบ้างหรอ ? ]
[ แต่ว่า ผมจำได้ว่าหัวหน้าไม่ได้ชวนนายในตอนนั้นไม่ใช่หรอ…. ]
[ หมอนั้นมาหาข้าหลังจากจบการประลองในวันแรก ที่เขาไม่ยอมเปิดปากพูดนั้นเพราะเขาน่าจะโดดงานมา เพราะตอนนั้นเขาไม่ได้สวมอยู่ในชุดเกราะทหาร ]
[….. อืมพอมาคิดๆดูดีๆ วันนั้นหัวหน้าทิ้งงานลาดตระเวณให้พวกเราทำแทนและหายไปไหนซักที่ ]
วันนั้นวุ่นวายมากเหตุเพราะโคดี้หนีงานไป นั้นคือเหตุการณ์ในความทรงจำของทั้ง 3 เมื่อได้ฟังที่ฮาโรลด์กล่าวออกมา ไอรีนก็บ่นออกมา [ ไอ้คุณหัวหน้า ~ ?」ด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบราวกับกำลังคลืบคลานไปยังพื้นดิน เธอค่อนๆเดินตรงไปยังโคดี้ด้วยดวงตาจ้องเขม่ง
[ แม่นั้นจู่ๆเป็นอะไรไป ? ]
[ อ้อ เธอคงทิ้งสายฟ้า หรืออะไรซักอย่างใส่หัวหน้าเหมือนทุกครั้งล่ะมั้งนะ ]
แม้ว่าตอนนั้นโคดี้จะถูกตำหนิอย่างหนักจากไอรีนไปรอบหนึ่งแล้วหลังจากจบวันแรกของงานประลอง แต่ดูเหมือนว่าความโกรธของเธอในตอนนั้นมันกำลังกลับมาอีกครั้ง ขณะที่ชิโด้ได้อธิบายให้ฮาโรลด์ฟังพลางหัวเราะไปด้วยว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยไม่ต้องสนใจอะไร โรบินสันที่ยังดู งงๆอยู่ ก็เข้ามาใกล้ฮาโรลด์และถามบางอย่างขึ้น
[…… แสดงว่าวันนั้นฮาโรลด์คุงก็ลงแข่งขันด้วยสินะ อืมม รุ่นอายุต่ำกว่า 13 ปี ? ]
[ ถูกต้อง ]
ราวกับต้องการจะพูดว่า [ แล้วไง ] ดวงตาของฮาโรลด์หรี่จนเย็นเฉียบ ขณะที่รู้สึกกดดัน โรบินสันก็เริ่มที่จะพูดต่อ
[ แล้วผลการแข่งขันเป็นไง ? ]
[ มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าข้าชนะ ]
ฮาโรลด์ประกาศออกมาราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ ชิโด้เองก็สัมผัสได้ถึงความตั้งใจจริงๆของโรบินสันที่ต้องการจะสื่อ เขาจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ และเลือกเฝ้าดูว่าบทสทนานี้จะดำเดินไปอย่างไร และในตอนนั้นโรบินสันก็พูดในหัวข้อหลักที่เขาอยากจะรู้
[…. นะ- ในวันนั้น ตอนที่พวกเรากำลังลาดตะเวณอยู่ในเมือง มันมีสายฟ้าขนาดใหญ่ฟาดลงมาจากท้องฟ้า และทันทีที่พวกเราทราบเรื่องราวทั้งหมด ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเวทมนตร์ที่ถูกใช้โดยผู้ชนะในรุ่นอายุต่ำกว่า 13 ปี ]
กล่าวคือ ผู้ที่นำสายฟ้าลงมา ถ้าหากเป็นตามข่าวลือจริงๆ คนๆนั้นจะต้องเป็นฮาโรลด์ ถ้าหากฮาโรลด์สามารถทำให้ฟ้าฝ่าลงมาได้จริงๆ นั้นก็เข้าใจได้ที่ว่าทำไมโคดี้จึงชวนเขามาเข้าร่วมกับกองอัศวินแม้ว่าอายุจะยังไม่ถึงที่กำหนด เพราะนั้นคือว่าแข็งแกร่งมากในด้านเวทมนตร์
[ วะ-เวทในตอนนั้นมันคือฝีมือนายหรอ ? ]
[…… [[ หอกสายฟ้า ]] ]
ท้องฟ้าภายใต้พระอาทิตย์ที่ตกดินไปแล้ว มีแสงแฟลสได้ตัดผ่าท้องฟ้าที่มืดมิด มันคือหอกสายฟ้าถูกปลดปล่อยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความสูงอย่างไม่น่าเชื่อ หอกสายฟ้านั้นที่พุ่งขึ้นดูราวกับจะหายไปบนท้องฟ้ายามราตรี แต่กับพุ่งไปชนมอนเตอร์ มันเป็นนกขนาดยักยาวราวๆ 3 เมตร มันถูกจัดการจนล่วงลงมา มอนเตอร์ตัวนั้นถูกเผาเกรียมเป็นตอตะโก มันถูกจัดการอย่างสมบูรณ์
[ นั้นคือคำตอบ พอใจรึยัง ? ]
ฮาโรลด์ ผู้ที่จัดการมอนเตอร์ด้วยการใช้เวทมนตร์เพียงครั้งเดียว แถมยังใช้มันโดยไม่ต้องเตรียมการหรือคำร่ายใดๆ ถึงแม้สีหน้าของเขาจะไม่เปลี่ยนไปเลยซักนิด แต่เขาก็บ่นออกมาราวกับหงุดหงิด
โรบินสันและชิโด้ได้แต่ตกตะลึงเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และอีกที่หนึ่งที่ห่างออกไปซักหน่อย แม้แต่ไอรีน ที่กำลังบ่นโคดี้อยู่ ยังตกตะลึงจนอ้าปากค้างโดยไม่สามารถเข้าในสถานการณ์ตรงหน้าได้ และโคดี้ที่ยังดูปกติอยู่ ราวกับกว่าหาทางรอดให้ตัวเองได้และแสดงสีหน้าราวกับจะว่าบอก “ใช่แล้วๆ”
[ เกิดอะไรขึ้น ฮาโรลด์คุง ชั้นตกใจนะที่จู่ๆนายก็ใช่เวทมนตร์ออกมา ]
[ นั้นเพราะนายไม่อธิบายอะไรเลยเกี่ยวกับตัวข้าเลยเอาแต่หนีปัญหาอย่างเดียว ช่วยอย่าหางานให้ข้าเพิ่มจะได้ไหม ]
[ อย่าพูดแบบนั้นสี้ พี่ชายคนนี้จะงานเข้าเอา เห้อ ไม่มีอะไรจะแก้ตัวได้อีกด้วย ]
ราวกับไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเลยแม้แต่น้อย โคดี้ได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อนคำบ่นของฮาโรลด์ จากนั้นเขาก็ทำเสียง “โอ๊ะ” ราวกับนึกอะไรดีๆออก ราวกับไม่สนใจบรรยากาศที่เริ่มจะหนักอึ้งขึ้น เขาก็เปลี่ยนหัวข้อเรื่อง
[ น่าๆ พักเรื่องนั้นเอาไว้เถอะ ในเมื่อก็เริ่มมืดแล้ว งั้นพวกเรามาทานอาหารเย็นกันดีกว่า เห้พวกนายมีใครเหลือขนมนี่บ้าง ? ]
ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น โคดี้ได้ถามหาขนมแกล้มเหล้ากับคนอื่นๆ ขณะที่มองดูโคดี้ ฮาโรลด์และคนอื่นๆได้แต่ถอนหายใจ
◇
ภายในห้องอันเงียบสงบ มีแค่เสียงของปากกาที่เขียนกระดาษอยู่เป็นจังหวะ ไม่มีช่องว่างของหนังสือในชั้นที่ถูกจัดวางอยู่ที่ด้านหนึ่งของผนัง พวกมันถูกเรียบตามตัวอักษรอย่างเป็นระเบียบสวยงาม และที่นั้นก็ปรากฎร่างของเจ้าของห้องแห่งนี้
เขาคือ วินเซนต์ แวน เวสเทอร์ฟอร์ด กำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ อาจเพราะต้องรับมือกับงานเอกสารจำนวนมากเป็นเวลานาน ขณะที่เงยหน้าขึ้นและขยับหัวไหล่เพื่อคลายความเมื่อยล้า ดั่งคาด เขาก็พบกับผู้ช่วยของเขา แชนน่อน ผู้ที่กำลังจมอยู่กับกองเอกสารเช่นเดียวกับเขา
ในขณะที่คิดว่าจะพักสักหน่อย ทันทีที่จะเรียกเธอ เขาก็ตระหนักได้ถึงเสียงที่ฟังดูวุ่นวายนอกหน้าต่าง. ในตอนที่คิดว่าวันนี้มีฝึกซ้อมอะไรซักอย่างล่ะมั้ง เขาก็มองออกไปที่ด้านนอกและพบกับกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่สนามฝึก
[ ท่านวินเซนต์ เกิดอะไรขึ้นหรือคะ ? ]
[ แชนน่อน วันนี้มีกำหนดการฝึกซ้อมด้วยหรอ ? ]
[ วันนี้ไม่ควรมีกำหนดการใดๆเกี่ยวกับการฝึกซ้อมนะคะ … ]
สำหรับแชนน่อน ได้แต่เอียงคอสงสัยเพราะไม่ค่อยเข้าใจคำถามเช่นกัน เมื่อเห็นดังนั้น วินเซนต์ได้ชี้นิ้วไปยังนอกหน้าต่าง
[ ดูนั้น….. ดูเหมือนกลุ่มคนจากหน่วยหนึ่งจะมารวมกันที่นั้น ดูจากคนในหน่วยข้าพอจะจำได้ว่าใครเป็นหัวหน้าหน่วยนั้น ]
จากคำถามคือพวกเขาไปทำอะไรที่นั้น ขณะที่วินเซนต์ยังนึกไม่ออกว่ามีกำหนดการอะไรกันแน่ หรือบางทีมันอาจจะเป็นเรื่องเฉพาะในหน่วยกันนะ ?
[ งายยย วินเซนต์อยู่นี่รึปล่าว ? ]
ขณะที่กำลังมึนงงกับเหตุการณ์ชุมนุมที่เกิดขึ้น ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาอย่างหยาบคายไม่แม้จะเคาะด้วยซ้ำ เสียงที่มาพร้อมกับประตูนั้นเป็นเสียงที่เขาไม่ค่อยอยากได้ยินเท่าไหร่นักและแสร้งทำเป็นหูทวนลมบ่อยๆ นั้นคือเสียงของเพื่อนสนิทของเขาเอง
เพื่อนเก่าคนนี้คือ โคดี้ รูจเจียล แม้ว่าตำแหน่งของทั้งสองจะต่างกันราวกับสวรรค์กับพื้นดิน หรือก็คือ รองกัปตัน และ หัวหน้าหน่วย แต่ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นเรียกได้ว่าต่างฝ่ายต่างรู้จักกันดี มันมากพอซะจนทำให้พวกเขาทั้งคู่รู้สึกมวลที่ท้องได้เลย
ดังนั้น การที่โคดี้ปรากฎตัวที่นี่ สัญชาตญานในตัวก็กู่ร้องออกมาบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสนามนั้นต้องเป็นแผนของหมอนี่แน่ๆ เมื่อนึกดูดีๆ เขาไม่เห็นโคดี้ได้หลายวันแล้ว บางทีช่วงที่เขาหายไปคงไปวางแผนทำอะไรมาซักอย่าง
[ นายนั้นเอง ข้างนอกเอะกะอะไรกัน ? ]
[ บู่ๆ มันไม่ดีเลยที่เดาว่าเป็นฝีมือชั้นนะ ท่านรองกัปตัน …. แต่ว่านายก็คิดถูก เพราะจะมีการสอบเข้ารับอัศวินมือใหม่ในตอนนี้ กรุณารับชมมันด้วยครับผม ]
[ จริงๆเลย นาย…. ชั้นขอร้องล่ะอย่างก่อปัญหาจะได้ไหม ]
[ มันก็ขึ้นอยู่กับ “หมอนั้น” ล่ะน้า ]
“คุคุคุคุ” ขณะที่โคดี้กำลังกลั้นหัวเราะ เพราะวินเซนต์จะรู้จักโคดี้มานานแล้ว ด้วยเสียงหัวเราะนั้น ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าโคดี้กำลังสนุก มันเป็นอะไรที่เขาไม่ได้เห็นโคดี้เป็นแบบนี้มานานแล้ว และไอ้สิ่งที่เขาเรียกว่า “หมอนั้น” คือตัวการของเรื่องในครั้งนี้สินะ ?
[ สำหรับตอนนี้ นายมองไปที่สนามฝึกจากตรงนี้แหละ บางที นายอาจจะได้เห็นอะไรน่าสนใจก็เป็นได้นะ ? ]
หลังจากสปอยมาค่อนข้างเยอะ โคดี้ก็ออกจากห้องไปโดยไม่แม้จะปิดประตู ภายในห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง หลงเหลือไว้เพียงเสียงถอนหายใจจากทั้ง 2 คนที่เหลือ
[ คนๆนั้นเอะอะอยู่ตลอดเลยนะคะ ]
ขณะปิดประตูที่เปิดทิ้งไว้ แชนน่อนบ่นออกมาเล็กน้อย สำหรับคนจริงจังเช่นเธอ โคดี้ถือว่าเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบเลยซักนิด แต่ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่ชอบเขาเท่าไหร่นัก แต่เธอก็ไม่ได้ตำหนีเขาออกมาตรงๆเพราะว่าเธอรู้นิสัยของโคดี้มาบ้างและรู้ว่าเขาเป็นเพื่อนเก่าแก่ของวินเซนต์ และความรู้สึกจริงๆของเธอก็อยากให้ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันมากกว่าที่จะต้องแยกจากกัน
[ หมอนี่เป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิด ต่อให้เวลาผ่านไปแค่ไหนก็แก้อะไรไม่ได้ เอาเถอะ เวลาออกงานใหญ่ๆ หมอนั้นก็ทำตัวเหมาะสมอยู่ ]
[ ดิฉันเข้าใจค่ะ แค่ …. ดิฉันคิดว่าวิธีที่ท่านวิเซนต์จัดการกับเขานั้นนุ่มนวลไปหน่อยค่ะ ]
เมื่อได้ยินคำว่านุ่มนวล หัวใจของวินเซนต์ก็เจ็บปวดราวกับถูกทิ่มแทง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขาเริ่มรู้สึกผิดต่อโคดี้ ? หากมองดูสาเหตุที่ตัวเขาจัดการกับโคดี้สถานเบาตลอด คงเป็นเพราะเรื่องในตอนนั้น
ปกติแล้ว ตัวของโคดี้เองไม่ใช่พวกที่จะสามารถอยู่ภายใต้องค์กรที่เข้มงวดทั้งกฎและระเบียบวินัยอย่างอัศวินได้ ตัวของเขาเองก็เข้าใจดี แต่ว่า เขาก็อยู่ที่นี่มามากกว่า 10 ปีแล้ว สถานที่ที่ทำให้ตัวเขารู้สึกราวกับหายใจไม่ออก สถานที่ที่ไม่เหมาะกับตัวตนของเขา
[ ….. ไม่สิ คนที่ไม่เหมาะจริงๆคือ ชั้นคนนี้ต่างหาก ]
[ ท่านพูดอะไรรึปล่าวคะเมื่อกี้ ? ]
[ ไม่มีอะไร ]
ราวกับต้องการหลบสายตาจากความรู้สึกด้านลบที่เริ่มจะก่อขึ้นภายในใจ เขาก็ส่ายหัวเรียกสติ และพยายามกลบเกลื่อนคำพูดที่เผลอหลุดออกมาจากปากของเขา วินเซนต์เดินไปเปิดหน้าต่างให้สายลมอ่อนๆพัดเข้ามาภายในห้อง และเริ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ
[ พักซักหน่อยเถอะ แชนน่อนคุง ]
[ ค่ะ งั้นดิฉันจะเตรียมชาดำให้นะคะ ]
[ อ่า ขอบคุณ ]
แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจความตั้งใจจริงๆของโคดี้ ในเมื่อเขามาพูดเชิญชวนขนาดนั้น บางทีเรื่องนี้โคดี้คงอยากจะให้เขาเห็นจริงๆ หรือก็คือ”เจ้าหมอนั้น”
ไม่ก็บางทีอาจจะเป็นเรื่องไร้สาระก็เป็นได้
แต่ว่า รอยยิ้มในตอนนั้นของโคดี้ผ่านเข้ามาในความคิดของเขา มันเป็นรอยยิ้มเดียวกันกับภาพในความทรงจำของเขาเมื่อนานมาแล้ว บางที่นี่อาจเป็นเหตุผมที่ว่าทำไมเขาถึงอยากที่จะเชื่อมั่นในเรื่องนี้ มันเป็นรอบยิ้มของเด็กชายที่ไม่สามรถระงับความสนุกของเขาเอาไว้ได้ และไม่สามารถทนรอที่จะเห็นปฎิกิริยาของอีกฝ่ายได้เช่นกัน