My Death Flags Show No Sign of Ending - ตอนที่ 35
หลังจากการต่อสู้กับแฮมเมอร์เทรนท์จบลงก็ไม่ได้เจอกับมอนเตอร์ขนาดใหญ่ใดๆอีก การสอบเอบก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆโดยไม่มีปัญหาใดๆเช่นกัน แม้ว่าการสอบจบหลักสูตรพื้นฐานส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการให้ต่อสู้กับมอนเตอร์และมอนเตอร์ที่จะใช้ในการสอบนั้นจะถูกกำหนดเอาไว้แล้วล่วงหน้าโดยประเมิณจากความแข็งแกร่งของผู้เข้าสอบ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นมอนเตอร์ขนาดเล็กที่ผู้เข้าสอบจะสามารถเอาชนะได้โดยการต่อสู้ 1 – 1 และมอนเตอร์ขนาดกลางที่ผู้เข้าสอบจะต้องใช้การประสานงานเป็นทีมเพื่อเอาชนะ
แต่ก็ใช่ว่าจะง่ายอย่างที่คิด เพราะเอาเข้าจริง มันต้องไปตั้งแค้มป์แถวๆแหล่งที่อยู่อาศัยของเหล่ามอนเตอร์ถึง 2-3 วันเลยทีเดียว เพื่อที่จะสามารถวัดความสามารถในการต่อสู้ ความแข็งแกร่ง ความยืดหยุ่น การประสานงานเป็นทีมของผู้เข้าสอบได้อย่างถูกต้อง แต่ทว่าการสอบในกรณีพิเศษครั้งนี้กลับมีเพียงฮาโรลด์แค่คนเดียว แม้ว่ากำหนดการการสอบจะดำเนินไปได้ด้วยดี แต่มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเสียเวลาสักระยะในการหามอนเตอร์เป้าหมายให้เจอ
ในที่สุด การสอบก็จบลงอย่างสมบูรณ์หลังจากผ่านมา 3 วัน ท้ายที่สุด หลังจากจัดการบาซิลิสก์ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง ขณะที่ฮาโรลด์และคนอื่นกำลังตั้งแค้มป์พักอยู่ริมน้ำ ซาคริสได้แต่มองย้อนกลับไปภาพเหตุการณ์การสอบของฮาโรลด์ตลอด 3 วันที่ผ่านมา
การสอบจบหลักสูตรพื้นฐานนี้ถูกจัดขึ้นอย่างเร่งรีบ โดยมีผู้เข้าสอบเพียงคนเดียว หรือก็คือฮาโรลด์ ผู้ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนอยู่ ณ ตอนนี้
แม้ว่าความจริงที่ว่าเขาจะอายุเพียงแค่ 13 ปีจะน่าประหลาดใจมากพออยู่แล้ว แต่ว่าสิ่งที่ประหลาดใจเขาที่สุดคือตอนที่ฮาโรลด์ต่อสู้กับแฮมเมอร์เทรนท์ ถ้าหากให้อัศวินหน้าใหม่ไปรับมือกับมอนเตอร์ขนาดใหญ่เช่นนั้น บางทีต่อให้พวกเขาร่วมมือกัน 4 คนยังยากที่จะเอาชนะได้
นั้นคือเหตุผลที่ว่าทำไมซาคริสถึงส่งหัวหน้าหมวด ลูคัสและเซริมไปช่วย แต่ทว่าฮาโรลด์กลับจัดการเจ้าแฮมเมอร์เทรนท์ลงอย่างง่ายๆโดยไม่ต้องยืมมือพวกเขาทั้ง 2 แม้ว่าเขาจะประกาศกร้าวออกมาว่า”เจ้านั้นเป็นของข้า” แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดการแฮมเมอร์เทรนท์ลงอย่างรวดเร็วขนาดนั้นด้วยตัวคนเดียว ฮาโรลด์มีความสามารถในการต่อสู้สูงอย่างน่าเหลือเชื่อ เขารู้สึกได้ทันทีเด็กคนนี้คือบุคคลผู้มีพรสวรรค์อันโดดเด่นและจะสามารถจาลึกชื่อของตนลงในประวัติศาสตร์ของกองอัศวินแน่ๆ
อาจเพราะตัวของฮาโรลด์มีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ทั้งๆที่เพิ่งจะอายุ 13 ปี นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขามีนิสัยหยิ่งผยอง ซาคริสคิดว่านี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ตัวของฮาโรลด์มีนิสัยที่มั่นใจในตัวเอง ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว และใช้คำพูดดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น
แต่ถ้าหากมองอีกมุมหนึ่ง สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเพียงความเห็นแก่ตัวของฮาโรลด์เองเท่านั้น เพราะด้วยความที่มั่นใจในพลังของตน ยิ่งทำให้มีแนวโน้วที่จะดูถูกผู้อื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าคนๆนั้นจะมีความแข็งแกร่งถึงเพียงใด แต่มันก็ยังมีข้อจำกัดที่คนๆเดียวจะสามารถทำได้ ขณะที่ซาคริสกำลังคิดอยู่ในใจ “ถ้าเด็กคนนี้ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ เขาคงไม่สามารถผ่านการสอบนี้ไปได้อย่างง่ายๆหรอกนะ” แต่มันก็เป็นความคิดเพียงช่วงสั้นๆ
นั้นเพราะเมื่อการสอบที่เขาจะต้องร่วมทีมกับหน่วยของโคดี้ เขาก็รับมือกับมันได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ ถึงในช่วงแรกการประสานงานจะไม่ราบลื่นเท่าไหร่นัก แต่พอผ่านไปซักพักมันก็ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ และพอผ่านไป 3 วัน มันก็มาถึงจุดที่พวกเขาประสานงานกันได้อย่างไร้ที่ติ นั้นเพราะตัวของฮาโรลด์เองสามารถปรับระดับของตนให้เขากับคนอื่นๆในหน่วยของโคดี้ได้แล้ว
หากพิจารณาความแข็งแกร่งของฮาโรลด์กับคนอื่นๆในหน่วยของโคดี้ ฮาโรลด์นั้นเหนือกว่าโรบินสันและอีก 2 คนที่เหลือ ถ้าพวกคนในหน่วยของโคดี้พยายามปรับตัวเองให้เข้ากับทักษะของฮาโรลด์ พวกคงเป็นได้แค่ตัวถ่วง นั้นคือเหตุผลที่ว่าทำไมฮาโรลด์ถึงพยายามยั้งมือไว้เสมอ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถประสานงานได้อย่างราบลื่น
แม้ปากของฮาโรลด์เองจะดูถูกเหยียดหยามเพื่อนร่วมทีมตั้งแต่ต้นจนจบ แต่สิ่งที่เขาพยายามปฎิบัติออกมากลับตรงกันข้าม เขาพยายามที่จะใช้ความแข็งแกร่งของเพื่อนร่วมทีมเพื่อลบจุดอ่อนของกันและกัน แม้ว่าตัวของฮาโรลด์จะมีพลังเหนือกว่า แต่เขาก็ไม่ได้ใช้พลังนั้นดูถูกเพื่อนร่วมทีมแต่อย่างใด แถมฮาโรลด์ยังเคารพและร่วมทีมกันได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย ฮาโรลด์ช่างเป็นเด็กที่คำพูดและการกระทำของเขากลับตรงกันข้ามกันซะงั้น
ถ้าหากเขาตั้งใจที่จะดูถูกเพื่อนร่วมทีมว่าไร้ค่าจริงๆ ไม่มีทางที่เขาจะประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมได้ดีขนาดนี้ ถึงแม้ซาคริสจะคิดเช่นนั้น แต่อีกใจหนึ่งเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าด้วยความแข็งแกร่งของฮาโรลด์ที่มีมากมายขนาดนี้ ต่อให้สถานการณ์จะออกมารูปแบบใดเขาก็คงผ่านมันไปได้ด้วยตัวคนเดียวแน่ๆ
ตลอดทั้งการสอบ ซาคริสไม่เข้าใจตัวตนของเด็กที่ชื่อฮาโรลด์ได้เลย ถ้าจะให้พูด ผลการสอบนั้นออกมาดีมากแทบจะหาที่ติไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย
สิ่งที่กำลังรบกวนจิตใจของเขาอยู่นั้น มันเป็นตอนที่การสอบจบลงไปแล้วและพวกเขาตั้งใจที่จะเดินทางกลับเมืองหลวงในเช้าวันถัดไป ซึ่งพวกเขาออกเดินทางกันตั้งแต่ 6 โมงเช้า และถ้าหากไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาก็จะสามารถถึงเมืองหลวงก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน พวกเขาเดินทางด้วยความเร็วเดียวกับตอนขามา ผ่านช่วงแวะพักกินอาหารเที่ยงและออกเดินทางต่อโดยไม่เสียเวลาใดๆ และในตอนนั้นเองที่พวกเขาผ่านมาได้ครึ่งทางแล้วจะถึงเมืองหลวง เหตุการณ์นั้นก็เกิดขึ้น
[นั้นมันอะไร ?]
คนๆหนึ่งที่สังเกตเห็นมันคนแรกได้ส่งเสียงขึ้น เขาคือ ลูคัส เมื่อตอบสนองต่อเสียงนั้น ทุกๆคนต่างมองไปยังทิศทางด้านหน้า ห่างไปราวๆ 100 กว่าเมตรจากซาคริสและคนอื่นๆ อะไรบางอย่างสีแดงๆมืดๆกำลังเคลื่อนไหวอยู่
[ … นั้นมัน- ควันหรอ ? ไม่สิ สีแบบนั้นมันคืออะไร? การเคลื่อนไหวที่ไม่ปกตินั้นด้วย ]
[ มันดูคล้ายๆกับกลุ่มหมอก ]
[ หรือบางที อาจเป็นมอนเตอร์ชนิดใหม่? ]
พวกเขาแต่ละคนต่างคาดเดากันออกมา แต่ก็ไม่มีใครสามารถยืนยันตัวตนของหมอกเหล่านั้นได้ และเพราะเจ้าสิ่งนั้นอยู่ในเส้นทางที่พวกเขากำลังเดินไป พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะเข้าไปใกลๆเพื่อตรวจสอบมัน แต่ทว่า ใบหน้าของฮาโรลด์กลับมืดครึ่มกว่าปกติ และมี 2 คนที่สังเกตเห็นสีหน้าของฮาโรลด์นั้นคือซาคริสและ
[ฮาโรลด์คุง นายรู้หรอว่าสิ่งนั้นคืออะไร ? ]
โคดี้ได้กระซิบถามออกมา มีเพียงฮาโรลด์และซาคริสเท่านั้นที่ได้ยิน
[ ใครจะไปรู้ แต่ถ้าแกไม่รู้สึกอะไรจากเจ้าสิ่งนั้น แกก็เป็นเพียงแค่ไอ้โง่บรม ]
ทันทีที่ถูกถาม ฮาโรลด์ก็ตอบกลับมาโดยไม่แม้จะละสายตาจากเจ้าสิ่งนั้น โคดี้ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงรู้สึกถึงอันตรายจากเจ้าสิ่งนั้นขนาดนั้น แต่ว่าหลังจากนั้นอีกไม่นานโคดี้ก็ได้เข้าใจว่าประสาทสัมผัสของฮาโรลด์นั้นแม่นยำขนาดไหน
ร่างสีแดงเข้มนั้นค่อยๆกลายเป็นกลุ่มหมอก รูปร่างของมันคล้ายกับเสาที่พวยพุ่งออกมาจากพื้นดิน เมื่อพุ่งขึ้นด้วยความสูงราวๆ 150 ซม. มันก็สลายหายไป เพราะเช่นนั้นจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถหาเบาะแสใดๆเพิ่มเติมได้จึงจำเป็นต้องเข้าไปใกล้ๆ ณ จุดๆนั้นเพื่อตรวจสอบ
[ไม่ใช่ว่ามีอะไรถูกฝังอยู่ตรงนั้นหรอ ?]
ในจังหวะที่ชิโด้กำลังนั่งลงและก้มเพื่อตรวจสอบ กลุ่มหมอกก็ปรากฎขึ้นและเปลี่ยนรูปร่างราวกับมีเจตจำนงของมันเอง ในจังหวะนั้นเอง ฺฮาโรลด์ร้องออกมาเสียงดัง
[ ถอยออกมา!! ]
[ เอ๊ะ ]
เคียวสีแดงเข้มที่เกิดจากกลุ่มหมอกตวัดเข้าโจมตีชิโด้ และคนที่ดึงชิโด้ที่รับมือไม่ทันหลบออกมาได้อย่างหวุดหวิดนั้นฮาโรลด์ เคียวนั้นเฉี่ยวต้นคอของเขาไปเพียงปลายเส้นผม ถ้าหากช้ากว่านั้นเพียงเสี้ยววิ หัวของชิโด้คงถูกตัดไปแล้วอย่างไม่ต้อสงสัย
ผมหน้าม้าของชิโด้ถูกตัดขาดโดยเคียวหมอกนั้น เมื่อเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น หน้าของชิโด้กลายเป็นซีดเผือก และกล่าวขอบคุณแก่ฮาโรลด์
[ นะ- นายช่วยชีวิตชั้น … ขอบคุณ ขอบคุณมากๆ ฮาโรลด์ ]
[ มันไม่สำคัญ ลุกเดี่ยวนี้ ! ไอ้สมองขี้เรื่อย ]
มันค่อนข่างรุนแรงไปหน่อยที่ใช้คำพูดเช่นนั้นกับคนที่เพิ่งเกือบถูกฆ่าตาย แต่ด้วยสถานการณ์ที่กดดัน กว่าที่พวกเขาจะรู้สึกตัว ร่างของหมอกสีแดงเข้มก็ปรากฎขึ้น 2 – 3 ตัว
[ พวกเราถูกล้อมแล้ว ! ]
[ นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี้ย ? ]
ร่างของกลุ่มหมอกค่อยๆปรากฎขึ้นรอบๆพวกเขา มันมีจำนวนทั้งหมด 6 ร่าง มันเริ่มกลายเป็นเคียวและเริ่มกวัดแกว่งเป็นวงกลม ขณะมองดูปรากฎการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้ ทุกๆคนต่างสั่นเทา
มีเพียงคนเดียวที่ไม่แม้จะสั่นไหวต่อเหตุการณ์ที่น่าขนลุกที่กำลังเผชิญอยู่ เพียงชั่วอึดใจ ฮาโรลด์ก็พุ่งเข้าไปโจมตีหมอกนั้นโดยไม่ลังเล มันคือความเร็วที่เขาไม่เคยเผยมันออกมาในการสอบเลยซักครั้ง ซาคริสได้แต่ตกตะลึงกับความสามารถของเด็กคนนี้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด และในตอนนั้นเอง ฮาโรลด์ก็ฟันไปที่หมอกนั้นด้วยความเร็วที่สายตาไม่อาจมองได้ทัน
ร่างของกลุ่มหมอกที่ถูกโจมตีนั้นกระจัดกระจายหายไป แต่ว่าแทบจะในทันทีพวกมันก็กลับมาเป็นดั่งเดิม หลังจากลองโจมตี อีก 2 – 3 ครั้ง ฮาโรลด์ก็ถอยกลับมาตั้งหลักกับกลุ่มของพวกเขา
[ การโจมตีด้วยกายภาพไม่มีผล แม้จะรู้สึกว่าใบดาบโดนอะไรบางอย่าง แต่มันก็ทะลุผ่านไป และพวกเราไม่น่าจะสามารถป้องกันได้ ]
[ ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีของพวกมันช่าง …. ]
ขณะมองไปทีผมของชิโด้ที่ถูกตัด ไม่ผิดแน่ มันคือการโจมตีที่เกิดจากหมอกพวกนั้น และมันไม่สามารถป้องกันได้
[ มะ มะ- ไม่มีทางที่พวกเราจะสามารถเอาชนะเจ้าสิ่งนั้นได้…. ]
[ พวกเราหนีกันดีมั้ย ? ]
โรบินสันและไอรีน ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ต่างรู้สึกสับสน ชิโด้ยังไม่ฟื้นจากความกลัว แบบนี้คงยากที่จะทำให้คนเหล่านี้กลับมาพร้อมสู้ และในทันทีที่พวกเขาตั้งใจจะถอย ฮาโรลด์กลับกล่าวออกมาอย่างหยาบคาย
[ อย่ามัวแต่ตื่นตนก ใช้สมองของพวกแกซะ ถ้าพวกแกไม่อยากตายก็ชัดดาบออกมา [[หอกสายฟ้า!]] ]
เสียงบางอย่างกำลังแตกออกราวกับอากาศรอบๆถูกฉีกเป็นชิ้นๆ หอกสายฟ้าขนาดใหญ่ก็พุ่งออกไป หอกสายฟ้าที่พลังของมันรุนแรงมากพอที่จะสังหารศัตรูได้พุ่งเข้าปะทะกับ 1 ในร่างหมอกแดงเข้มพวกนั้น มันสลายหายไปทันที แต่ว่าไม่นานมันก็กลับมาเป็นดังเดิม แต่ฮาโรลด์ยังไม่หยุดแค่นั้น เขายิงเวทมนตร์ออกไปอย่างต่อเนื่อง
[[เสาเพลิง]] [[มีดวารี]]
“” Flame Column, “” Aqua Slash ‘ “
การโจมตีเหล่านั้นปรากฎผลของมันให้เห็นทันที ร่างของหมอกที่ถูกกลืนกินด้วยเสาเพลิงกลับมาคืนรูปร่างเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ร่างหมอกที่ถูกโจมตีด้วยมีดวารีกลับส่งผล มันกระจายตัวลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและหายไป
[ หือ? การโจมตีด้วยเวทมนตร์ธาตุน้ำส่งผล ]
ฮาโรลด์ยิงมีดวารีใส่ร่างหมอกอื่นๆทันที แต่ทว่ากลับมีเพียง 1 ร่างที่สลายหายไปจากการโจมตีด้วยเวทมนตร์นั้น ร่างหมอกอีก 4 ร่างกลับเป็นดังเดิม เพราะฉนั้น คำตอบมีเพียง 1 เดียว –
[ แต่ละตัวมีจุดอ่อนไม่เหมือนกัน เป็นเวทมนตร์ธาตุใดธาตุหนึ่งสินะ ]
[ ใช่พวกเราจะไม่มีทางรู้ได้ว่ามันแพ้ธาตุอะไร เป็นปัญหาเสียจริง ]
[ เจ้าพวกโง่ พวกแกจะมัวร้องระงมกันทำไมวะ ? หยุดบ่น แล้วเริ่มร่ายเวทมนตร์ใส่พวกมันซักที ]
[ นะ- นายพูดถูก ]
ฮาโรลด์ โคดี้ และซาคริส เริ่มต้นยิงเวทมนตร์ออกไป สายฟ้าเริ่มผ่าลงมา เปลวไฟลุกท่วม สายลมเริ่มผัดอย่างบ้าคลั่ง ณ ทุ่งหญ้าเขียวขจีตอนนี้ถูกเปลี่ยนเป็นสนามระบายเวทมนตร์ต่อหน้าของพวกเขา
หลังจากที่ร่างหมอกสีแดงสุดท้ายหายไป ซาคริสได้ถอนหายใจออกมาทันทีที่รับรู้ได้ว่าพวกเรารอดพ้นจากอันตรายมาได้แล้ว แต่ก็กลับมาตื่นตัวระมัดระวังสิ่งต่างๆรอบตัวทันทีและเริ่มยืนยันความปลอดภัยของคนอื่นๆ ขณะคิดๆว่า “หวังว่าไอ้พวกหมอกนั้นคงไม่มีกำลังเสริมหรอกนะ” จิตใจของเขาก็กลับมาสงบอีกครั้ง
[ มีใครได้รับบาดเจ็บมั้ย ? ]
[ พะ- พวกเราไม่เป็นไร … ]
ซาคริสโล่งใจทันทีที่ทราบว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่นั้นต้องขอบคุณฮาโรลด์ ที่ตัดสินใจได้ทันทีและหาเบาะแสเพื่อแก้ไขสถานการณ์จนได้ ถ้าสมมุติว่า ตัวของซาคริสเองเป็นผู้บัญชาการในครั้งนี้ด้วยตัวเอง พวกเขาจะสามารถผ่านสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำได้จริงๆหรอ ? จะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บใดๆเลยหรอ ?
มันช่วยไม่ได้ที่ซาคริสจะคิดว่ามันเป็นไปได้ยาก อย่างน้อยที่สุด ซาคริสก็ไม่คิดว่าเขาจะสามารถช่วยชิโด้ได้ทัน อย่างที่ฮาโรลด์ได้ทำ
[[ ใครจะไปรู้ แต่ถ้าแกไม่รู้สึกอะไรจากเจ้าสิ่งนั้น แกก็เป็นเพียงแค่ไอ้โง่บรม ]]
อย่างที่ฮาโรลด์เคยพูดเตือน ซาคริสไม่ได้สนใจในคำพูดนั้นกลับปล่อยให้ชิโด้เข้าใกล้เจ้าสิ่งนั้นโดยไม่ได้เตรียมตัว ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือความผิดของเขาเองที่เป็นผู้นำทีมในครั้งนี้ เขาเกือบปล่อยให้คนๆนึงตายต่อหน้าเขา ซาคริสได้แต่ก้มหัวต่อหน้าของฮาโรลด์
[ ขอบคุณเธอมาก สโตร์กคุง ยกโทษให้ข้าด้วย สาเหตุของวิกฤตในครั้งนี้เกิดจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดของข้าเอง ]
[ อย่านับไอ้อะไรอย่างสถานการณ์แค่นี้ว่าวิกฤต เอาเถอะ ก็อย่าทำผิดพลาดซ้ำแบบเดิมละกัน ]
เพราะสถานการณ์ออกมาเช่นนี้จึงทำให้สับสนว่าใครเป็นผู้บังคับบัญชากันแน่ แต่ช่างเถอะ ซาคริสจารึกคำพูดเหล่านั้นไว้ภายในใจ และตอบกลับเพื่อแสดงปณิธานของเขา
[ ข้าจะนึกถึงมันตลอด ขอบคุณ ]
◇
ความรู้สึกขอบคุณของซาคริสส่งไปไม่ถึงหูของฮาโรลด์เลยซักนิด สมองของฮาโรลด์ยังตื้อไปหมดตั้งแต่เผชิญกับสิ่งนั้นและตอบกลับทุกๆอย่างไปโดยที่ไม่รู้ตัว ในตอนนั้น ตอนที่เห็นเจ้าสิ่งนั้นจากระยะไกล ฮาโรลด์ยังคงลังเลอยู่ว่าใช่สิ่งนั้นจริงๆหรอ แต่ทันทีที่ยืนยันได้ว่าเป็นสิ่งนั้นจริงๆ จิตใจของฮาโรลด์แต่จมดิ่งกับคำว่า “ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่!?”
เจ้ากลุ่มหมอกสีแดงเข้ม หรือชื่อจริงๆในเกมส์คือ “อีรี่ คราว” มันคือศัตรูที่การโจมตีทางกายภาพทั้งหมดนั้นไร้ผลและสามารถโจมตีมันได้โดยเวทมนตร์บางธาตุเท่านั้น ไม่ต้องพูดให้มากความเลย มันทั้งแข็งแกร่ง ความสามารถในการโจมตีก็รุนแรง ความยืดหยุ่นก็สูงกว่าปกติ และปัญหาหลักๆคือเราไม่สามารถป้องกันการโจมตีของมันได้เลยนอกเสียจากหลบหลีกและใช้เวทมนตร์โจมตีมันเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ฮาโรลด์จึงต้องต่อกรกับพวกมันโดยวิเคราะห์พวกมันไปด้วยต่อหน้าโคดี้และคนอื่นๆ ปกติภายในเกมส์ มันจะมีไอเทมที่เรียกว่า “กระจกตรวจสอบ” มันสามารถใช้ตรวจสอบความแข็งแกร่งและค้นหาจุดอ่อนของศัตรูได้ แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีอยู่ภายในโลกแห่งนี้ ซึ่งเขาก็เลิกคิดไปนานแล้วว่าทุกๆสิ่งในโลกแห่งนี้จะเหมือนกับเกมส์ไปซะทั้งหมด การไม่มีอยู่ของกระจกตรวจสอบถือว่าข้อยืนยันในความคิดของเขา
แต่ประเด็นไม่ใช่ตรงนั้น อีรี่คราว เป็นมอนเตอร์ที่มีความสำคัญในเนื้อเรื่องหลัก แต่เดิมทีตามเนื้อเรื่องเกมส์พวกมันจะปรากฎออกมาช่วงกลางๆเรื่องถึงช่วงท้ายๆของภายในเกมส์ เอาตรงๆ การปรากฎตัวของพวกมันถือเป็นสิ่งยืนยันตัวตนว่าลาสบอสมีอยู่จริง มันคือสิ่งยืนยันว่า[[แผนการบุกรุกโลกของยูสทัส]]ใกล้เป็นความจริง
สิ่งเหล่านี้ควรจะปรากฎออกมาหลังจากที่เนื้อเรื่องของเกมส์ดำเนินไปแล้วซัก 5 ปีได้ ซึ่งไม่ว่าเขาจะมองมุมไหน นี่มันก็เร็วเกินไป จริงๆมันก็อาจจะเป็นไปได้ที่ว่าพวกมันจะมีอยู่ตั้งแต่ก่อนเนื้อเรื่องของเกมส์จะเริ่มต้นขึ้นอยู่แล้ว เพียงแค่ไม่เคยปรากฎตัวออกมาเลยจนเนื้อเรื่องดำเนินมาถึงจุดๆหนึ่ง แต่หากมองในกรณีที่เลวร้ายที่สุด นั้นแสดงว่าแผนการของยูสทัสเริ่มต้นเร็วขึ้นกว่าภายในเกมส์ และหากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุการณ์ต่างๆเหมือนภายในเกมส์จะเกิดขึ้นเร็วกว่าเดิม และมันอาจจะดำเนินไปในทิศทางที่ฮาโรลด์ไม่สามารถคาดเดาได้อีก
ก็จริงที่ไม่ใช่ทุกๆอย่างจะเป็นเหมือนดั่งภายในเกมส์ แต่ก็ไม่รู้อะไรดลใจให้เขายึดติดคิดว่ามันคงดำเนินเรื่องราวต่างๆไปดั่งภายในเกมส์กันนะ ทั้งการมอบสูตรยาช่วยเหลือกับดินแดนสุเมรากิและความตั้งใจที่จะเข้าร่วมกองอัศวิน เอาตามตรง เหตุการณ์เหล่านี้มันนำหน้ากว่าเรื่องเนื้อจริงๆภายในเกมส์ตั้งเยอะ ซึ่งมันคือความผิดพลาดร้ายแรงของตัวฮาโรลด์เองที่เร่งเนื้อเรื่องให้มันดำเนินไวขึ้นอย่างไม่สนใจ
( เดี่ยว เดี่ยวนะ ใจเย็นลงก่อน มันยังไม่แน่ซักหน่อย … )
เขาค่อยๆปรับลมหายใจของตนเองให้สงบลง ความคิดของเขาตอนนี้เป็นเพียงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่านั้น เนื้อเรื่องมันจริงๆอาจยังไม่ดำเนินมาถึงจุดที่ต้องวิตกก็ได้ แต่ว่ามันก็จำเป็นต้องยืนยันข้อเท็จจริงเหล่านี้
ยูสทัส ฟรอยด์
ภายนอกนั้น เขาเป็นเพียงนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะ แต่ตัวตนจริงๆของเขานั้นคือคนที่ยอมทำลายโลกทิ้งเพื่อแลกกับปณิธานของตัวเอง เขาเป็นชายที่เสียสติ และเป็นคนที่ชี้นำฮาโรลด์ในเกมส์ให้หลงผิดจนพบกับจุดจบ
และหากฮาโรลด์ยังต้องการดำเนินเรื่องไปในทิศทางเดี่ยวกับภายในเกมส์อยู่ การที่จะต้องมาข้องแวะกับยูสทัสเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้การคงอยู่ของยูสทัสถือว่าเป็นตัวตนที่อันตรายมากสำหรับเขาและพยายามหาวิธีหลีกเลี่ยงอยู่ แต่ทว่าหากฮาโรลด์ไม่พยายามเข้าหายูสทัส เขาเองก็จะไม่สามารถสืบหาข้อมูลที่จำเป็นได้ บางทีเหตุการณ์อาจจะดำเนินมาจนสายเกินแก้แล้ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังจำเป็นที่จะต้องเสี่ยงเข้าหายูสทัส
ดังนั้น การสอบจบหลักสูตรพื้นฐานของฮาโรลด์ก็จบลง พร้อมกับธงตายขนาดยักที่งอกขึ้นมา
—————————-
TL: เควสเก่าๆยังไม่ทันแก้ เควสใหม่เด้งรัวๆเลยนะฮาโรลด์คุง