My Death Flags Show No Sign of Ending - ตอนที่ 7
[ ถ้าแกเข้าใจดีแล้ว ก็เริ่มงานได้ทันที, นอร์แมน , รวบรวมทุกๆสิ่งที่ข้าพึ่งจะอธิบายไปลงในเอกสาร จัดทำเป็นคำสั่งเพื่อใช้หว่านล้อมผู้คน ถ้าหากมันมีจุดที่ยังคลุมเคลือหรือเป็นสิ่งที่แกรู้สึกกังวล ห้ามปล่อยละเลยเด็ดขาด ถามข้าทันที ]
[ ขอรับ ]
[ เจค หาฟาร์มที่อยู่ติดกันและเหมือนๆกันเท่าที่จะหาได้ ข้าต้องการที่จะใช้มันเป็นฐานในการเริ่มงาน ส่วนพื้นที่เพาะปลูกพืชชนิดต่างๆนั้น แกไม่ต้องพิจารนาอะไร เดี่ยวข้าจะเป็นระบุเองว่าจุดไหนต้องปลูกอะไร ]
[ ขอรับ ]
ตั้งแต่เขาได้สั่งงานเหล่านี้ไป มันทำให้เขารู้สึกได้พักเรื่องพวกนี้ไว้กับ 2 คนที่ดูเหมือนจะสามารถพึ่งพาได้แล้ว สำหรับตอนนี้ สิ่งที่พอจะทำได้ทั้งหมดก็ได้ทำลงไปจนหมดแล้ว เมื่อคิดเช่นนั้น เขาก็หงายหลังพิงลงกับพนักพิงที่เก้าอี้ และในตอนนั้นเองที่สายตาของเขาได้ประสานเข้ากับเซ็น ผู้ที่ยังอยู่ภายในห้องของเขาเพียงคนเดียว . .
[ . . . . มีอะไร ? ]
[ กระผมควรทำอะไรดีขอรับ ท่านฮาโรลด์ ]
เซ็นถามออกมาพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกายวิบๆ แห่งความหวัง
แต่ช่างน่าเศร้า มันไม่มีงานอะไรให้เขาทำจนกว่าพวกเขาทั้งหมดจะมุ่งให้ไปที่เมือง
[ ไม่ต้องทำอะไร , ไม่ก็ กลับไปทำงานเดิมของแกซะ ]
อย่างแรก คาซูกินั้นไม่ได้เรียกเซ็นมาที่นี่ แต่เขากลับไปๆมาๆห้องนี้อยู่ตลอด คาซูกิอยากจะถีบเขาออกจากห้องจริงๆ
[ แต่ผมวันนี้เป็นวันหยุดผมง่ะ ! ]
[ แล้วแกมาทำซากอะไรที่นี่ฟร่ะ ? ]
หลังจากเตะเซ็นที่กำลังยกนิ้วโป้งให้ ในที่สุดเขาก็ไล่เซ็นออกจากห้องไปได้
เฮ้อ ในที่สุดภายในห้องนี้ก็ว่างเสียที
ด้วยนี่ ขั้นแรกก็ถึอว่าสำเร็จไปด้วยดี สิ่งที่ทำได้ตอนนี้มีแค่เพียงรอนอร์แมนและเจคจัดการเตรียมการให้ เขาไม่รู้ว่ามันจะต้องใช้อีกเวลานานเท่าใด แต่กว่าจะถึงเวลานั้น อาจจะทำให้เขามีเวลาพักผ่อนซักอาทิตย์นึงได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันควรจะเป็นอย่างที่คิดไว้ แต่ว่าปัญหาใหม่ก็ได้เรียงคิวมาโดยทันที
มันเกิดขึ้นในตอนที่กำลังรับประทานอาหารเย็น จู่ๆพ่อของฮาโรลด์ก็ทิ้งระเบิดลงกลางวงดินเนอร์
[ ฮาโรลด์ พ่อได้กำหนดคู่แต่งงานให้กับลูกแล้ว ]
เหตุผลที่ว่าทำไมประโยคนี้ไม่ทำให้เขาถึงกับพ่นน้ำผลไม้ที่อยู่ในปากของเขาออกมา นั้นเพราะคาซูกิพอจะรู้เรื่องคู่หมั่นของฮาโรลด์อยู่ก่อนแล้ว
ถึงกระนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ เพราะเขามัวแต่ตามแก้ปัญหามากมายที่แห่มากองอยู่ตรงหน้าเขาโดยตลอด จนเขาลืมไปเลยว่ายังมีเรื่องคู่หมั่นของฮาโรลด์อยู่อีกคน
[ คู่แต่งงาน? เธอเป็นใครครับ ? ]
เขาแกล้งถามกลับไปแม้ว่าจะรู้คำตอบอยู่ก่อนแล้ว
[ ลูกสาวของตระกูลซูเมะรากิ ถ้าจะให้พูดตรงๆล่ะก็ มันก็เป็นเพียงการหมั่นหมายเท่านั้น แต่ว่าสำหรับเรื่องนี้ มันจะยิ่งทำให้สายเลือดของตระกูลสโตร์กแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ]
[ โอ้ว มันวิเศษไปเลยครับ! ]
พ่อแม่ของเขาที่กำลังหัวเราะชอบใจอย่างเบาๆ , แน่นอน สำหรับ 2 คนนี้ผู้ที่เป็นสายเลือดบริสุทธิ์ มันจึงถือว่าเรื่องนี้เป็นข่าวดียิ่งสำหรับพวกเขา
ตระกูลซูเมะรากินั้นเป็น 1 ในหมู่ตระกูลขุนนางผู้ที่มีส่วนช่วยในการสร้างประเทศแห่งนี้ และสำหรับตระกูลซูเมะรากิ ตอนนี้นั้นมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับทางราชอาณาจักรอีกด้วย ถ้าหากพวกเขาสามารถเกี่ยวพันกันทางสายเลือดกับตระกูลนี้ได้ มันทำให้เกียรติของตระกูลสโตร์ก ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าสายเลือดบริสุทธิ์ ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น
[ ก็ตามที่ฝั่งนั้นแจ้งมานั้นแหละ พวกเขาอยากจะพบกับลูก . . . ดังนั้นพวกเราจะไปที่ดินแดนซูเมะรากิเร็วๆนี้ ]
“โกหกชัดๆ” แต่เขาหยุดตัวเองได้ทันก่อนที่จะพูดออกไป สำหรับคาซูกิ เขารู้เรื่องราวจากในเกมส์อยู่แล้วว่าฝั่งตระกูลซูเมะรากินั้นไม่ได้กระตือรือร้นอะไรกับเรื่องการหมั้นในครั้งนี้เลยซักนิด
( ฮึ เดี่ยวนะ ? บางที ฉากนี้มัน . . . )
ตามข้อมูลทามไลน์ที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขา พร้อมกับความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาตั้งแต่เรื่องการหมั้นได้ถูกพูดขึ้น , มันไม่ผิดแน่มันจะต้องเกิดความเสียหายบางอย่างไปแล้วกับฝั่งของตระกูลซูเมะรากิ อย่างไรก็ตาม ความเสียหายนั้นยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งความเสียหายนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนเนื้อเรื่องจะเริ่มเสียอีก
และถ้าหากคาซูกิเข้าแทรกแซงแล้วล่ะก็ มันอาจจะสามารถหยุดความเสียหายที่จะกระจายเป็นวงกว้างได้อย่างมหาศาล แต่ว่ามันอาจจะมีผลกระทบบางอย่างเกี่ยวกับเนื้อเรื่องแน่ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่ควรที่จะรีบร้อนจนเกินไป แต่เมื่อพิจารณาถึงความเป็นมนุษย์ด้วยกัน เขาจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ “ถ้าไม่เสียสละบางสิ่ง ก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้”
[ ที่พ่อบอกว่าเร็วๆนี้ มันตอนไหนครับ ? ]
[ ก็ ราวๆ 2 ถึง 3 วัน ]
(หาาาาาา ! )
ในระยะเวลาแค่นี้ เขาไม่สามารถที่จะรวบรวมสิ่งของที่จำเป็นพวกนั้นได้ทันแน่ โดยเฉพาะ สิ่งที่หาได้จากการกำจัดมอนเตอร์ และนั้นจึงเป็นปัญหา
อืม สิ่งที่แตกต่างจากโลกของเกมส์ที่สิ่งของต่างๆสามารถหาซื้อได้เพียงแค่จากร้านค้านั้นคือโลกนี้มีระบบเศรษฐกิจดำเดินอยู่ ดังนั้นไอเทมเหล่านั้นอาจจะยังคงหมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจ เขาอาจจะรวบรวมสิ่งของที่จำเป็นเหล่านั้นได้จริงๆ แต่พอได้คิดดูดีๆแล้ว เขาก็ไม่ควรที่จะเปิดเผยมันออกไปอยู่ดี เพราะสิ่งนี้มันจะไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่ในดินแดนของตระกูลซูเมะรากิแน่ๆ
ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดที่เขาทำได้คงแค่เขียนสิ่งนี้ลงไปในจดหมายไว้ล่วงหน้าเท่านั้น และค่อยส่งมันให้ทางตระกูลซูเมะรากิโดยที่ต้องไม่ให้พ่อแม่ของเขาล่วงรู้
พอคาซูกิรับประทานอาหารเสร็จ เขาก็ขอตัวกลับไปยังห้องของเขาแทบจะในทันที พลางนึกถึงความทรงจำ มันเป็นความทรงจำเรื่องตำรายาสำหรับสร้างผงบางอย่าง
( ต้นไฮซบโป๋ยกั๊ก และ เขี้ยวของกาดัน , หญ้ารีล . . . และอะไรอีกมั้ยนะ? ถ้าผมจำไม่ผิด ไอ้ของพวกนี้มันคล้ายๆกับ ยาโบราณของจีน . .. )
การผสมไอเทมในเกมส์ [ Brave Hearts ] มันไม่เพียงแค่สร้างไอเทมฟื้นฟูเพียงอย่างเดียว แต่มันรวมไปถึงอาวุธ ชุด เกราะ และ อีกหลายๆอย่าง และมันสร้างได้แม้กระทั้งยารักษา
สำหรับคาซูกิ ผู้เคยผสมพวกมันเกือบทั้งหมดทุกอย่างบ่อยครั้งและจดจำมันไว้ภายในหัวของเขา มันจึงเป็นเรื่องปวดหัวพอสมควรที่จะนึกถึงรายละเอียดเหล่านั้นได้
ในท้ายที่สุด เขาก็นึกออกเกี่ยวกับ 5 สิ่งที่ต้องใช้ผสมกับเพื่อสร้างสิ่งนี้และจดมันลงในจดหมายเพื่อให้กับตระกูลซูเมะรากิก่อนที่เขาจะลืมมัน กว่าจะเสร็จสิ้นสิ่งที่ทำก็รุ่งสางพอดี แสงอาทิตย์เริ่มที่จะสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง
และตอนนี้ คาซูกิ ผู้ที่พึ่งจะเคยนั่งอยู่ในรถม้าครั้งแรกของเขาในชีวิต เขากำลังมุ่งไปยังดินแดนของตระกูลซูเมะรากิ พร้อมในมือของเขายังคงถือจดหมายที่ถูกเขียนขึ้น เมื่อ 3 วันก่อนหลังอาหารเย็นเมื่อตอนนั้น
จริงๆการเดินทางครั้งนี้ควรจะใช้เวลาทั้งสิ้น 9 วัน และถ้าหากพวกเขาเดินทางแบบไม่หยุดพัก มันคงจะเร็วขึ้นอีก 1-2 วัน
แต่ว่า . . มันเป็นเพราะชีวิตติดหรูของผู้นำตระกูลสโตร์กคนปัจจุบัน
มันเป็นอะไรบางอย่างที่เกินกว่าจะเรียกว่าสิ่งนี้คือการหยุดพัก เพราะพวกเขาไม่ได้ไปตั้งแคมป์ริมทางไรงี้หรอกนะ พวกเขาเข้าพักในโรงแรมที่ดีที่สุดตามเมืองระหว่างทางต่างหาก แต่ยังถือว่าพวกเขาโชคยังดีอยู่ เพราะสิ่งนี้ทำให้พวกเขาไม่ได้เดินทางในเวลากลางคืน เพราะช่วงกลางคืน มันเป็นเวลาที่เหล่ามอนเตอร์ออกเพ่นพ่านไปทั่ว แน่นอน ช่วงกลางคืนนั้นมันมีมอนเตอร์ที่แข็งแกร่งแน่ๆ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่เจอมอนเตอร์ที่แข็งแกร่งอะไรนักตลอดเวลาการเดินทาง
ถึงจะเดินทางช้าซักเพียงใด คาซูกิในก็ไม่ได้เป็นกังวล เพราะสิ่งที่เขาต้องทำนั้น เขาได้ทำไปทั้งหมดแล้ว
สรุป การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาราวๆ 3 อาทิตย์
นอกจากเรื่องที่เสียเวลาไปอย่างไร้ประโยชน์เพราะพ่อของเขา มันก็ไม่มีปัญหาอะไรอื่นอีก
ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงยังคฤหาสน์ของตระกูลซูเมะรากิ
ภาพที่ปรากฎต่อหน้านั้นมันเป็นสิ่งก่อสร้างที่ทำจากไม้ ประดับด้วยโคมไฟสีแดงที่ห้อยต๋องแต่งอยู่ริมชายคา พร้อมเสียงของน้ำพุไม้ไผ่ ที่ดังก้องกังวานมาจากลานกว้าง และต้นไม้ใหญ่ที่สั่นไหวพร้อมกับดอกซากุระที่เบ่งบานเต็มต้น สิ่งเหล่านี้มันทำให้เขานึกถึงญี่ปุ่นในสมัยก่อน
ที่นี่มันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของญี่ปุ่นโดยแท้ สิ่งที่ทำให้ตระกูลซูเมะรากิเป็นดังนี้นั้นเพราะพวกเขาได้รับความเจริญทางวัฒนธรรมมาจากดินแดนทางตะวันออก และไม่เพียงแค่คฤหาสน์แห่งนี้ แม้กระทั้งเมืองยังเป็นรูปแบบสไตล์ญี่ปุ่น
[ ยินดีต้อนรับขอรับ นายท่านและนายหญิงกำลังรอพวกท่านอยู่ ได้โปรด เชิญทางนี้ขอรับ ]
ชายผมขาวสูงอายุกำลังก้มโค้งรอตอนรับพวกเขาที่หน้าทางเข้าหลัก ดูจากเครื่องแต่งกายและสิ่งที่พวกถืออยู่แล้ว คาซูกิรู้สึกได้เลยว่าเขาคนนี้นั้นไม่ใช่เพียงแค่คนรับใช้ธรรมดา
และตามคำแนะนำนั้น พวกเขาได้เข้าไปยังในคฤหาสน์
[ ข้าไม่สามารถอยู่ที่นี่โดยเดินถอดรองเท้าภายในบ้านได้หรอกนะ แม้ว่ามันจะมีสิ่งที่เรียกว่า รองเท้าสำหรับใช้ในบ้าน ก็เถอะ]
[ สิ่งนี้คือวัฒนธรรมของบ้านซูเมะรากิ ได้โปรดกระทำตามด้วยขอรับ ]
แม้ว่าพ่อของเขาจะยังบ่นอยู่ คาซูกิก็เริ่มถอดบูทของเขาออก และปฎิบัติตาม
หลังจากทำแบบนั้นแล้วเขาก็พลันนึกขึ้นได้ว่า “อ้า , แบบนี้มันไม่สมกับเป็นฮาโรลด์เลย”
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าคนอื่นๆนั้นจะไม่ได้สังเกตุเห็นมัน เขาจึงโล่งใจได้อยู่ระดับหนึ่ง
และเมื่อเดินไปสักพักเกือบครึ่งทางของคฤหาสน์ ในที่สุด ชายสูงอายุคนนั้นก็หยุดเดิน
[ นายท่าน กระผมพาท่าน เฮย์เดน สโตร์ก และบุตรชาย ท่านฮาโรลด์ มาถึงแล้วขอรับ ]
[ เชิญเข้ามาได้ ]
เมื่อได้ยินเสียงขานรับจากอีกฝากหนึ่งของประตูเลื่อน ชายแก่จึงนั่งทับเข่าลงและเปิดประตูเลื่อนออกด้วย 2 มือของเขา
ภายในห้อง มันเป็นห้องสไตล์ญี่ปุ่นที่กว้างขวางมาก น่าจะกว้างซัก 20 เสื่อเห็นจะได้ และในนั้น มี 3คนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วที่โต๊ะไม้ ณ กลางห้อง
ผู้ที่นั่งตรงกลางนั้น เขาคือผู้นำตระกูลซูเมะรากิ , ทาซูคุ ซูเมะรากิ และทางขวามือคือภรรยาของเขา โคโยมิ ซูเมะรากิ ที่ใครต่อใครต่างบอกว่าทั้งอ่อนโยนและเงียบสงบ เปล่งประกายด้วยความรู้สึกเป็นมิตร ซึ่งพวกเขาช่างเป็นคู่เหมาะสมกันจริงๆ
แต่ว่าตอนนี้ บรรยากาศพวกเขากำลังแสดงออกมานั้นช่างดูมืดหม่น
ประเด็นสำคัญคือ หญิงสาวที่ดูไร้อารมณ์ที่ปรากฎอยู่ด้านซ้ายมือของทาซูคุ เธอมีผมสีดำยาวประบ่า พร้อมด้วยกิ๊บติดผมโทนสีชมพู และชุดกิโมโนยาวในโทนสีเขียวสว่าง มันช่างเข้ากับผมของเธอมาก
เธอคือลูกสาวคนโตของตระกูลซูเมะรากิ เอริกะ ซูเมะรากิ
( ไร้ซึ่งแสงสว่างในดวงตา. . . เห้ยๆ ทำไมผมถึงไม่รู้สึกถึงพลังในดวงตาคู่นั้นเลย . . . )
เพราะเธออยู่ในชุดเช่นนั้น มันยิ่งทำให้เธอดูราวกับตุ๊กตา
เธอที่อายุเพียงแค่นี้ คงไม่มีทางที่เธอจะรู้สึกดีได้กับการหมั้นครั้งนี้ . . .ไม่สิถึงเธอจะมีความเป็นผู้ใหญ่พอ พอที่จะซ่อนความรู้สึกและแสดงเพียงรอยยิ้มเรียบๆ มันคงเป็นผลที่เกิดหลังจากเธอได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างกับสถานการณ์เช่นนี้สินะ
แต่ตัวจริงของเธอนั้นควรแตกต่างกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มากนัก
เอริกะ เหมือนดังชื่อของเธอ เธอคือผู้หญิงผู้สง่างามและรอยยิ้มราวดับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน
เพราะคาซูกิรู้ถึงเรื่องนี้ดี มันทำให้หัวใจของเขาถูกรัดแน่น นั้นเพราะภาพที่อยู่ตรงหน้าเขา เด็กคนนี้ ผู้ที่มีอายุเพียงแค่ 10 ขวบแท้ๆ แต่กับแสดงใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกแบบนั้นได้. . .
ไม่มีใครในที่นี้นอกจากฮาโรลด์อีกแล้ว ที่อยากจะทำให้เธอไม่ต้องมีใบหน้าแบบนี้อีก เพียงแค่นึกถึงว่ามันจะโหดร้ายขนาดไหน ที่เธอจะต้องทนมีใบหน้าแบบนี้ไปตลอดอีก 8 ปี . .
จนกว่าเธอจะได้พบกับตัวเอกของเรื่อง . . .
[ นี่คือการพบกันครั้งแรกของพวกเราสินะ? หนุ่มน้อย ข้าคือผู้นำตระกูลซูเมะรากิ ทาซูคุ ซูเมะรากิ ]
[ . . . . . ผมฮาโรลด์สโตร์กครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ]
หลังจากที่คาซูกิได้แลกเปลี่ยนคำทักทายกับทาซูคุ เขาก็ได้นั่งลงที่เบาะรองนั่ง
ดูเหมือนว่า อยู่ดีๆปากของเขาก็พูดภาษาสุภาพได้ซะงั้น มันเป็นอีกเรื่องประหลาดที่ถูกค้นพบ
และแล้วบทสนทนาก็ได้เริ่มต้นขึ้น
[ ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่ลำบากเดินทางมาจนถึงที่นี่ ]
[ พูดอะไรน่ะ มันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ]
ผู้นำตระกูลของทั้ง 2 ตระกูลได้เริ่มต้นบทสนทนาอย่างใจเย็น ซึ่งมันต่างจากที่คิดไว้ ประมาณว่า ทั้ง 2 ตระกูลเผชิญหน้ากัน ตาต่อตาฟันต่อฟัน และในท้ายที่สุดบรรยากาศก็เริ่มเลวร้ายลงจน . .
แต่จริงๆ ในช่วงที่ทาซูคุและเฮย์เด็นกำลังพูดจาไปเรื่อยเปื่อย มันเป็นเพียงการประชันฝีปากซึ่งกันและกันเท่านั้น และบางครั้งบางคราวที่โคโยมิยิ้มออกมาตามธรรมเนียม เพื่อไม่ให้ทำให้ดูเหมือนว่าถูกบังคับจนเกินไป. .
ขณะที่กำลังโล่งใจกับเหตุการณ์ คาซูกิก็เริ่มที่จะวิเคราะห์สถานการณ์เบื่องต้น
แม้ว่าการหมั้นครั้งนี้จะถูกตัดสินใจโดยเหล่าผู้ปกครองของทั้ง2 ด้วยเหตุผลทางการเมือง โดยที่ฮาโรลด์และเอริกะไม่ได้ออกความเห็นเลยซักนิด เอาเถอะ ยังไงซะมันก็ไม่มีที่ว่างให้พวกเขาแทรกอยู่แล้ว มันคงช่วยไม่ได้ล่ะนะ
[ จริงสิ เอริกะจัง ฮาโรลด์หล่อทีเดียวเลยใช่มั้ย ]
[ ค่ะ, มาก ]
เฮย์เดนถามเอริกะออกมาเล่นๆอย่างกระทันหัน แต่เธอก็ตอบกลับมาโดยทันที ในน้ำเสียงที่เรียบสุดๆ . .
[ ขอโทษด้วย ท่านสโตร์ก ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะตื่นเต้นน่ะ . . . ]
ทาซูคุพยายามที่จะกลบเกลื่อนมัน แต่ว่า . . .มันเกินกว่าจะเรียกว่าตื่นเต้น เพราะโทนเสียงที่พูดออกมานั้นมันไม่มีอารมณ์ในน้ำเสียงเลยซักนิด เอาเถอะ มันคงจะเกินไปหน่อยที่ถามเด็กที่อายุเพียงแค่นี้แบบนั้น ทั้งๆสถานการณ์แบบนี้เธอควรจะมีอายุมากกว่านี้แท้ๆ
สำหรับเฮย์เดน แม้ว่าเขาจะได้รับการตอบรับแบบนั้น แต่ดูเหมือนว่าเขาก็ไม่ได้สนใจอะไร ต่อให้เอริกะตอบปฎิเสธออกมาตรงๆ เขาก็คงไม่สนใจอะไรหรอก
[ ก็นะ มันคงเป็นปกติอยู่แล้ว ที่จู่ๆก็ต้องมาแต่งงานกับใครซักคนทั้งๆที่อายุเพียงแค่นี้ ถ้าเป็นฮาโรลด์ก็คงเป็นแบบนี้เหมือนกัน ]
[ ครับ ถ้าผมได้พบกับใครซักคนที่น่าตาน่ารักเหมือนกับ เอริกะซัง เป็นครั้งแรกแล้วล่ะก็ . . . ผม ก็คงรู้สึกประหม่าเหมือนกันครับ ]
อย่างน้อยคำพูดพวกนั้นก็ยังมีความจริงอยู่ครึ่งหนึ่ง
แม้ว่าคำพูดพวกนี้มันจะฟังดูราวกับเป็นคำเยินยอ ซึ่งแตกต่างจากเอริกะ เหตุที่เขาเลือกใช้คำพูดแบบนี้นั้นเพราะเขาต้องการให้มันฟังดูสำรวมสักหน่อย
กระทั้งโทนเสียงที่เขาใช้ก็ยังเปลี่ยน จนมันทำให้ดูราวกับว่าเด็กชายคนนี้เป็นเพียงคนที่คล้ายคลึงกับฮาโรลด์อีกคน ที่มีนิสัยก้าวร้าวและหยิ่งยโส
[ เอาน่าที่รัก ใหนๆพวกเขาก็เดินทางมาจนถึงที่นี่แล้ว ทำไมไม่ลองปล่อยให้ฮาโรลด์และเอริกะอยู่ด้วยกันตามลำพังล่ะคะ น่าจะทำให้พวกเขาคุยกันอย่างเปิดเผยได้ง่ายขึ้นนะคะ ]
[ โอ้ นั้นฟังดูดีนี่ ]
เฮย์เดนรีบขย้ำข้อเสนอของโคโยมิในทันที
ต่อจากนี้ พวกเขาจะได้พูดคุยเรื่องการหมั้นหมายอย่างจริงจังเสียที สำหรับโคโยมิ เธอแค่ทนไม่ได้ที่จะเห็นลูกสาวของเธอ ผู้ที่เกลียดเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ ต้องมานั่งทนฟังเรื่องพวกนี้
มันคือความกังวลที่มีต่อลูกสาวของเธอ และเธอทำในสิ่งที่พอจะทำได้เท่านั้น
[ อืม เอริกะ พาฮาโรลด์คุงไปเที่ยวชมรอบๆซักพักล่ะกัน และลูกค่อยพาเขากลับมาก่อนรับประทานอาหารเย็นนะ ]
[ . . . ตกลงค่ะ ถ้างั้น ท่านฮาโรลด์ เชิญทางนี้ค่ะ ]
อย่างไรก็ตาม สำหรับคาซูกิ นี่มันราวกับสิ่งที่สวรรค์ประทานให้ ด้วยนี่ทำให้คาซูกิไม่ต้องหาทางสร้างสถานการณ์แบบนี้ด้วยตนเอง
[ ช่างเป็นเกียรติยิ่งนักที่เอริกะซังเป็นคงพาผมเที่ยวชมครับ ]
เมื่อลุกขึ้นแล้ว เขาก็ตามเอริกะออกจากห้องสไตล์ญี่ปุ่นนี้ไป และต่อจากนี้
มันคือก้าวที่สำคัญมากสำหรับคาซูกิ . .
———————————————————————————————————
TL : ทำลายสถิติแปลได้ไกลสุดสำหรับเรื่องนี้รึยังนะ ?