My Death Flags Show No Sign of Ending - ตอนที่ 8
เมื่อออกจากห้องสไตล์ญี่ปุ่น คาซูกิก็ถูกเอริกะพามายังที่สวน ที่ซึ่งมันถูกดูแลรักษาเป็นอย่างดี
เอริกะ ที่ตอนนี้เปลี่ยนมาสวมเกี๊ยะสีดำ เธอเดินนำอยู่ที่ด้านหน้าของเขา พลางทำเสียงที่เกิดจากการเดินดัง “เตาะแตะๆ”
เธอได้มาหยุดที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ดูเหมือนมันจะสูงเกิน 20 เมตรได้ ภายใต้ทิวทัศน์แห่งนี้ที่ล้อมรอบไปด้วยกลีบดอกซากุระพริ้วไสวดูราวกับภาพมายา ในที่สุดเธอก็หันกลับมาหาคาซูกิ
[ ดิฉันขอแนะนำตัวอีกครั้งค่ะ ดิฉัน คือลูกสาวของ ทาซูคุ ซูเมะรากิ เอริกะ ซูเมะรากิ ค่ะ ]
[ ฮาโรลด์ สโตร์ก ]
การแนะนำตัวของพวกเขาจบลงอย่างรวดเร็ว และแล้วความเงียบก็ได้เข้าปกคลุมอีกครั้ง . .
ฮาโรลด์นั้นไม่ได้กล่าวแนะนำตัวที่แสดงออกถึงความเป็นมิตรเลยซักนิด
( หรือว่า . . คำพูดเรากลับมาเป็นแบบเดิมอีกแล้ว)
เมื่อมาคิดๆดูแล้ว แม้ตอนอยู่ในเนื้อเรื่องของเกมส์ ฮาโรลด์นั้นจะพูดกับเอริกะด้วยน้ำเสียงดุร้ายอยู่ตลอด บางที ที่เขาสามารถพูดภาษาสุภาพได้คงแค่อยู่ต่อหน้าผู้ที่สถานะสูงกว่าเขาเท่านั้น
[ ต้นไม้ต้นนี้ถูกเรียกว่า “ซากุระ” ค่ะ และดอกของมันแสดงถึงความเป็นพวกเรา,บ้านเกิดของพวกเรา, ซูเมะรากิ จริงๆมันไม่ได้มีอยู่ที่ดินแดนนี้ตั้งแต่แรกหรอกนะคะ แต่ดูเหมือนว่า เมื่อตอนที่ท่านลอร์ดย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ ท่านได้ปลูกต้นอ่อนที่นำติดตัวกับท่านมาด้วย มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 500 ปีก่อนค่ะ แต่สำหรับตอนนี้ มันได้กลายเป็นสัญลักณ์ของตระกูลซูเมะรากิไปแล้ว ]
ขณะที่คาซูกิกำลังเศร้าเนื่องจากกลับมาเป็นฮาโรลด์ปากหมาอีกครั้ง เขาก็ได้รับฟังเรื่องราวความเป็นมาของตระกูลซูเมะรากิ
คงเพราะซักพักเธอรู้สึกรำคาญกับความเงียบ เอริกะจึงเริ่มที่จะอธิบายเกี่ยวกับต้นซากุระที่อยู่ตรงหน้าเธอ มันช่างหน้าชื่นชมแม้ว่าสภาพจิตใจของเธอตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่ความตั้งใจที่จะพาเที่ยวชมรอบๆกับไม่ลดลงเลยซักนิด
หากจะให้พูดตรงๆ หัวข้อที่พวกเขากำลังคุยกันนั้นมันค่อนข้างแปลกเกินไปสำหรับเด็กๆคุยกัน แต่สำหรับคาซูกิผู้คุ้นเคยกับดอกซากุระอยู่แล้ว มันจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา
[ มันต่างจาก “ซากุระ” ที่ข้ารู้มา ]
ชื่อของต้นไม้นี้ยังไม่แน่ชัดภายในเกมส์ แต่ว่าทั้งรูปร่าง กลีบดอก และการผลิบานของดอกนั้น มันต่างจาก Somei Yoshino (TL: ชื่อพันธุ์ของต้นซากุระที่แพร่หลายในญี่ปุ่น) ที่พบเห็นได้ทั่วไปในญี่ปุ่น อาจเพราะสีของมันเข้มกว่ามั้ง
ดังนั้น “มันมีซากุระพันธุ์นี้อยู่จริงๆนะหรือ?” แม้ว่าเขาจะคิดถึงมันซักเท่าไร เขาก็ไม่ได้ใกล้ที่จะหาคำตอบได้
[ คุณรู้อะไรเกี่ยวกับซากุระหรือคะ ? ]
แม้ว่าเอริกะเธอจะแสดงสีหน้าไร้ความรู้สึกมาโดยตลอด แต่เพราะเมื่อซักครู่ ดวงตาของถึงกับเธอสั่นไหวเพียงเล็กน้อยกับสิ่งที่เขาตอบกลับมา
[ ไม่ , มันอาจจะเป็นสิ่งที่แตกต่างกันที่ดันคล้ายๆกันก็ได้ แต่ก็เอาเถอะ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไร ]
เขาแค่คิดเพียงว่าจะเปลี่ยนหัวข้อเรื่องเท่านั้น ปากของเขาก็พูดตัดบทกับคำถามของเอริกะอย่างไม่ใยดี รู้สึกว่าวันนี้ปากของเขาจะทำงานได้ดีเยี่ยมกว่าทุกวันนะ . .
อาจเพราะถูกตอบกลับมาอย่างเย็นฉา การแสดงออกของเอริกะก็กลับมาเงียบขรึมจนน่ากลัว เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่แสดงออกมานั้นมันเพราะเกลียดหรือความระแวงกันแน่
(มาคิดๆดูแล้ว เหล่าตัวละครมากมายที่ปรากฎอยู่ในเรื่อง มีเพียงคนเดียวที่เอริกะเกลียดเข้าไส้นั้นก็คือผมนี่นา )
เอริกะ หากจะให้อธิบายเกี่ยวกับเธอให้เข้าใจง่ายๆแล้วล่ะก็ เธอเหมือนกับ “ยามาโตะ นาเดชิโกะ” (TL:บุปผางามแห่งแดนอาทิตย์อุทัย) แม้ว่าเธอจะเป็นลูกสาวของตระกูลขุนนางชั้นสูงที่โดดเด่น แต่เธอก็ไม่เคยมีท่าทีแบ่งแยกชนชั้น เธอมักจะยิ้มและสุภาพกับทุกๆคนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือแม้กระทั้งศัตรูก็ตาม เธอนั้นมีความอดทนเป็นอย่างมากและคอยช่วยเหล่าตัวเอกอย่างเงียบๆ ผู้เล่นจำนวนมากต่างรู้สึกได้เยียวยาหัวใจโดยเธอคนนี้ ผู้ที่รักษาท่าทีสงบอยู่โดยตลอดเวลา
และมีเพียงคนเดียวที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้เดือดดาลถึงขั้นลงมือตบเขาได้
จะใครซะอีกนอกจากฮาโรลด์
การที่สามารถทำให้เธอทำอะไรแบบนั้น หากพูดตามตรง มันถือเป็นความสำเร็จเลยก็ว่าได้
และถึงขนาดมีเหล่าผู้เล่นบางคนตั้งชื่อให้กับฉากที่เอริกะตบฮาโรลด์ว่า “มันคือรางวัล” และพวกเขาต่างเอารีเพลฉากนั้นมาเป็นอีเว้นท์เปิดดูกันอีกบ่อยครั้ง
[ อีกนัยก็คือ . . คุณไม่ได้สนใจอะไรในตระกูลซูเมะรากิสินะคะ ? ]
[ เธอจะตีความแบบไหนก็แล้วแต่เธอ ]
[ . . . งั้นสินะคะ . . .สิ่งเดียวที่คนของคุณต้องการก็คงมีแค่ชื่อของตระกูลซูเมะรากิ สินะ ? ]
[ เหอะ ก็เธอมันก็ไม่มีค่าอะไรเลยนอกจากเพียงแค่ชื่อของเธออยู่แล้ว . . ไม่ใช่ว่าเธอกำลังเข้าใจอะไรผิดหรอกนะ? นอกจากชื่อเสียงตระกูลแล้ว มันก็ไม่มีอะไรเลยที่ตระกูลสโตร์กจะด้อยไปกว่าพวกเธอ . . แม้ว่าคนของเธอจะสรรเสริญพวกเธอว่ามีชื่อเสียงและเป็นขุนนางที่มีเกียรติเพียงใด ฮึ มันน่าสมเพชยิ่งนักที่เธอทำได้เพียงแค่นั่งเฉยๆและร้องให้คนเดียวเงียบๆอยู่ในคฤหาสน์ ]
มันช่างน่าอัศจรรย์มาก ที่ปากของเขาพูดออกไปเองรัวๆ
คิดๆดูแล้วมันช่างสะดวกสบายเสียจริงที่เกลียดอะไรก็พ่นคำพูดไม่สุภาพนิดๆหน่อยออกให้ไปเอง
ไม่สิ, มันเลยกับคำว่านิดๆหน่อยไปไกลแล้ว มันควรจะเรียกว่าปากหมาชัดๆ
และเขาไม่สามารถจะปฎิเสธความจริงนี้ได้เลย
[ นายจะไปรู้อะไร . . ! ]
เอริกะถึงกับพึมพัมออกมา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 8 ปีก่อนที่เกมส์จะเริ่มขึ้น และดูเหมือนว่าในตอนที่เธอยังคงเป็นเด็ก จุดเดือดเธอคงจะต่ำพอควร
เธอซ่อนใบหน้าของเธอโดยการมองต่ำลง แค่มันก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าเธอนั้นกำลังโกรธ มันคงจะแย่แน่ถ้าหากเขายังจะสุมไฟมากไปกว่านี้
คงต้องหยุดการทำให้ภาพลักษณ์ของตัวเองดูแย่ลงไว้เพียงเท่านี้ เขาจึงเอาจดหมาดปิดผนึกออกมาส่งให้กับเอริกะ
[ . . . . สิ่งนี้คือ ? ]
[ หุบปากแล้วรับๆไป หลังจากที่พวกข้าไปแล้ว ส่งมันให้พ่อเธอซะ ]
[ ดิฉันขอปฎิเสธ ]
สิ่งนี้คงเรียกว่าทำสิ่งใดไว้ก็ได้รับผลตอบแทนแบบเดียวกันสินะ. .
เอริกะเธอหันหลังกลับพร้อมเริ่มที่จะเดินจากไป
[ อ่า เอาแบบนั้นก็ได้นะ , ถ้าหากเธอต้องการที่จะปล่อยให้ผู้คนในดินแดนของเธอที่กำลังทุกข์ทรมานให้ตายๆไปซะล่ะก็ , เอาแบบนั้นก็ได้ ]
ด้วยคำพูดพวกนั้น เธอถึงกับหยุดเดินอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เพราะ จากสิ่งที่ฮาโรลด์ดูพูดมา มันเหมือนจะมีหนทาง—-
[ . . . สิ่งนี้คือหนทางที่จะช่วยพวกเขารึคะ ? ]
[ มันคงไม่สามารถพูดแบบนั้นได้หรอก แต่มันก็คุ้มค่าที่จะลองไม่ใช่รึ ]
เอริกะมองไปยังจดหมายฉบับนั้น
มันดูราวกับว่าเธอกำลังลังเล แต่คาซูกิเชื่อว่าเธอจะรับมันเอาไว้
จริงๆแล้วเธอนั้นเป็นคนที่ใจดี อีกความหมายคือ เธอเป็นผู้หญิงที่ใจอ่อน เธอนั้นไม่มีทางที่จะละทิ้งประชาชนผู้ที่กำลังทุกข์ทรมานได้หรอก
เชื่อรึปล่าว ในเกมส์นั้น มันมีฉากของเธอที่กำลังเจ็บปวดเพราะเหล่ามอนเตอร์ที่กำลังตายลงด้วย
ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอยอมทำทุกอย่างเพื่อทราบถึงวิธีที่จะช่วยเหลือผู้คนของเธอที่กำลังนอนรอความตายอยู่บนเตียง
แม้ว่ามันจะไม่น่าเชื่อถือซักเพียงใด , แม้ว่ามันจะเป็นข้อเสนอที่มาจากคนแบบนี้ ผู้ที่เป็นพวกสนับสนุนเหล่าสายเลือดบริสุทธิ์ ผู้มีคติตรงข้ามกับเธอ เธอก็ไม่สามารถที่จะเพิกเฉยโดยที่ไม่รับฟังมันได้
สายลมที่พัดผ่าน มันทำให้กลีบดอกซากุระร่วงโรยอยู่รายรอบคนทั้ง 2 หลังจากสบตากันอยู่สักพัก
ผู้ที่เริ่มเคลื่อนไหวก่อนก็คือเอริกะ
[ มันไม่ใช่ว่าดิฉันจะเชื่อในคำพูดของคุณ แต่ . . . ]
แม้ว่าเธอจะยังแสดงสีหน้าไม่พอใจอยู่ แต่เธอก็ยังกำจดหมายจากคาซูกินั้นไว้แน่น
สำหรับคาซูกิ แค่นี้ก็ถือมากเกินพอแล้ว
เหลือเพียงแค่ เธอส่งมันให้กับทาซูคุ แค่นี้ก็เป็นไปตามที่คาซูกิต้องการ
[ ไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อโดยไม่มีเหตุผล ค่อยตัดสินมันจากผลลัพธ์ก็พอ ]
ไม่รู้ว่าทาซูคุจะเชื่อข้อความไร้สาระในจดหมายที่ถูกเขียนขึ้นโดยเด็กอายุ 10 ขวบหรือไม่ เอาเถอะ ต่อให้แผนการนี้เกิดผิดพลาดขึ้นมาจริงๆ เขาก็ได้คิดแผนสำรองเอาไว้แล้ว
แทนที่จะถอนให้ใจเหมือนอย่างเคย
คาซูกิกับมองขึ้นไปยังต้นซากุระและท้องฟ้าสีครามที่ถูกก้อนเมฆบดบัง. . .
◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇
เมื่อรถม้าของตระกูลสโตร์กเดินทางออกไป
มันก็เป็นช่วงที่แสดงอาทิตย์ค่อยๆอ่อนลงและเริ่มจางหายไป ขณะที่มองดูภาพเหล่านั้น ตรงกันข้ามกับบรรยากาศที่ดูสงบ ก้อนเมฆสีดำเริ่มที่จะก่อตัวภายในใจของเอริกะ
สิ่งนั้นก็คือเรื่องการหมั้นหมายกับฮาโรลด์
เอริกะนั้นเข้าใจดีว่าเธอนั้นไม่ได้มีสถานะทางสังคมต่ำต้อยอะไร เธอจึงไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าจะได้แต่งงานตามคู่ครองที่เธอสามารถเลือกได้เอง ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีใครซักคนที่อยู่ภายในใจของเธอก็ตาม
แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะโตพอที่จะหมดหวังในชีวิตของตัวเองและรู้สึกยินดีในความเสียสละของเธอที่ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหน้าด้านที่บังคับคนอื่นหมั้นหมายโดยใช้จุดอ่อนของผู้อื่นได้หรอกนะ
และเมื่อเธอได้ยินเกี่ยวกับผู้นำตระกูลสโตร์กเป็นคตินิยมพวกเลือดบริสุทธิ์ เขานั้นปฎิบัติต่อผู้คนที่ไม่ใช่สายเลือดขุนนางราวกับเป็นสิ่งของ
ความคิดนี้มันยากเธอที่จะยอมรับได้ แต่ว่าสำหรับพวกคนเหล่านั้น พวกเขาต่างมองว่าสายเลือดของตระกูลซูเมะรากินั้นมีค่าเป็นอย่างมาก
เธอนั้นผิดหวังกับคนพวกนั้นที่เลือกปฎิบัติกับคนอื่น มันมีแต่จะสร้างผู้รับเคราะห์ไปทั่ว มันทำให้เธอรู้สึกเกลียดตัวเองที่เธอนั้นไม่มีพลังมากพอที่จะช่วยอะไรเพื่อตระกูลซูเมะรากิหรือเหล่าผู้คนในดินแดนได้เลย นั้นมันเป็นเรื่องยากที่เธอจะทนได้
แต่เอริกะ แม้ว่าเธอจะยังเด็ก แต่เธอก็เข้าใจดีว่าเธอนั้นจะต้องแต่งงานเข้ากับตระกูลสายเลือดบริสุทธิ์ เพราะนั้นจะเป็นการทำให้อีกหลายชีวิตถูกช่วยไว้
โดยที่ไม่รู้เลยสักนิดถึงความทุกข์ของเอริกะ ฮาโรลด์ก็ยังพูดจาไม่ดีกับตระกูลซูเมะรากิ และนั้นมันเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถจะให้อภัยได้
จดหมายที่ได้รับจากคนเช่นนั้น มันอยู่ในมือของเอริกะ เธออยากจะฉีกมันสะเดียวนี้และขว้างมันทิ้งไปดั่งใจเธอต้องการ แต่เพราะสัญญาด้วยวาจานั้น เธอจึงยังไม่ทำลายมัน
ทั้งหมิ่นเกียรติของซูเมะรากิ และอีกหลายๆสิ่ง เมื่อเทียบกับยอมทอดทิ้งวิธีที่จะช่วยเหล่าผู้คนในดินแดนนี้ ผู้ที่กำลังทุกข์ทรมาน เธอมีสปิริตมากพอที่จะยอมกลืนความอัปยศเหล่านั้น
[ อภัยให้พ่อด้วย เอริกะ . . ]
คำพูดที่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันแสนเศร้าของทาซูคุ ผู้ที่กำลังยืนอยู่ข้างๆเธอที่กำลังมองดูรถม้าออกจากที่นี้ไป พูดตรงๆเขาไม่ได้รู้สึกยินดีเลยซักนิดที่ต้องให้เธอแต่งงานกับใครคนนั้นที่เธอไม่ต้องการ
แต่ว่า ถ้าหากทางเลือกที่น่าเศร้าทางนี้ สามารถปกป้องชีวิตผู้คนและที่อยู่อาศัยของคนอีกหลายหมื่นคน ณ ที่นี้ได้ล่ะก็. . . มันก็เป็นหน้าที่ของผู้นำตระกูลอย่างเขาจะต้องทำ. .
[ ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ ท่านพ่อ สิ่งนี้ก็เพื่อตระกูลซูเมะรากิและผู้คนที่อาศัยอยู่ ณ ดินแดนนี้ค่ะ ]
ไม่มีคำโกหกใดๆในความรู้สึกเหล่านั้น
แต่ว่าสำหรับตอนนั้น เธอเพียงแค่ต้องการเวลาที่จะปลอบโยนหัวใจของเธอ
[ ท่านพ่อคะ นี่ค่ะ ท่านฮาโรลด์รบกวนหนูส่งมอบมันให้กับท่านพ่อหลังจากที่พวกเขาจากไปแล้วค่ะ ]
เธอดึงจดหมายออกมาและส่งมันให้กับทาซูคุ
[ จากฮาโรลด์คุง? ]
เขารับจดหมายฉบับนี้พลางคิดว่าเขาคงได้รับคำสั่งจากพ่อของเขาให้ส่งมันมาเกี่ยวกับเรื่องการหมั้นหมาย แต่ว่า ทำไมถึงต้องส่งผ่านมันทางเอริกะ และยังเรื่องแปลกๆที่ฮาโรลด์สั่งให้มอบมันให้กับเขาเมื่อฮาโรลด์จากไปแล้วอีกด้วย
[ ถ้างั้น หนูจะกลับไปที่ห้องก่อนนะคะ ]
[ อ่า พักผ่อนเสียเถิด ]
หลังจากก้มโค้งให้กับทาซูคุ ที่กำลังยิ้ม
อย่างเห็นอกเห็นใจ เอริกะก็จากสถานที่นี้ไปโดยเร็ว
ทาซูคุและโคโยมิรู้เกี่ยวกับความกังวลในจิตใจของพวกเขาดี ยิ่งพวกเขาเห็นอกเห็นใจมากเพียงใดสุดท้ายมันก็เป็นแค่เพียงความเจ็บปวดสำหรับเธอ
ภาพที่เห็นลูกสาวของเขาที่มีท่าทีที่จริงจัง ทาซูคุได้แต่โทษตัวเองที่ต้องทำให้เธอแบกรับภาระหนักหนาขนาดนั้น
เขาทำได้เพียงแค่คิดว่า พอจะมีวิธีอื่นๆอีกบ้างมั้ย ที่จะสามารถหยุดเรื่องที่ทำให้เธอต้องเจ็บปวดแบบนี้
[ . . . . แม้จะมาคิดตอนนี้มันก็สายไปแล้ว ]
ทุกๆสิ่ง ที่ทำให้สถานการณ์มันกลายมาเป็นแบบนี้นั้นเพราะความไร้พลังของเขาเอง และเพราะอย่างงั้น มันจึงทำให้เอริกะและคนอื่นต้องมาแบกรับภาระมากมายขนาดนี้
เขานั้นไม่ได้อยากจะมาเยาะเย้ยตัวเองแบบนี้เลยสักนิด
ด้วยหัวใจที่มืดหม่น เขาได้เปิดจดหมายของฮาโรลด์ออก
จดหมายนี้มันเริ่มต้นด้วยคำกล่าวทักทายตามปกติ ถึงแม้มันจะไม่เหมือนกับสิ่งที่เด็กเขียนก็ตาม แต่ด้วยนี่ ทาซูคุก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรกับฮาโรลด์ แต่ว่าเมื่อเขาอ่านต่อไปเรื่อยๆ ความรู้สึกดีๆที่มีอยู่เมื่อซักครู่ถึงกับกระเจิงหายไปหมด
เขาถึงกับเผลอกำจัดจดหมายที่อยู่ในมือไว้แน่นขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่รู้ตัว และเมื่อเขาอ่านมันจนจบ จดหมายนี้ถึงกับยับยู่
[ มีใครอยู่ที่นี่บ้าง !!!!!! ตามคิริยุมาเดี่ยวนี้ !!! ]
ทาซูคุส่งเสียงดังออกมาจนดังก้องไปทั่วคฤหาสน์ อาจเพราะรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ เหล่าคนรับใช้ที่กำลังทำงานอยู่ในคฤหาสน์จึงรีบหาตัวคิริยุกันหมด
และไม่นาน ร่างของคนๆนั้นก็ปรากฎขึ้นพลางเดินมาด้วยความเร่งรีบ เขาเป็นชายสูงอายุ ผู้ที่รอคอยการมาถึงของฮาโรลด์และพ่อของเขา ที่หน้าประตูเมื่อตอนนั้น
[ เกิดอะไรขึ้นขอรับ นายท่าน ]
[ พวกเราคุยเรื่องนี้กันที่นี่ไม่ได้ ตามมา ]
สถานที่ที่ทาซูคุเลือกนั้นคือภายในห้องทำงาน ที่ซึ่งไม่มีผู้ใดอยู่ และเหตุผลนั้น เขาก็ให้คิริยุอ่านจดหมายที่ได้รับมาจากฮาโรลด์
และเมื่อคิริยุอ่านจนจบ ทาซูคุก็ได้เริ่มพูดขึ้น
[ จดหมายนี้มาจากฮาโรลด์คุง นายมีความคิดอย่างไรบ้าง? ]
[ . . . ถ้าจะให้กระผมพูดตรงๆล่ะก็ กระผมคิดว่าสิ่งนี้มันน่าสงสัยเกินไป ]
[ ก็จริง แต่ไม่ว่ามันจะจริงหรือเท็จ มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรสักนิดกับตระกูลสโตร์ก ]
[ ถ้ากระนั้น รึว่านี้จะเป็นฝีมือของบุคคลที่ 3 ขอรับ ? อย่างน้อยที่สุด มันก็ยากที่จะคิดว่ามันถูกเขียนขึ้นโดยเด็กชายเพียงตัวคนเดียว ]
[ ไม่ก็ ก็มีคนใช้เขาเป็นคนกลางอีกทีสินะ ]
แนวความคิดพวกนี้คือคำตอบที่เป็นไปได้มากที่สุด นั้นเพราะ เนื้อหาในจดหมายนั้นมันไม่ใช้อะไรที่เด็ก 10 ขวบจะสามารถเขียนลงไปได้ แต่ว่าในกรณีนี้ ยังมีคำถามขนาดใหญ่ที่ยังไม่ถูกคลายให้หายสงสัย
[ ปัญหาก็คือ มันเป็นฝีมือของใครขอรับ และถ้าหากมันมาจากผู้ที่สนับสนุนตระกูลซูเมะรากิแล้วล่ะก็ มันก็ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะต้องเลือกใช้วิธีที่อ้อมค้อมแบบนี้ ]
[ รึว่า มันเป็นฝีมือของใครบางคนที่ต่อต้านตระกูลสโตร์ก ? ]
[ นั้นมันก็เกินไปหน่อยขอรับ เพราะคนๆนั้นจะต้องใกล้ชิดกับฮาโรลด์และสามารถทำให้เขายอมรับคำขอร้องนี้ได้ ไม่ก็คนๆนั้นคงจะต้องทำอะไรซักอย่าง ที่สามารถล้างสมองฮาโรลด์คุงได้เท่านั้นขอรับ ]
ถ้าหากมันไม่ใช่กรณีเหล่านี้ มันก็ไม่มีทางที่จดหมายฉบับนี้จะส่งถึงทาซูคุ และปมในการเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมายังไม่สมเหตุสมผล
เป้าหมายที่แท้จริงของอยู่เบื้องหลังสิ่งนี้เขาคงหวังผลกับการล้มสลายของตระกูลสโตร์กหรืออะไรบางสิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้ และเพื่อที่จะคาดเดาเป้าหมายจริงๆได้นั้น ข้อมูลในตอนนี้ยังคงน้อยเกินไป
[ มันคงส่งผลเสียกับตระกูลซูเมะรากิแน่ถ้าหากพวกเราพยายามที่จะขุดคุ้ยเรื่องพวกนี้แต่ . . . ]
[ ถ้าพวกเราทำเช่นนั้น เมื่อเทียบกับสิ่งที่เราจะได้รับมันยังเสี่ยงจนเกินไปกับคำพูดเพียงไม่กี่คำ , ตอนนี้ ซูเมะรากิกำลังเผชิญเรื่องฉุกเฉินอยู่ ดังพวกเราควรมองดูอย่างระมัดระวัง อย่างไม่รีบร้อน แล้วมันก็จะเผยในสิ่งที่เราต้องการออกมาเองขอรับ ]
มันเป็นอย่างที่คิริยุกล่าว ตราบเท่ายังหาวิธีแก้ปัญหาไม่ได้ ตระกูลซูเมะรากิคงต้องสิ้นสลายไปโดยที่ไม่มีผู้ใดสนับสนุนด้านการเงิน
[ ในอีกความหมาย มันคือสิ่งที่ผู้ส่งจดหมายฉบับนี้ไม่ต้องการให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นสินะ . . . ]
[ มันมีความเป็นไปได้สูงที่เนื้อหาในจดหมายนี้จะเป็นความจริงขอรับ ]
แม้นี้มันจะยังไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
แต่ว่าถ้ามันได้ผลจริงๆ เวลาที่เสียไปกับการหาวิธีแก้ปัญหาก็จะกลายเป็นการผลิตแทน
ถ้าสิ่งในจดหมายใช้ได้จริง มันก็อาจเป็นไปได้ที่จะยกเลิกการหมั้นหมายและสามารถปลดปล่อยเอริกะเป็นอิสระ
[ คิริยุ ไปรวบรวมสิ่งที่จำเป็นต้องใช้มาเดี่ยวนี้ และหลังจากอธิบายถึงความเสี่ยงพวกนี้แล้ว แจกจ่ายมันให้กับพวกที่ยังพอมีหวังได้เลย ]
แม้ว่ามันจะยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่บ่งบอกว่าข้อความในจดหมายนั้นเป็นความจริง แต่ว่าแสงสว่างก็เริ่มที่จะมองเห็นในหมอกครั้งนี้แล้ว
แม้ว่าเขาจะกำลังเต้นอยู่บนมือของใครสักคน
ทาซูคุก็ตัดสินใจแล้วที่จะลองเสี่ยงกับโอกาสนี้ดูสักครั้ง. . .