My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 100
ฝานเชียวไม่เคยพบคนหนุ่มคนสาวที่มีความสามารถเท่ากับหยวนเอ๋อมาก่อน หยวนเอ๋อเป็นเด็กที่มีพลังยุทธที่สูงกว่าลูกศิษย์หญิงของเธออย่างไม่ต้องสงสัย ‘ถ้าหากนางได้มาเป็นสาวกของข้า นางจะต้องมีประโยชน์มากแน่ๆ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก! ‘ ฝานเชียวจ้องมองไปที่หยวนเอ๋ออย่างเสียดาย หลังจากนั้นฝานเชียวก็โบกมือขึ้นก่อนที่พลังร่างอวตารที่สูงกว่า 50 ฟุตจะได้จางหายไป
ทหารและผู้ฝึกยุทธทั้งหลายเองก็หายไปเพราะถูกพลังแรงกดดัน
ฝานเชียวได้กระแทกปลายเท้าของตัวเองลงบนพื้นก่อนที่จะพุ่งหาราชันย์ช้างอย่างคล่องแคล่ว สาวกทั้งสามของเขาเองก็ลอยเคียงข้างราชันย์ช้างเช่นกัน สาวกทั้งสามมีหน้าที่ป้องกันการโจมตีทั้งหลายที่จะโจมตีใส่สัตว์ขี่ของพวกเขา ฝานเชียวได้เข้าไปในรถม้าอย่างสง่างาม แม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้ขยับอะไรมากนักแต่ถึงแบบนั้นพลังออร่ารอบตัวของเขาก็ทำให้ทหารรู้สึกเกรงกลัวอยู่ดี
ลู่โจวส่ายหัว เขาไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้มากนัก ถ้าหากตัวเขาต้องการที่จะหลบหนี ลู่โจวสามารถเรียกวิซซาร์ดมาตอนไหนก็ได้
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
ราชันย์ช้างได้ใช้เท้าอันใหญ่ยักษ์ของมันเหยียบย้ำลงบนพื้น ในตอนนั้นเองแรงสั่นสะเทือนได้ส่งไปหาทุกๆ คนที่อยู่ใกล้
ทุกครั้งที่ฝานเชียวได้ยกมือขึ้น ในตอนนั้นเองก็จะมีเหล่าทหารจะต้องล้มหายตายจาก
ฝานเชียวกำลังจะจากไปในตอนที่วงเวทแสงสีม่วงจางๆ ปรากฏตัวขึ้น วงเวทนั่นเปี่ยมไปด้วยพลังอันแปลกประหลาด ในตอนนั้นเองสสารคล้ายควันสีเขียวก็เริ่มลอยออกมาจากวงเวทสีม่วงนั่น
“เตรียมใช้สุดยอดเวทมนตร์คาถา! ” ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งในตะโกนขึ้นมา “กำจัดผู้บุกรุกซะ! ถ้าหากทำได้พวกเจ้าจะได้รับรางวัลตอบแทนอย่างงาม! ” ดูเหมือนว่าผู้บัญชาการรบจะปรากฏตัวขึ้นแล้วท่ามกลางเหล่าผู้ฝึกยุทธ
เมื่อใช้สุดยอดเวทมนตร์คาถา ในที่สุดผู้บัญชาการรบก็ได้เปิดเผยตัวตนออกมา ชายคนนั้นค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศพร้อมกับดาบอันใหญ่ยักษ์สีดำที่อยู่ด้านหลัง
ราชันย์ช้างเป็นเพียงแค่สัตว์เท่านั้น แม้ว่ามันจะสามารถดูดซับพลังลมปราณที่มีในโลกจนทำให้มันกลายเป็นสัตว์ที่ดุร้ายขึ้นมา แต่ถึงแบบนั้นความเฉลียวฉลาดของมันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเมื่อเทียบกับมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อมันเห็นวงเวทสีม่วงจางๆ ราชันย์ช้างก็ตัดสินใจที่จะถอยกลับในทันที
สีหน้าของฝานเชียวเปลี่ยนไป ตัวเขาได้โบกแขนก่อนที่จะพยายามบังคับให้ราชันย์ช้างเดินไปข้างหน้า
ราชันย์ช้างได้ส่งเสียงร้องออกมาดั่งไปทั่วทั้งหุบเขา แต่แทนที่มันจะก้าวเดินไปข้างหน้า มันกลับเลือกที่จะเดินถอยหลังแทน
“เจ้าสัตว์ชั้นต่ำ! ” ฝานเชียวสบถออกมาก่อนที่จะลอยขึ้นไปกลางอากาศอีกครั้ง
“พลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถี”
‘พลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถีอย่างงั้นหรอ? นี่มันคือเคล็ดวิชาขั้นสุดยอดที่จะเผาผลาญพลังลมปราณของผู้ใช้ในปริมาณมหาศาล! ‘ ลู่โจวพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่ฝานเชียวกำลังทำอยู่ มันไม่มีเหตุผลเลยที่จะใช้พลังไปอย่างเปล่าประโยชน์แบบนี้ ‘ถ้าหากยอดฝีมือจากพระราชวังเดินทางมาถึง ฝานเชียวจะทำยังไงกัน? ‘ ฝานเชียวไม่มีการ์ดระเบิดจุดสุดยอดที่ลู่โจวเคยมี การ์ดที่ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้พลังสุดยอดได้อย่างไม่มีขีดจำกัด
เมื่อร่างพลังอวตารแห่งร้อยวิถีปรากฏตัว ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่เห็นแบบนั้นก็เตรียมที่จะถอยกลับอีกครั้ง
สสารที่ลอยขึ้นมาไม่ใช่ควันอย่างที่เห็น มันเป็นส่วนหนึ่งของเวทมนตร์คาถานั่นเอง สิ่งที่ทำให้ลู่โจวรู้สึกสนใจสสารพวกนี้มากเป็นเพราะว่ามันไม่ได้ส่งผลกับเหล่าทหารที่ยืนอยู่เลย
“ผนึกพลังท้องนภา! ” ฝานเชียวได้ใช้พลังที่คล้ายคลึงกับพลังก่อนหน้านี้ คลื่นพลังมุทราที่มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนได้ลอยไปตามอากาศ
แม้ว่าการโจมตีของคลื่นมุทราจะเป็นเหมือนกับการโจมตีต่อเนื่อง แต่ถึงแบบนั้นวงเวทสีม่วงก็ยังไม่ได้รับผลอะไรจากการโจมตี มันดูเหมือนจะปล่อยควันช้าลง แต่มันก็ทำได้เพียงเท่านั้น ไม่มีผลลัพธ์อื่นๆ เกิดขึ้นอีก
ในตอนนี้พลังหมอกควันของวงเวทสีม่วงได้ปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่แล้ว พลังของมันที่ขยายตัวขึ้นจนเชื่อมโยงกัน แสงจากคาถาเวทมนตร์เริ่มก่อตัวขึ้นมาจนพร้อมใช้งานอย่างเสร็จสมบูรณ์
ราชันย์ช้างเริ่มเดินถอยหลังอีกครั้ง
ถ้าหากผู้คนทั้งหลายไม่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตัวเอง ก็คงจะไม่มีใครเชื่อเลยว่าสัตว์ขี่ที่เป็นถึงเจ้าป่าจะเกรงกลัวคู่ต่อสู้ได้แบบนี้ ไม่ว่าผู้เป็นเจ้านายอย่างฝานเชียวจะสั่งให้มันบุกไปข้างหน้ามากแค่ไหน แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังคงเอาแต่ล่าถอยเช่นเดิม
วงเวทเริ่มขยายตัวมากขึ้น และมากขึ้นไปอีก พลังวงเวทเริ่มเติบโตอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ได้รับผลกระทบจากพลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถีเลย
ในตอนนั้นสีหน้าสาวกทั้งสามของฝานเชียวเต็มไปด้วยความกังวล ดูเหมือนว่าการผสานพลังเวทมนตร์คาถาที่เกิดขึ้นจะดูน่ากลัวกว่าที่พวกเขาได้คาดการณ์เอาไว้ แม้ว่าวรยุทธของฝานเชียวจะจัดอยู่ในขั้นยอดฝีมือ แต่ถึงแบบนั้นฝานเชียวก็ไม่สามารถทำอะไรกับวงเวทได้อยู่ดี ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังที่มาจากพระราชวังกัน?
คิ้วของฝานเชียวเริ่มขมวดเข้าหากัน เขามองไปที่วงเวทคาถาที่กำลังเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ ตอนนี้พลังของมันเริ่มขยับเข้ามาใกล้ตัวเขาแล้วนั่นเอง
เหล่าทหารและผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่เห็นพลังเริ่มขยายตัวก็เริ่มที่จะเดินหน้าด้วยเช่นกัน
“แม่น้ำ” ฝานเชียวได้ยกเลิกการใช้พลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถีของเขาในทันที การจะรักษาพลังร่างอวตารนี้ไว้จะกินพลังของตัวฝานเชียวไปอย่างมหาศาล ตัวเขาจะต้องเก็บออมพลังเอาไว้ สถานที่เดียวในตอนนี้ที่ยังดูไม่ได้รับผลกระทบคือแม่น้ำสวรรค์นั่นเอง บางทีการไปที่นั่นอาจจะทำให้พวกฝานเชียวสามารถหนีออกได้ เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นเหล่าสาวกทั้งสามก็ทอดทิ้งราชันย์ช้างไป สาวกทั้งสามที่หันมามองลู่โจวและหยวนเอ๋อเป็นครั้งสุดท้ายก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจเข้าไปอีก ลู่โจวในตอนนี้กำลังมองพวกเขาทั้งสี่ต่อสู้กันราวกับกำลังดูการแสดง
ลู่โจวที่รู้ที่หมายของฝานเชียวได้พูดออกมาอย่างไม่แยแส “แม่น้ำนั่นน่ะถูกเวทมนตร์คาถาปกคลุมเอาไว้จนหมดแล้ว…เวทมนตร์พวกนั้นกระจายไปทั่วทั้งแม่น้ำแล้ว”
ฝานเชียวขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเขาลอยขึ้นไปบนอากาศก่อนที่จะจ้องมองไปยังแม่น้ำที่อยู่ติดกับท่าเรือ ตอนนี้แม่น้ำกำลังถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีม่วงจากวงเวท พลังแสงสีม่วงเริ่มขยายตัวมากขึ้น และมากขึ้นไปอีก
พวกฝานเชียวไม่สามารถที่จะแตกต้องวงเวทได้เลย ถ้าหากพวกเขาแตะต้องพลังที่ไหลออกมาจากวงเวทพวกนั้น พลังวรยุทธรวมไปถึงพลังลมปราณที่มีก็จะถูกผนึกในทันที! ในตอนนี้ฝานเชียวและเหล่าสาวกของเขาเป็นเหมือนกับหมูที่กำลังถูกเชือดอยู่บนเขียงของศัตรู
ราชันย์ช้างยังคงเดินถอยเข้าไปในป่า และเพราะร่างกายอันใหญ่โตของมันจึงทำให้มันไม่สามารถเดินทะลุสิ่งกีดขวางอย่างอาคารบ้านเรือนได้ และเพราะแบบนั้นเองพลังวงเวทจึงใช้เวลาไม่นานมากนักกว่าที่จะมาถึงตัวมัน
เวทมนตร์คาถาพวกนี้เป็นเหมือนกับสิ่งของที่มีตาเป็นของตัวเอง พวกมันพันธนาการราชันย์ช้างเอาไว้ด้วยม่านหมอกสีเขียวที่ถูกแปรเปลี่ยนให้อยู่ในรูปคล้ายเถาวัลย์ไป พลังควันพวกนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ราชันย์ช้างพยายามที่จะดิ้นรนเอาตัวรอดก่อนที่จะหมดเรี่ยวแรงที่จะโต้ตอบอะไรได้
พลังเวทมนตร์คาถาพวกนี้เป็นสิ่งเดียวที่หมิงซี่หยินเข้าไปติดกับ มันเป็นรูปแบบหนึ่งของคาถาเวทมนตร์ สุดยอดเวทมนตร์คาถาพันธนาการนั่นเอง
ในตอนนั้นลู่โจวเองยังคงสงบเสงี่ยมไม่เคลื่อนไหว ตัวเขากำลังรอโอกาสที่ผู้ร่ายสุดยอดเวทมนตร์คาถาปรากฏตัวออกมา และเนื่องจากลู่โจวไม่พบอะไรเลยที่โกดัง ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากตามหาเบาะแสกับคนคนนี้ คนของพระราชวังนั่นเอง
ในทางกลับกันฝานเชียวในตอนนี้ไม่ได้วางมาดอันยิ่งใหญ่เหมือนกับปรมาจารย์มหาวายร้ายแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าเหมือนกับก่อนหน้านี้ ตัวเขาขมวดคิ้วอยู ในตอนนี้ไม่มีใครที่ล่วงรู้ความคิดของฝานเชียวได้เลย ฝานเชียวที่ยังเห็นชายชราที่อยู่ด้านหลังยังคงสงบนิ่ง เขาก็ได้หันไปพูกกับชายชราคนนั้น “ตาแก่ เจ้ายังคงดูใจเย็นอยู่ หรือว่าเจ้าจะมีแผนกัน? “
ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่มีหรอก”
“ลืมมันไปซะเถอะ” ฝานเชียวหันหลังกลับไปอีกครั้งก่อนที่จะเอามือไขว้หลัง ตอนนี้ตัวเขาเพ่งสมาธิที่มีทั้งหมดไปที่วงเวทที่อยู๋ตรงหน้า
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายยังไม่เคลื่อนตัวออกจากวงเวท พวกเขากำลังรอให้ฝานเชียวอยู่ใกล้กับพลังของวงเวทให้มากพอซะก่อน ไม่นานมากนักพลังของวงเวทก็ได้อยู่ติดกับพวกเขาโดยที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่สิบเมตรเท่านั้น
ในตอนนั้นเองผู้บัญชาการรบของเหล่าผู้ฝึกยุทธก็ได้บินมาหาพวกเขา “เฮ้ย เจ้าน่ะใช่ปรมาจารย์มหาวายร้ายคนนั้นแน่อย่างงั้นหรอ? ความเย่อหยิ่งอวดดีของเจ้าหายไปไหนหมดกัน? “
เมื่อฝานเชียวปลดปล่อยพลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถีออกมา ผู้บัญชาการรบคนนี้ก็ได้แต่ซ่อนตัวเท่านั้น แต่เมื่อพลังของเวทมนตร์คาถาได้ขยายตัวมากขึ้น มากขึ้น ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เลือกที่จะเปิดเผยตัวเองออกมา
“พวกเรารู้อยู่แล้วว่าเจ้าน่ะจะมาที่นี่ เพราะงั้นทางพระราชวังเลยจัดการต้อนรับด้วยสุดยอดเวทมนตร์คาถาแบบนี้ไปยังไงล่ะ เจ้าน่ะมันเป็นเหยื่อที่กินเบ็ด” ผู้บัญชาการคนนั้นยังคงพูดต่อไป “ข้าไม่เคยเห็นรูปแบบสุดยอดเวทมนตร์คาถาที่งดงามแบบนี้มาก่อนในชีวิตเลย เจ้าเองคิดว่ายังไงกัน? มันดูสวยงามเทียบกับม่านพลังบนภูเขาทองของเจ้าได้รึเปล่าล่ะ? “
เมื่อได้ยินคำพูดเยาะเย้ยของชายวัยกลางคน ฝานเชียวก็ได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มลึก “ช่างน่าขัน! พลังอวตารแห่งร้อยวิถี! ” พลังร่างอวตารที่สูงกว่า 50 ฟุตที่มีดอกบัว 4 กลีบด้วยกันได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของเขาก่อนที่จะเริ่มผลิกลีบอีกใบ
ตู๊ม!
คลื่นพลังลมปราณได้ไหลออกมาจากพลังร่างอวตารอีกครั้ง ในตอนนั้นเหล่าทหารและเหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่คิดว่าตัวเองได้คว้าชัยชนะมาได้แล้วได้เก็บความมั่นใจทั้งหมดไปก่อนที่จะบินถอยกลับไปอีกครั้ง
ในตอนนั้นเองสาวกทั้งสามของฝานเชียวได้แต่จ้องมองฝานเชียวอย่างเคารพนับถือเท่านั้น
“นี่มันพลังที่แท้จริงของท่านอาจารย์! “
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นกระตุกคิ้วเล็กน้อย แต่ถึงแบบนั้นสีหน้าท่าทางของเขาก็กลับมาสงบเยือกเย็นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง