My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 106
ซู่จินฉานแห่งวิหารปีศาจได้ถูกลู่โจวสังหารตายไป นี่ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่เร็นบู้ผิงต้องการที่จะแก้แค้นให้กับซู่จินฉาน แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเร็นบู้ผิงจะทำงานร่วมกับสำนักฝ่ายธรรมะเพื่อที่จะแก้แค้นตัวเขาแบบนี้
สำนักฝ่ายธรรมะและสำนักฝ่ายอธรรมทั้งหลายไม่เคยที่จะทำงานร่วมกันมาก่อนเลยนับตั้งแต่ไหนแต่ไร ท้ายที่สุดแล้ววิหารปีศาจก็ยังเลวทรามไม่เท่ากับศาลาปีศาจลอยฟ้าของลู่โจว มีเพียงซู่จินฉานคนเดียวเท่านั้นที่มีชื่ออยู่ในบัญชีดำอันดับที่สาม
วิหารปีศาจคอยเสาะหาสมาชิกคนใหม่ๆ ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาอยู่เสมอ พวกเขาเริ่มสะสมพลังจนแข็งแกร่งขึ้นมาเหมือนกับทุกวันนี้ได้ ที่วิหารปีศาจเคยมีเหล่ายอดฝีมือมากมายหลายคนที่จะต้องถูกคนจากศาลาปีศาจลอยฟ้าสังหารตายไป และเพราะแบบนั้นในที่สุดความรู้สึกไม่พอใจที่ได้สะสมนานในตอนนี้จึงได้ปะทุขึ้น
ลู่โจวพูดออกมาโดยที่ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด “ถ้าหากเจ้าพวกนี้คิดจะจัดการกับข้า ข้าก็จะไปหาพวกมันที่แท่นบูชาหยกเขียวเลยก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของลู่โจว หมิงซี่หยินก็พูดออกมาอย่างขาดความมั่นใจ ท่านอาจารย์ ที่แท่นบูชาหยกเขียวมีทั้งสำนักฝ่ายธรรมะอยู่ด้วย ข้าเกรงว่า…””
ลู่โจวเหลือบมองหมิงซี่หยินก่อนจะพูดออกมา “หมิงซี่หยิน”
“ครับ ท่านอาจารย์” หัวใจของหมิงซี่หยินเต้นแรงในทันที หัวใจของเขากระแทกเข้ากับซี่โครงอย่างแรง การพูดชื่อออกมาตรงๆ แบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสำหรับเขาเท่าไหร่นัก
“เจ้ากำลังกลัวอะไรกัน? ” ลู่โจวถามออกมา
เมื่อหลายปีก่อน ในตอนที่หมิงซี่หยินยังไม่สามารถฝึกฝนตัวเองจนมีวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ ในตอนนั้นเขาได้เคยพบกับจางฉิวชู ยอดฝีมือชั้นสูงที่มาจากสำนักฝ่ายธรรมะ ในตอนที่หมิงซี่หยินเดินทางไปทั่วทั้งดินแดนได้สร้างปัญหามากมายก่ายกองขึ้นมา ในตอนนั้นเขาได้ถูกจางฉิวชูเอาชนะเขาจนได้ หมิงซี่หยินที่ได้พ่ายแพ้ไปในตอนนั้นได้รู้สึกเป็นแผลใจนับตั้งแต่นั้นมา แต่ถึงแบบนั้นอาการบาดเจ็บที่หมิงซี่หยินได้รับมาก็ไม่รุนแรงเท่ากับอาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสแห่งสำนักหยุน ฮั๊ววู่เต๋าได้รับมา แผลใจของเขานั้นล้ำลึกกว่ามาก
“ทำไมศิษย์จะต้องกลัวด้วยล่ะ? ” หมิงซี่หยินตอบกลับมา
“งั้นก็ดีแล้ว” ลู่โจวพยักหน้าอย่างไม่แยแส
จากเท่าที่ลู่โจวรู้จักกับเหล่าลูกศิษย์มา ความจริงหมิงซี่หยินเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากกว่าด้วนมู่เฉิง แต่ถึงแบบนั้นด้วนมู่เฉิงก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรน้อยไปกว่าหมิงซี่หยินมากนัก หมิงซี่หยินมักจะมีความคิดที่ฟุ้งซ่านเกินไป ความคิดที่ฟุ้งซ่านของเขาทำให้ความตั้งใจรวมไปถึงเจตนาที่ดีไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป ดังนั้นพลังร่างอวตารของหมิงซี่หยินจึงไม่สามารถผลิกลีบออกมาแม้แต่กลีบเดียว แม้ว่าทั้งคู่จะมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ไม่ได้ถูกนับว่าเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีพลังขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง ที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะว่าตัวเขาไม่สามารถผลิกลีบดอกไม้ของร่างอวตารได้ ทุกการผลิกลีบดอกไม้จะทำให้ความแข็งแกร่งรวมไปถึงพลังยุทธที่มีแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก
“ศิษย์น้อง นี่น่ะเป็นโอกาสอันดีของเจ้าแล้วล่ะ พลังร่างอวตารของเจ้าที่สูง 20 ฟุตน่ะมันดูน่าอับอายจริงๆ ” ด้วนมู่เฉิงพูดก่อนที่จะเอามือแตะไหล่ของหมิงซี่หยิน
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นยิ่งจิตใจห่อเหี่ยวมากขึ้นไปอีก ในตอนนั้นเขาได้แต่พึมพำออกมา “ไม่ยุติธรรมซะเลย…”
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้โบกมือน้อยๆ ของเธอก่อนที่จะเริ่มพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ ยังมีจางหยวนฉานด้วย! เจ้านั่นน่ะสมควรที่จะถูกฆ่ามากที่สุดแล้ว ศิษย์ทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นชายคนนั้นตระเวนไปทั่วยุทธภพทุกวัน! “
ลู่โจวเหลือบมองไปที่หยวนเอ๋อ ในตอนแรกตัวเขาเองก็ต้องการที่จะตำหนิเธอ แต่เมื่อนึกย้อนไปถึงหน้าจางหยวนฉาน ลู่โจวในตอนนี้ก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับหยวนเอ๋อไป
ในตอนที่การต่อสู้ของจีเทียนเด๋าและเหล่าสุดยอดฝีมือทั้งสิบจบลงด้วยผลเสมอ ในตอนนั้นตัวเขาก็ได้กลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าก็เพื่อที่จะรักษาอาการบาดเจ็บที่ได้รับมา ในตอนนั้นเองจางหยวนฉานก็ได้เริ่มโจมตีภูเขาทองเป็นครั้งที่สอง คนคนนั้นเป็นคนที่เจ้าเล่ห์สุดๆ! ถ้าหากโจวฉางเฟิง อดีตเจ้าสำนักดาบสวรรค์ไม่พูดจาโอ้อวดวางท่าใหญ่โต คนที่จะต้องตายในตอนนั้นก็คงจะต้องเป็นจางหยวนฉานคนนั้นอย่างแน่นอน แต่ในตอนนั้นเขาเป็นคนแรกที่หนีออกไป
ลู่โจวแน่ใจว่าจางหยวนฉานจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานชุมนุมที่แท่นหยกเขียวแน่ หลังจากที่ใช้ความคิดอยู่พักหนึ่งในที่สุดลู่โจวก็หันมาสนใจฝานเชียวอีกครั้ง “เจ้ารู้ไหมว่าใครกันที่เป็นคนบงการให้ทำลายหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์? “
ฝานเชียวที่ได้ฟังแบบนั้นรู้สึกสับสน ‘เจ้านี่ไม่ใช่คนที่ทำลายหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์กับมืออย่างงั้นหรอกหรอ? ‘ ฝานเชียวเองก็เคยส่งคนไปสืบเรื่องนี้จากทางพระราชวังเช่นกัน ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็แน่ใจว่าผู้ที่ทำลายหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์ไปก็คือปรมาจารย์มหาวายร้ายที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าเขา ดังนั้นฝานเชียวจึงรู้สึกสับสนเมื่อได้ยินลู่โจวถามอะไรแบบนั้นออกมา
ลู่โจวที่เห็นสีหน้าฝานเชียวเปลี่ยนไปก็ได้ถามออกมาอย่างรู้ทัน “เจ้าคิดว่าข้าเองก็เป็นคนร้ายสินะ? “
“ข้า…ข้าน้อยไม่กล้า”
ในตอนนี้ลู่โจวไม่เหลือเรื่องที่อยากจะถามฝานเชียวอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าฝานเชียวไม่รู้ความจริงของผู้ที่อยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้แน่
‘ถ้าหากพวกพระราชวังเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับกว่าหนึ่งทศวรรษได้ แสดงว่าทางพระราชวังเองก็ต้องมีฝีมือที่มากพอตัวเหมือนกัน คนพวกนี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาๆ แน่’ หลังจากนั้นไม่นานลู่โจวก็ได้โบกมือก่อนที่จะพูดสั่งการขึ้น “พาเจ้านี่ไปซะ”
“ครับท่านอาจารย์” หมิงซี่หยินเป็นคนแรกที่ตอบรับกลับมา
“แล้วเจ้าพวกนี้ล่ะ? ” หยวนเอ๋อชี้ไปยังศิษย์ตัวปลอมที่เหลืออยู่อีก 2 คน สาวกทั้งสองคนกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ชายหนุ่มทั้งสองคนเป็นคนที่แอบอ้างเป็นหมิงซี่หยินและด้วนมู่เฉิงนั่นเอง เมื่อหยวนเอ๋อใช้นิ้วของเธอชี้ไปยังทั้งสองคน ชายหนุ่มสองคนนั้นก็ตัวสั่นก่อนที่จะเริ่มถอยหลังไปในทันที
หมิงซี่หยินที่เห็นทั้งสองคนได้โค้งคำนับลู่โจวก่อนที่จะเริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้ง “การทั้งสองคนนี้อยากปลอมตัวเป็นข้า ลำพังตัวข้าก็อาจที่จะยอมปล่อยผ่านไปได้ แต่การที่เจ้าพวกนี้กล้าดูหมิ่นท่านอาจารย์! เห็นทีข้าคงจะอภัยให้ไม่ได้!”
“แล้วพวกเราจะจัดการพวกมันเลยไหม? ” หยวนเอ๋อถามออกมาอย่างไร้เดียงสา
“อืม ข้าเห็นด้วยเหมือนน่ะกับการที่จะจัดการเจ้าพวกนี้ เอาเป็นวิธีผ่าครึ่งล่ะเป็นไง? ข้าว่าวิธีนี้น่ะดีกับเจ้าพวกโอหังมากที่สุดแล้ว! ” ด้วนมู่เฉิงได้แสดงความคิดเห็นออกมาในขณะที่ตัวเขาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ข้าคิดว่าวิธีนั้นมันคงไม่ดีพอ มาหั่นเจ้าพวกนี้ออกเป็นแปดส่วนดีกว่า ค่อยๆ ทรมานมันให้ตายไป ให้พวกมันได้ลิ้มรสความเจ็บปวดซะบ้าง”
“…” ฝานเชียวที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ใช้ความคิดอยู่ภายในใจ ‘เจ้าพวกนี้คือพวกจอมวายร้ายอย่างแท้จริง! ‘ ฝานเชียวและศิษย์สาวกของเขาได้พยายามที่จะเลียนแบบคนพวกนี้มาแล้วกว่าหลายปีด้วยกัน แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่อาจที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของจอมวายร้ายได้เลย ทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของพวกปีศาจเหล่านี้ยิ่งทำให้ตัวเขาตกอยู่ในความหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น!
สีหน้าของฝานเชียวนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตัวเขาได้พยายามรวบรวมความกล้าอยู่นานก่อนที่จะเอ่ยปากพูดออกมา “การปลอมตัวเป็นพวกเจ้า พวกชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าถือว่าเป็นความผิดของตัวข้าเองทั้งหมด เพราะแบบนั้นช่วยปล่อยเจ้าพวกนั้นไปด้วยเถอะ ท่านผู้อาวุโส”
หมิงซี่หยินที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ตอบกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม “ข้าเห็นว่าเจ้ายินดีที่จะรับผิดแต่เพียงผู้เดียว แต่อนิจจา…ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์ของข้าจะให้อภัยเจ้า แต่เจ้าคิดจริงๆ หรอว่าเจ้าพวกนี้จะมีชีวิตรอดต่อไปได้? เจ้าพวกนี้ทุกคนจะต้องทนทุกข์ทรมานจากเวทมนตร์คาถาที่ได้รับมา พลังยุทธของเจ้าพวกนี้ไม่ช้าก็จะหายไป การจะทำลายเวทมนตร์คาถาพวกนี้ได้น่ะมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เว้นแต่ว่า…เจ้าจะให้อาจารย์ของข้าเป็นคนช่วย”
“เอ่อ…” หัวใจของฝานเชียวเต้นช้าลงอย่างหมดหวัง ไม่มีทางเลยที่ตัวเขาจะขอร้องคนอย่างปรมาจารย์มหาวายร้ายคนนี้ได้
ลู่โจวไม่ได้กังวลอะไรกับสาวกทั้งสองของฝานเชียวเลย ศิษย์คนที่สี่ของเขาหมิงซี่หยินพูดเอาไว้ได้ถูกต้องทุกอย่างแล้ว ตัวปลอมทั้งสองคนสมควรที่จะได้รับความตายแล้วนั่นเอง ตัวเขาเหลือบมองท้องฟ้าก่อนที่จะคิดอะไรบางอย่าง ‘เกือบถึงเวลาแล้วสินะ…’
ลู่โจวกำลังเรียกให้บี่เอี๊ยนบินกลับมาหาตัวเขาจากสุดขอบฟ้า ในตอนนั้นเองเขาก็เหลือบเห็นนกพิราบสื่อสารเข้า
หยวนเอ๋อจำมันได้ เธอยกมือขึ้นมา ในตอนนั้นเองนกพิราชสื่อสารก็ได้บินลงบนมือของเธอ หลังจากที่หยวนเอ๋อได้จดหมายมาเธอก็เริ่มพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ จดหมายนี่มาจากเจ้าไร้ยางอายค่ะ”
ลู่โจวรู้ดีว่าหยวนเอ๋อกำลังพูดถึงใคร ‘เจ้าคนไร้ยางอายอย่างงั้นสินะ’ จากนั้นลู่โจวก็ได้พูดออกไป “อ่านซะสิ”
หยวนเอ๋อได้เปิดจดหมายก่อนที่จะอ่านออกเสียงมา “ท่านผู้อาวุโส ท่านบอกให้ข้าไปสืบเรื่องราวของหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์มา แต่เรื่องนี้ดูเหมือนว่าตัวข้าเองจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ถึงแบบนั้นข้าก็มีข่าวล่าสุดจะมาบอกท่าน มันจะเป็นการดีกว่ามากถ้าหากท่านไม่ไปที่แท่นบูชาหยกเขียวด้วยตัวคนเดียว ในตอนนี้ราชาปีศาจ ศิษย์คนที่แปดของท่านกำลังนอนรออยู่ที่ด้านนอกของแท่นบูชาหยกเขียว สุดท้ายแล้วข้าหวังว่าท่านผู้อาวุโสจะจดจำสัญญาของพวกเราได้”
หลังจากที่หยวนเอ๋ออ่านจดหมายจบ สีหน้าของหมิงซี่หยินและด้วนมู่เฉิงก็เปลี่ยนไปในทันที
“ศิษย์น้องแปด เจ้ายังไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยหลังจากที่พวกเราเจอกันครั้งสุดท้ายสินะ! เจ้ากล้าดียังไงกล้าดักรอโจมตีท่านอาจารย์ด้วยพลังยุทธแค่นั้นแบบนี้? “
“ท่านอาจารย์ เจ้าศิษย์ทรยศนี่คิดล้างครูแบบท่าน ศิษย์จะรีบไปที่นั่นเพื่อที่จะจัดการกับเจ้าศิษย์ทรยศตั้งแต่ตอนนี้! “
ลู่โจวที่ได้ยินแบบนั้นรีบยกมือขึ้นมาห้ามศิษย์ทั้งสองคนในทันที ในตอนนั้นเขาก็ได้พูดออกมาอย่างใจเย็น “เจ้าแปดน่ะเป็นคนที่กล้าจะกลั่นแกล้งแต่ผู้ที่อ่อนแอกว่าเท่านั้นแหละ เจ้านั่นไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าหรอก ด้วยพลังความสามารถของเจ้านั่น ข้าคิดว่าเจ้านั่นคงจะไม่กล้าแม้แต่จะวางแผนที่จะซุ่มโจมตีข้าแบบนี้”
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นถามกลับมาด้วยความสับสน “แล้วเจ้านั่นกำลังนอนรออะไรอยู่ที่แท่นบูชาหยกเขียวกัน? “
“สำนักฝ่ายธรรมะมักจะถือว่าตัวเองเป็นผู้ที่ทำแต่ความดี แม้ว่าเจ้าแปดจะออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไปแล้ว แต่ถึงแบบนั้นพวกฝ่ายธรรมะคงจะไม่เห็นด้วยเหมือนกับพวกเราแน่ สำนักทางใต้, มังกรที่ยังหลับใหล หรือแม้แต่กลุ่มหุบเขาพยัคฆ์ของเจ้าแปดเองก็คงจะต้องตกเป็นเป้าหมายของเจ้าพวกนั้นสักวัน เพราะแบบนั้นเจ้าแปดคงจะพยายามแก้แค้นโดยใช้โอกาสนี้” ด้วนมู่เฉิงวิเคราะห์เรื่องนี้ออกมาอย่างมั่นใจ
“ศิษย์พี่ท่านพูดมีเหตุผลแต่…ข้าคิดว่าเจ้าแปดคงจะไม่กล้าที่จะทำเรื่องนี้หรอก ศิษย์น้องเจ็ดจะต้องเป็นคนอยู่เบื้องหลังแน่” หมิงซี่หยินพูดเสริม
ลู่โจวได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะเอ่ยปากถามออกไป “แล้วกลุ่มของเจ้าแปดมีพลังอำนาจแค่ไหนกันล่ะ? “
หมิงซี่หยินรีบพยักหน้าก่อนที่จะตอบกลับมา “ถ้าหากเป็นความแข็งแกร่งของเจ้าแปด ศิษย์คิดว่าพวกเราคงจะไม่มีอะไรให้พูดถึงมากนัก แต่เจ้านั่นมีลูกน้องที่ไว้ใจได้กลุ่มหนึ่งคอยรับคำสั่งจากตัวเขาอีกที ลูกน้องเหล่านี้มักจะกระจายตัวอยู่ตามถนนคนเดิน สิ่งที่ทำให้คนพวกนี้น่ากลัวไม่ใช่พลังยุทธที่ลึกล้ำแต่เป็นการควบคุมหัวใจคนมากกว่า! “
สิ่งที่พูดออกมานั้นถูกต้องทุกอย่าง มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่สมัยโบราณแล้วนั่นเอง แม้ว่าการต่อสู้ของชาวยุทธทั้งหลายจะทำให้มีผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายไป แต่ถึงแบบนั้นบางทีความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ผู้ที่จะต้องทุกข์ทรมานจากผลของสงครามต่อไปมักจะทรมานมากกว่าตายเสมอ
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ถามออกมา “หรือว่าศิษย์พี่แปดพยายามที่จะทำสงครามกัน? “
ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับมา “พวกเจ้าทุกคนมากับข้าซะ พวกเราจะไปแท่นบูชาหยกเขียวกัน! “
“ครับ/ค่ะ ท่านอาจารย์! ” ด้วนมู่เฉิง, หมิงซี่หยิน และหยวนเอ๋อขานรับออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน