My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 109
สีวู่หยาได้เริ่มพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ “เจ้าพวกวิหารปีศาจน่ะตั้งใจที่จะร่วมมือกับสำนักจากฝ่ายธรรมะ พวกเรายอมให้เจ้าพวกนี้ร่วมมือกันไม่ได้เด็ดขาด ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วเร็นบู้ผิงจะมีฝีมือที่เก่งกาจสักแค่ไหน ในตอนนี้มีคนไม่มากนักที่จะปราบเขาได้ หนึ่งในนั้นก็คงจะมีศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเรา แต่ถึงแบบนั้นเขาก็เอาแต่เก็บตัวไม่ออกจากหุบเขาของตัวเอง ศิษย์พี่รองเองก็หายสาบสูญไป…สำหรับยอดฝีมือคนอื่นๆ พวกเราคงจะหวังพึ่งไม่ได้แน่”
“ศิษย์พี่รองชอบท้าทายเหล่ายอดฝีมืออยู่แล้ว ทำไมพวกเราไม่ไปคุยกับเขากัน? ” ซู่ฮ่องกงถามออกมาอย่างไม่แน่ใจ
“คนที่ข้าได้ส่งไปหาศิษย์พี่รองล้วนแต่เกรงกลัวเขาภายในเวลาไม่ถึง 3 วัน ข้าเกรงว่าศิษย์พี่รองจะโกรธเคืองในตอนที่เกิดอะไรขึ้นกับฝานซุยเหวินน่ะ” สีวู่หยาพูดในขณะที่ส่ายหัวไปด้วย
“ศิษย์พี่รองน่ะเป็นคนที่น่าคบเสมอ ถ้าหากเขาโกรธเดี๋ยวเดียวเขาจะต้องลืมมันได้แน่” ซู่ฮ่องกงได้ส่ายหัวของตัวเองในขณะที่พูด
สีวู่หยาได้เอามือไขว้หลังก่อนที่จะเดินไป ในตอนนั้นเขาเดินไปหยุดในจุดที่มองเห็นแท่นบูชาหยกเขียวได้อย่างชัดเจน “ข้าไม่คิดเลยว่าท่านอาจารย์จะมาที่นี่ได้ แผนของพวกเราใกล้ที่จะเสร็จสมบูรณ์แล้วแท้ๆ บอกคนของเจ้าให้รีบถอยซะ”
“ได้เลยศิษย์พี่”
“แล้ว…” สีวู่หยาหยุดพูดก่อนที่จะยิ้มออกมา “ท่านอาจารย์จงใจปล่อยเจ้าไปอย่างงั้นสินะ…”
“ข้าเองก็คิดแบบนั้น ในตอนนั้นข้าได้แต่ตกใจ! ” ซู่ฮ่องกงส่ายหัวในระหว่างที่ตอบ ตัวเขาไม่อยากจะคิดถึงภาพเหตุการณ์ในตอนนั้น
“ถ้าหากเป็นท่านอาจารย์ ข้าไม่คิดว่าเขาจะปล่อยเจ้าไปโดยที่ไม่มีเหตุผลแบบนี้ หรือว่าท่านอาจารย์จะมีผู้ช่วยกัน” สีวู่หยาจำได้ว่าที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าในตอนนี้มีสมาชิกหน้าใหม่หลายคน บางทีอาจจะมีคนที่ฉลาดหลักแหลมอยู่ในหมู่คนพวกนั้นก็เป็นได้
“ในตอนที่ข้าเจอกับท่านอาจารย์ ไม่มีใครอยู่เลยนอกจากศิษย์น้องหญิง…เธอดูเกรี้ยวกราดเช่นเคย ถ้าหากท่านอาจารย์ไม่ได้ห้ามเอาไว้ศิษย์น้องหญิงคงจะไล่ตามกัดข้าแล้ว” ซู่ฮ่องกงพูดออกมาอย่างขมขื่น
สีวู่หยาได้กลอกตาไป เขาไม่ได้สนใจซู่ฮ่องกงเลย ‘ข้าจะสื่อสารกับเจ้านี่ได้ยังไงกัน’ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มพูดออกมาอีกครั้ง “พวกเราไปกันได้แล้ว” สีวู่หยาได้โบกมือขึ้นมาเล็กน้อยในตอนนั้นเองขนนกยูงก็ได้สยายออกมาจากอาวุธทรงกระบอก มันส่องแสงประกายสีม่วงระยิบระยับออกมา สิ่งที่สีวู่หยาใช้มีรูปทรงคล้ายกับอาวุธทรงกระบอก ถ้าหากดูจากภายนอกเหมือนกับอาวุธชิ้นนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากทองคำบริสุทธิ์
สีวู่หยารีบปล่อยคลื่นพลังออกมาจากอาวุธชิ้นนั้น
พรึ๊บ!
อาวุธลับที่ซ่อนอยู่ภายในได้ถูกยิงออกไปที่ต้นไม้ต้นใหญ่
อาวุธลับที่ซ่อนอยู่นั้นได้ส่องแสงสว่างระยิบระยับออกมา สิ่งที่ลอยออกมาดูคล้ายกับขนของหางนกยูงที่ส่องประกายระยิบระยับดูล้ำค่า
ปั๊ง! ปั๊ง! ปั๊ง!
อาวุธลับได้ฝังอยู่ในต้นไม้ใหญ่ อาวุธลับที่ถูกยิงออกมามีลักษณะคล้ายตะปูไม่มีผิด
สีวู่หยาและซู่ฮ่องกงต่างก็เดินจากไป พวกเขาไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็ได้เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วก่อนที่จะหายตัวไปในป่าใหญ่
อาวุธลับที่ถูกยิงออกมาเป็นพลังลมปราณที่อัดแน่นจนมีลักษณะเป็นคลื่นพลังสีทอง คลื่นพลังนี้เองสวยงามมากราวกับขนนกทองคำ ในขณะที่ผู้สังเกตการณ์กำลังหลงใหลในความงามของอาวุธลับอยู่ ในตอนนั้นเขาก็ได้ถูกมันพรากชีวิตไปซะแล้ว
หลังจากที่ต้นไม้ต้นใหญ่ล้มลง ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งที่กำลังจับตามองอยู่ก็ได้เบิกตากว้างเพราะความหวาดกลัว ในตอนนี้หน้าอกของเขาถูกอาวุธลับอันนั้นฝังเข้าไปซะแล้ว
เมื่อคลื่นพลังนกยูงได้คลี่ออกมา ในตอนนั้นผู้ฝึกยุทธก็ได้หมดลมหายใจเฮือกสุดท้ายไป ตัวเขาทรุดตัวลงกับพื้นก่อนที่จะแน่นิ่งไป
…
ในขณะเดียวกันนั้นเองลู่โจวก็ได้ขี่บี่เอี๊ยนไปที่ด้านบนของแท่นบูชาหยกเขียว เขาจ้องมองลงมาเห็นผู้คนมากมายที่กำลังรวมตัวกันอยู่ที่ลานกว้างของแท่นบูชา
แท่นบูชาหยกเขียวแห่งนี้เป็นดินแดนของสำนักฝ่ายธรรมะ สถานที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ศิษย์สาวกจากสำนักฝ่ายธรรมะเองจะมาฝึกฝนวรยุทธของตัวเองรวมไปถึงเพลงดาบอีกด้วย
“ท่านอาจารย์ ตรงนั้น”
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่อยู่ในแท่นบูชาหยกเขียวต่างก็รู้สึกตื่นตกใจเมื่อได้เห็นบี่เอี๊ยน
“นั่นใครกัน? “
“ทุกคนระวังเอาไว้ด้วย! “
“นี่มันจะช่างโอหัง! กล้ามาบุกแท่นบูชาหยกเขียวแบบนี้เลยอย่างงั้นสินะ”
ผู้ฝึกยุทธชุดคลุมกรมท่าต่างก็ชักดาบของตัวเองออกมาก่อนที่จะเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนคนนี้
ในตอนนั้นเองเหล่าผู้ฝึกยุทธชุดดำเองก็ต่างจ้องมองไปยังท้องฟ้าด้วยความสับสน
ลู่โจวได้เอ่ยปากพูดออกมาอย่างชัดเจน “ฮั๊ววู่เด๋าอยู่ไหนกัน? “
“ฮั๊ววู่เด๋า? “
บนแท่นบูชาหยกเขียว ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายต่างก็เหลือบมองซึ่งกันและกัน
“แท่นบูชาหยกเขียวแห่งนี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันชอบทำของผู้ฝึกยุทธจากสำนักฝ่ายธรรมะ ท่านผู้มาเยือน ท่านคิดว่ามันออกจะไม่เหมาะสมอย่างงั้นหรอที่ท่านมาเยือนโดยที่ไม่ได้รับเชิญแบบนี้? “
หยวนเอ๋อไม่สามารถที่จะกลั้นหัวเราะได้อีกต่อไป ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นได้เหลือบมองเธอย่างเย็นชาก่อนที่เธอจะเงียบลง หยวนเอ๋อได้ชี้ไปยังเหล่าผู้ฝึกยุทธก่อนที่จะพูดขึ้น “พวกเราก็แค่อยากจะมาก็มา ทำไมพวกเราต้องรอคำเชิญจากพวกเจ้ากัน? ไร้สาระ! “
ลู่โจวไม่ได้ลงไปยังแท่นบูชาหยกเขียวในทันที ที่นี่เป็นดินแดนของสำนักฝ่ายธรรมะ ถ้าหากพวกเขารู้ว่าแท้จริงแล้วลู่โจวเป็นปรมาจารย์มหาวายร้าย แน่นอนว่าเมื่อถึงเวลานั้นอันตรายจะต้องมาจากทั่วทุกทิศทางแน่
‘ฉันจะต้องใช้การ์ดพิเศษให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ที่นี่มีผู้ฝึกยุทธมากไป ถ้าจะต้องซื้อการ์ดบ่อยๆ เพื่อจัดการเจ้าพวกนี้ราคาของการ์ดคงจะต้องเพิ่มสูงมากแน่ ถ้าหากทำแบบนั้นวรยุทธของฉันก็จะไม่ก้าวหน้า นี่มันไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตายจริงๆ ‘
ในตอนนั้นเองด้วนชิงก็ได้ปรากฏตัวขึ้น เขาขึ้นไปบนแท่นบูชาหยกเขียวก่อนที่จะเริ่มคารวะเป็นคนแรก “ทุกท่าน ท่านผู้นี้คือนักบวชผู้อาวุโสที่ข้าเคยพูดถึงเมื่อก่อน ท่านผู้นี้สามารถสังหารเจ้าหัว…นักบวชอย่างกงซุนด้วยฝ่ามือเดียวเท่านั้น! ” ด้วนชิงได้เปลี่ยนคำพูดกลางคัน มันคงจะไม่เหมาะเท่าไหร่นักถ้าหากจะพูดคำว่านักบวชหัวโล้นในที่แห่งนี้
“นักบวชผู้อาวุโสอย่างงั้นหรอ? “
ทุกคนต่างก็ตกตะลึงที่ได้ยินแบบนั้น สาวกฝ่ายสำนักธรรมะเองก็เปลี่ยนท่าทีไปเช่นกัน
ในทางกลับกันสาวกวิหารปีศาจทั้งหลายต่างก็คารวะลู่โจวพร้อมกัน “พวกเราขอคารวะท่านนักบวชผู้อาวุโส! “
ลู่โจวได้สั่งให้บี่เอี๊ยนลงไปที่แท่นบูชาหยกเขียว หลังจากที่มันลงมาได้มันก็ไม่ได้จากไปไหน บี่เอี๊ยนได้นั่งลงก่อนที่จะแยกเขี้ยวใส่ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายเป็นพักๆ
ศิษย์สาวกฝ่ายธรรมะเองต่างก็จ้องมองบี่เอี๊ยนอย่างกังวล พวกเขาทั้งรู้สึกกลัวและรู้สึกอิจฉาในเวลาเดียวกัน
ในตอนนั้นจางชูเป็นผู้ที่เดินออกมาทักทายก่อน “ข้ามีชื่อว่าจางชู ข้าเป็นผู้อาวุโสคนที่ห้าของสำนักฝ่ายธรรม ข้าขอสวัสดีท่านนักบวชผู้อาวุโสด้วย”
และเพราะจางชู ศิษย์สาวกคนอื่นๆ จึงคารวะเพื่อเป็นการทักทายลู่โจวด้วยเช่นกัน
ลู่โจวลูบเคราและพยักหน้าให้เพื่อเป็นการตอบรับเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็ใช้น้ำเสียงอันไร้อารมณ์เอ่ยปากถามออกมา “แล้วจางหยวนฉานไปไหนกัน? “
ผู้อาวุโสคนที่ห้าอย่างจางชูได้โค้งคำนับก่อนที่จะตอบกลับไป “วันนี้พวกเรามีแขกคนสำคัญมาเยือนที่แท่นบูชาหยกเขียว…แต่ถึงแบบนั้นปรมาจารย์มหาวายร้ายก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดคิดและสร้างปัญหาอยู่ เพราะเหตุนั้นจางหยวนฉานจึงจะต้องจากไปพร้อมกับแขกคนอื่นๆ ก่อนเวลาอันสมควร ท่านนักบวชผู้อาวุโส ท่านสามารถอยู่ที่แท่นบูชาหยกเขียวของพวกเราไปก่อนจนกว่าที่ท่านเจ้าสำนักของพวกเราจะกลับมาได้! “
ด้วนชิงได้ถอนหายใจก่อนที่จะพูดแทรก “ทั้งหมดเป็นเพราะปรมาจารย์มหาวายร้ายนั่น…น่าเสียดายจริง! ถ้าหากท่านผู้อาวุโสสามารถจับปรมาจารย์มหาวายร้ายนั่นได้เรื่องในวันนี้คงจะได้ข้อยุติขึ้นแล้ว น่าเสียดายจริงๆ! “
ลู่โจวเองก็รู้สึกเสียดายเช่นกัน ถ้าหากศิษย์คนที่แปดและศิษย์คนที่เจ็ดของเขาไม่ได้ทำลายแผนการของเขาไป ในตอนนี้เขาก็คงจะได้พบกับจางหยวนฉานและฮั๊ววู่เด๋าไปแล้ว ลู่โจวรู้สึกเสียดายมากที่ผนึกกรงกักขังของเขาไม่สามารถจับลูกศิษย์ตัวเองได้
แต่ไม่ว่าจะยังไงแท่นบูชาหยกเขียวเป็นเขตแดนของสำนักฝ่ายธรรมะ นอกจากนี้มันยังเป็นที่รวมตัวของเหล่าผู้ฝึกยุทธจำนวนมากอีกด้วย ถ้าหากลู่โจวต้องการที่จะสู้กับจางหยวนฉานตัวเขาก็คงจะต้องสูญเสียแต้มบุญไปกับการซื้อการ์ดจำนวนมากแน่ ลู่โจวรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าเท่าไหร่ที่ตัวเขาจะต้องสูญเสียแต้มบุญจำนวนมากไปกับการจัดการคนคนเดียว
‘ในตอนนี้คงจะต้องตามน้ำไปก่อน ฝืนไปก็คงจะมีแต่เสียกับเสียเปล่าๆ ฉันจะต้องสืบหาความจริงของเรื่องหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์ให้ได้ซะก่อน’
ลู่โจวไม่ได้มีเวลามาพูดคุยกับคนเหล่านี้ เขามองไปที่เหล่าสาวกที่กำลังยืนอยู่บนแท่นบูชาหยกเขียว เหล่าสาวกส่วนใหญ่ล้วนแต่มีพลังวรยุทธที่อยู่ต่ำกว่าขั้นมหาราชครูด้วยกันทั้งนั้น และนอกจากนี้มีผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์อีกจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนกับผู้นำอีกด้วย
‘ถ้าหากใช้การ์ดพิเศษกับคนพวกนี้ไปคงจะเป็นอะไรที่เสียเปล่าแน่’ ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะเอ่ยปากถามออกมาอีกครั้ง “ฮั๊ววู่เด๋ากลับไปที่สำนักหยุนแล้วอย่างงั้นหรอ? “
“ท่านผู้อาวุโสฮั๊วได้เก็บตัวเพื่อฝึกยุทธมาเป็นเวลานานกว่าหลายปีแล้ว และในที่สุดท่านผู้อาวุโสก็ได้ปรากฏตัวขึ้น…ข้าไม่คิดว่าเขาจะกลับไปยังสำนักหยุนในเร็ววัน” ใครบางคนได้พูดขึ้น
ด้วนชิงที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ชิงพูดขึ้น “ฮั๊ววู่เด๋าได้พ่ายแพ้ให้กับจีเทียนเด๋าเจ้าของศาลาปีศาจลอยฟ้าไปเมื่อ 20 ปีก่อน เรื่องในตอนนั้นได้กลายเป็นปมในใจเขา ข้ากลัวว่าเขาคงไม่อาจที่จะฝึกยุทธต่อไปได้แน่ถ้าหากไม่ได้แก้ไขปมในใจซะก่อน ข้าจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากเขาไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าเพื่อที่จะแก้ปมในใจนี้”
ทุกคนต่างก็ตกตะลึง สาวกบางคนเริ่มที่จะพูดคุยสนทนากันเอง
“ที่วรยุทธของผู้อาวุโสฮั๊วไม่ก้าวหน้าในเวลา 20 ปีแบบนี้เป็นเพราะว่าเขากำลังเจอปัญหานี่เอง”
“แต่เวลาได้ผ่านมานานกว่า 20 ปีแล้ว บางทีผู้อาวุโสฮั๊วอาจจะซ่อนไม้ตายอะไรบางอย่างเอาไว้ก็เป็นได้”
“ข้าคิดว่าผลลัพธ์จะต้องออกมาในเร็ววันแน่…เมื่อไม่นานมานี้สี่อัศวินดำจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้เดินทางไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ไม่ได้กลับมา บางทีพวกเราอาจจะรู้จักปรมาจารย์มหาวายร้ายคนนั้นไม่ดีพอก็เป็นได้”
“สี่อัศวินดำอย่างงั้นหรอ? ไม่เห็นมีผู้อาวุโสท่านไหนพูดถึงเลยนิ ผู้นำของสี่อัศวินดำพวกนี้คือฝานซุยเหวิน ครั้งหนึ่งเขาเคยมีชื่ออยู่ในบัญชีดำอันดับแรกในเมื่อ 300 ปีก่อนนิ? “
ยิ่งเหล่าสาวกทั้งหลายพูดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ พวกเขาทั้งหมดก็ต่างรู้สึกไม่แน่ใจมากขึ้น
แม้แต่ผู้ที่เคยมีชื่ออยู่ในอันดับสูงสุดของบัญชีดำในอดีตเองเดินทางไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้าแต่กับหายสาบสูญไป ถ้าหากเป็นแบบนี้ฮั๊ววู่เด๋าผู้ที่มีพลังยุทธเท่าเดิมในเวลา 20 ปีมานี้จะไปมีโอกาสแก้ตัวได้ยังไงกัน?
“หุบปาก! ” ผู้อาวุโสคนที่ห้าร้องตะโกนขึ้น “เจ้าพวกโง่งั่งไร้ความสามารถ! ไม่ทันไรก็กลัวซะแล้ว ถ้าหากปรมาจารย์มหาวายร้ายอยู่ตรงนี้พวกเจ้าก็คงจะไม่ฉี่ราดไปแล้วหรอ? “