My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 112
ในตอนนี้ทุกๆ คนต่างก็จับจ้องไปที่ของที่ลอยอยู่กลางอากาศ สถานการณ์ในตอนนี้ได้ตกอยู่ในความเงียบไปเป็นที่เรียบร้อย
‘ท่านนักบวชผู้อาวุโสอย่างงั้นหรอ? ทำไมเขาถึงช่วยจอมวายร้ายนั่นกัน? ‘
ลู่โจวกำลังนั่งอยู่บนหลังของบี่เอี๊ยนกำลังลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะสังเกตการณ์การต่อสู้ที่อยู่เบื้องล่างอย่างใกล้ชิด
เหล่าสาวกจากแท่นบูชาหยกเขียวที่เฝ้ามองดูการต่อสู้เองก็ต่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นแบบนั้นเช่นกัน
“ท่านนักบวชผู้อาวุโส? “
“เกิดอะไรขึ้นกัน? “
“หรือว่าท่านนักบวชผู้อาวุโสตั้งใจที่จะลงมือสังหารจอมวายร้ายนั่นด้วยตัวเอง แต่ว่าดันเผลอทำอาวุธหลุดมือไปซะก่อน? “
ในตอนนั้นเองเคียวพื้นพิภพและปลอกอาวุธก็ได้ร่วงหล่นผ่านตัวจางฉิวชูไป
“มันจบลงแล้ว! ” จางฉิวชูได้ยกกระบี่ตัดชีวาขึ้นมา ตัวเขาตั้งใจจะสังหารหมิงซี่หยินในการโจมตีครั้งนี้
แคล๊ง!
กระบี่ของจางฉิวชูได้เข้าปะทะกับเคียวพื้นพิภพไป
เคียวพื้นพิภพได้ถูกกระบี่ระดับสรวงสวรรค์ฟาดฟันเข้าใส่อย่างเต็มแรง หมิงซี่หยินที่ถือเคียวเองถูกดันให้จมดิน
จางฉิวชูถึงกับตกใจเมื่อได้เห็นแบบนั้น ‘อาวุธนี่มันอะไรกัน? ทำไมมันถึงทนการโจมตีของกระบี่ตัดชีวาได้? ‘ จางฉิวชูได้ขมวดคิ้วก่อนที่จะจ้องมองไปยังอาวุธ
อาวุธของจางฉิวชูได้ซัดพลังเข้าใส่อาวุธในมือของหมิงซี่หยินอย่างเคียวพื้นพิภพได้อย่างสูสี
“ติ้ง! เคียวพื้นพิภพพบเจ้าของแล้ว เปิดใช้งาน: อาวุธระดับสรวงสวรรค์ ได้รับแต้มบุญ 1,000”
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้าอย่างพอใจ ถ้าหากหมิงซี่หยินไม่มีอาวุธอย่างเคียวพื้นพิภพเขาก็คงจะไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะจางฉิวชูที่มีกระบี่ตัดชีวาได้เลย ในตอนแรกเขาตั้งใจจะเปลี่ยนนิสัยของหมิงซี่หยินให้ได้ก่อนที่จะมอบอาวุธอย่างเคียวพื้นพิภพให้ เดิมทีหมิงซี่หยินมักจะมีนิสัยที่ชอบประมาทเลินเล่อเสมอๆ แต่ในตอนนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะมอบอาวุธให้กับเขาแล้วนั่นเอง
ช่วงเวลาที่อาวุธชิ้นนี้ได้ยอมรับผู้เป็นเจ้านายของมัน ดวงตาของหมิงซี่หยินก็ได้เบิกกว้างขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ก่อนที่เขาจะได้ขอบคุณผู้เป็นอาจารย์ หมิงซี่หยินก็ได้กระโดดขึ้นไปบนอากาศด้วยความเร็วที่เร็วดุจดั่งสายฟ้า หมิงซี่หยินได้ดึงเคียวออกมาจากฝักก่อนที่จะกระโจนใส่จางฉิวชูราวกับเสือที่ติดปีก
ปั๊ง! ปั๊ง! ปั๊ง!
คลื่นพลังอันยิ่งใหญ่ได้พุ่งออกจากร่างกายของหมิงซี่หยินมากขึ้นกว่าเดิม ความเร็วของเขาเองก็เพิ่มเป็นอย่างมากเช่นกัน เมื่อหมิงซี่หยินได้ถือเคียวพื้นพิภพและปลอกอาวุธ ตัวเขาก็เจิดจรัสราวกับดอกไม้ไฟที่ส่องแสงสว่างไสวอยู่บนท้องฟ้า ทั่วทั้งสถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนกับสนามเด็กเล่นของหมิงซี่หยินไปเป็นที่เรียบร้อย
แคล๊ง! แคล๊ง! แคล๊ง!
หมิงซี่หยินได้ใช้เคียวพื้นพิภพที่มีในมือฟาดไปข้างหน้า ฟาดไปที่กระบี่ตัดชีวาของจางฉิวชู หมิงซี่หยินได้ใช้อาวุธทั้งสองชิ้นที่อยู่ในมือสลับการโจมตีไปมาใส่จางฉิวชูอย่างไม่หยุดพัก การโจมตีของเขาทั้งหมดได้เข้าปะทะใส่กระบี่ตัดชีวาของจางฉิวชูเข้าไปเต็มๆ ในตอนนั้นเสียงการปะทะกันระหว่างอาวุธทั้งสองชิ้นก็ได้ดังขึ้นกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง “จางฉิวชู เจ้าน่ะได้ใช้สุดยอดเคล็ดวิชาถึง 4 ครั้งติดต่อกัน ถ้าหากไม่ใช่เพราะกระบี่ตัดชีวาเล่มนั้นตาแก่อย่างเจ้าก็คงจะเสร็จข้าไปนานแล้ว! “
ในตอนนั้นเองจางฉิวชูก็ได้นึกถึงอะไรบางอย่าง เขาคิดว่าผู้ที่ถูกเรียกว่านักบวชผู้อาวุโสคนนั้นจะต้องเป็นปรมาจารย์มหาวายร้ายจากศาลาปีศาจลอยฟ้าแน่ และเพราะความจริงเรื่องนี้ทำให้ตัวเขารู้สึกกดดันมากยิ่งขึ้น พลังของหมิงซี่หยินในตอนนี้มีแต่เพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นมากทุกที ถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไปเห็นทีหมิงซี่หยินคงจะคว้าชัยจากการต่อสู้ได้แน่
จางฉิวชูไม่ได้ตั้งใจที่จะทิ้งชีวิตที่มีไป ในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีนั้นเองเขาได้ตัดสินใจที่จะล่าถอย ตัวเขาได้ตัดสินใจที่จะล่าถอยไปยังแท่นบูชาหยกเขียว! ในตอนนั้นจางฉิวชูได้ยกกระบี่ตัดชีวาขั้นมาก่อนที่จะชิงโอกาสนั้นรีบหนีไปซะก่อน
แต่ถึงแบบนั้นหมิงซี่หยินที่คิดหนีมานานก็ได้รู้ทันดี “พลังอวตารแห่งร้อยวิถี! ” พลังร่างอวตารที่สูงกว่า 20 ฟุตได้ปรากฏตัวขึ้น และเพราะแบบนั้นเองความเร็วของหมิงซี่หยินจึงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เคียวพื้นพิภพได้กระหน่ำแทงลงไปที่ร่างของจางฉิวชูอย่างรุนแรง
“บ้าเอ๊ย! ” จางฉิวชูรีบล่าถอยให้เร็วมากขึ้น
แคล๊ง! แคล๊ง! แคล๊ง!
การปะทะกันระหว่างอาวุธระดับสรวงสวรรค์ทั้งสองชนิดได้ทำให้ประกายจากการปะทะกันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่แม้ว่าจะเป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์เหมือนกันแต่หมิงซี่หยินมั่นใจมากกว่าเคียวพื้นพิภพของเขาจะต้องแข็งแกร่งกว่ากระบี่ตัดชีวาของจางฉิวชูอยู่หลายขั้น
ในตอนนั้นเองจู่ๆ หมิงซี่หยินก็ได้เอ่ยปากพูดออกมา “ลาก่อน! “
“ฮืม? ” จางฉิวชูที่ไม่ทันได้ระวังตัวได้ถูกเถาวัลย์ของหมิงซี่หยินปิดเส้นทางการหนีเอาไว้
“พลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถี! ” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น คราวนี้พลังร่างอวตารของเขาไม่ได้มีความสูงกว่า 20 ฟุตอีกต่อไป ตอนนี้มันมีความสูงขึ้นมาเกือบ 30 ฟุต นอกจากนี้พลังร่างอวตารของเขายังมีกลีบดอกบัวทองคำผลิกลีบออกมาด้วย
“อะไรกัน…เจ้าผลิกลีบดอกบัวได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ” ดวงตาของจางฉิวชูเบิกกว้างขึ้นมาอย่างไม่เชื่อ
ชั๊วะ!
หมิงซี่หยินได้ใช้เคียวพื้นพิภพแทงไปที่หน้าอกของจางฉิวชู ตั้งแต่วินาทีที่หมิงซี่หยินได้รับอาวุธระดับสรวงสวรรค์มา ตัวเขาก็เป็นฝ่ายไล่ต้อนจางฉิวชูมาโดยตลอด หมิงซี่หยินได้กระหน่ำโจมตีอย่างไม่หยุดพัก! “ข้าผิดไปแล้ว…อย่าทำข้าเลย”
การต่อสู้ได้จบลงไปทั้งแบบนั้น
ร่างของจางฉิวชูในตอนนี้ไร้ซึ่งชีวิตอีกต่อไป มีแต่พลังลมปราณของเขาเท่านั้นที่ประคองร่างกายของเขาบนกลางอากาศ
หมิงซี่หยินได้ทำการโจมตีปิดฉากไปได้ยืนหลังตรงก่อนที่จะเช็ดคราบเลือดที่อยู่บนเคียวพื้นพิภพด้วยแขนเสื้อของเขา
พรึ๊บ!
สุดท้ายแล้วร่างอันไร้วิญญาณของจางฉิวชูก็ได้ร่วงหล่นสู่พื้น
“ติ้ง! คุณได้สังหารผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ ได้รับแต้มบุญ 1,000 แต้ม”
“ติ้ง! คุณได้รับอาวุธระดับสรวงสวรรค์กระบี่ตัดชีวา จำเป็นจะต้องปรับแต่งใหม่ก่อนที่จะใช้งานอีกครั้ง”
เมื่อลู่โจวยกมือขึ้นในตอนนั้นกระบี่ตัดชีวาก็ได้ลอยเข้าแขนเสื้อเขาไปภายในพริบตาเดียว
หมิงซี่หยินรีบที่บินไปหาบี่เอี๊ยนในทันที
และเนื่องจากเถาวัลย์ที่หมิงซี่หยินใช้ปิดกั้นเส้นทางได้หนาแน่นจนปิดบังทัศนวิสัยได้ เพราะแบบนั้นเหล่าศิษย์สาวกทั้งหลายบนแท่นบูชาหยกเขียวจึงไม่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไป ในตอนที่เถาวัลย์ทั้งหมดหายไป ในตอนนั้นเองเหล่าสาวกก็เห็นหมิงซี่หยินทำท่าคารวะเพื่อที่จะทำความเคารพผู้ที่อยู่บนหลังของบี่เอี๊ยนแล้ว
“ขอบคุณมากท่านอาจารย์! ศิษย์ดีใจที่ไม่ได้ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง! “
ค่าความจงรักภักดี +2%
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองอย่างใจเย็น เขาจ้องมองไปยังหมิงซี่หยินก่อนที่จะพยักหน้าตอบรับให้เท่านั้น เขาไม่คาดหวังว่าหมิงซี่หยินจะพัฒนาตัวเองในการต่อสู้แบบนี้ได้มาก่อน แต่ถึงแบบนั้นในการต่อสู้ครั้งนี้สุดท้ายแล้วหมิงซี่หยินก็สามารถผลิกลีบของพลังร่างอวตารของตัวเองได้ เหตุการณ์แบบนี้เป็นเหมือนกับด้วนมู่เฉิงที่ทำการต่อสู้กับอัศวินดำทั้งสองอย่างไม่มีผิด
หมิงซี่หยินลุกขึ้นยืนก่อนที่จะพูดกับหยวนเอ๋อที่อยู่กับลู่โจวด้วย “ศิษย์น้องหญิง ข้าดูเหมือนศิษย์พี่รองแล้วรึยัง ข้าน่ะสังหารจางฉิวชูได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นนะ? “
หยวนเอ๋อกลอกตามาที่เขาก่อนที่จะตอบกลับมา “ข้าจะไปรู้ได้ยังไงกัน? “
การสนทนานี้เองได้ยืนยันตัวตนของลู่โจวเป็นอย่างดี
“หรือว่าเขาคือปรมาจารย์มหาวายร้ายกัน? “
“จีเทียนเด๋าอย่างงั้นหรอ? “
“เป็นไปไม่ได้! นักบวชผู้อาวุโสที่ด้วนชิงแนะนำให้เรารู้จักคือปรมาจารย์มหาวายร้ายของศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ? “
“หนี! “
เหล่าสาวกที่มีพลังวรยุทธอันต้อยต่ำไม่แม้แต่จะกล้าต่อสู้ ชีวิตของพวกเขาย่อมสำคัญกว่าการต่อสู้อันไร้ความหมายนี้ ในพริบตาเดียวเหล่าสาวกทั้งหมดก็ได้ทิ้งแท่นบูชาหยกเขียวเอาไว้ให้ว่างเปล่า
หยวนเอ๋อได้หันไปก่อนที่จะพูดออกมา “เอ๊ะ ท่านอาจารย์ ยังมีใครบ้างที่ไม่ได้เกรงกลัวท่านอาจารย์จนฉี่ราดไปด้วย”
ลู่โจวเองก็จ้องมองไปยังคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ คนคนนั้นก็คือจางชูนั่นเอง เขาเป็นผู้อาวุโสลำดับที่ห้า ในตอนนั้นลู่โจวก็ได้ถามออกมาอย่างใจเย็น “เจ้าน่ะไม่กล้วข้าอย่างงั้นหรอ? “
จางชูที่ถูกถามยังคงเงียบ
ลู่โจวพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะพูดชมเชยจางชูออกมา “ข้าคิดว่าสำนักฝ่ายธรรมะจะมีแต่พวกขี้ขลาดตาขาวซะแล้ว”
“ท่านอาจารย์ ศิษย์ยังไม่หนำใจเลย ได้โปรดให้ศิษย์ได้จัดการชายคนนี้ด้วยเถอะ? ” หมิงซี่หยินพูดออกมาอย่างตื่นเต้นต่อไป “ศิษย์สัญญาว่าจะรีบจบการต่อสู้เอง! ศิษย์จะให้เจ้านี่ตามจางฉิวชูไปยังยมโลกในทันที”
ลู่โจวส่ายหัวของเขา เขาเหลือบมองไปที่จางชูก่อนที่จะพูดขึ้น “ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้นหรอก”
การฆ่าจางชูไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับเขาเลย สำหรับลู่โจวชายคนนี้ก็เป็นเหมือนกับลูกปลาตัวน้อยเท่านั้น การตายของเขาไม่ได้มีผลอะไรกับสำนักฝ่ายธรรมะเลย
ลู่โจวได้ยกแขนเสื้อขึ้นก่อนที่จะพูดออกมาอย่างยิ่งใหญ่ “ข้าน่ะชอบคนที่กล้าหาญยิ่งนัก…ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าเอง” หลังจากนั้นเขาก็หันไปพูดกับศิษย์ทั้งสอง “เอาล่ะพวกเรากลับศาลาปีศาจลอยฟ้ากันเถอะ”
บี่เอี๊ยนได้บินหายไปเข้าในกลุ่มเมฆหมอก
“ขอให้เดินทางกลับอย่างสวัสดิภาพครับท่านอาจารย์ ศิษย์จะไปตามหาศิษย์พี่สามซะก่อน” หมิงซี่หยินพูดออกมา
ลู่โจวไม่ได้สนใจอะไรหมิงซี่หยิน เขายังขี่หลังของบี่เอี๊ยนก่อนที่จะท่องกลุ่มเมฆต่อไป
หมิงซี่หยินรีบพุ่งหายไปในป่าอย่างรวดเร็ว “ทำไมศิษย์พี่ถึงมาช้าแบบนี้ เขาแวะทำธุระนานขนาดนั้นเลยอย่างงั้นหรอ? ” หลังจากนั้นไม่นานหมิงซี่หยินก็ได้หายไปจากบริเวณนั้น
….
หลังจากนั้นไม่นานจางชูก็ได้ทรุดตัวลงกับพื้น ในตอนนั้นเองของเหลวสีแปลกๆ ก็ได้ไหลออกจากหว่างขาทั้งสองข้าง
‘นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว! น่ากลัวอะไรขนาดนี้! ปรมาจารย์มหาวายร้ายนั่นเคยยืนอยู่ข้างข้า! ‘ จางชูเกือบจะร้องไห้ออกมา
…
ในป่าที่เงียบสงบ
ในตอนนั้นเองชายชุดเขียวก็ได้เดินออกมาจากที่ซ่อนตัว เขาจ้องมองทิศที่บี่เอี๊ยนบินผ่านไปก่อนที่จะพูดพึมพำกับตัวเองออกมา “ท่านอาจารย์ ท่านเปลี่ยนไปจริงๆ …”
เขาเดินไปช้าๆ จนไปถึงตัวของจางชูที่กำลังนั่งอยู่ตรงพื้น
“สวัสดี”
“สะ-สะ-สวัสดี” จางชูได้พยักหน้าตอบกลับมาด้วยความกลัว
“ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าพวกเขาจะทำให้เจ้าตกใจกลัวได้ถึงขนาดนี้”