My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 129
ซู่ฮ่องกงได้ก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าวก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าไม่เคยทำอะไรที่ไม่คู่ควรที่จะต้องหนีจากท่านอาจารย์มาเลย ในตอนที่ศิษย์พี่ขอให้ข้าช่วยตรวจสอบเรื่องคดีลักพาตัวคนสกุลซี ในตอนนั้นข้าก็ได้ตรวจสอบมันอย่างละเอียด มีใครบางคนที่ลักพาตัวคนสกุลซีโดยใช้ชื่อหุบเขาพยัคฆ์ของข้าไป ข้าน่ะถูกใส่ร้าย! “
“ข้าไม่ได้ถามหาเรื่องศิษย์น้องเล็กจากเจ้าเลย เหตุใดกันเจ้าถึงต้องแสดงความคิดเห็นออกมาแบบนั้นด้วย? ” หมิงซี่หยินได้ถามออกมา
“…” ซู่ฮ่งกงที่ได้ฟังแบบนั้นสีหน้าว่างเปล่า หลังจากนั้นเขาก็พูดต่อไป “ข้าคงจะมีชื่อเสียงที่ไม่บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้วล่ะ แม้ว่าข้าจะล้างตัวในแม่น้ำแยงซีก็ตาม ยังไงซะก็ไม่มีใครมองข้าในแง่ดี”
“พอได้แล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้อยู่เบื้องหลังในการลักพาตัวคนสกุลซี เจ้าน่ะไม่กล้าที่จะทำแบบนั้นหรอก” หมิงซี่หยินกลอกตาหนีอย่างเอือมระอา
เมื่อซู่ฮ่องกงได้ยินแบบนั้น ตัวเขาก็มีความสุขมากขึ้น ตัวเขาพยายามที่จะพูดออกมาเพื่อประจบผู้เป็นศิษย์พี่อย่างหมิงซี่หยิน “ข้าเองก็รู้ว่าศิษย์พี่เป็นพี่ชายที่ดีกับข้ามาโดยตลอด ท่านอาจารย์ไม่ได้พูดอะไรกับศิษย์พี่เลยอย่างงั้นหรอ? “
“ท่านอาจารย์ไม่ได้คิดเรื่องเจ้าหรอก เจ้าน่ะมองตัวเองสูงเกินไปศิษย์น้อง” หมิงซี่หยินพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา ในระหว่างนั้นเขาก็ได้เปลี่ยนสีหน้าตัวเองกลับมาจริงจังอีกครั้ง “กลับมาเข้าเรื่องดีกว่า ในเมื่อเจ้าเห็นกล่องแล้ว เจ้ารู้รึเปล่าว่าศิษย์น้องเจ็ดอยู่ไหนกัน? “
ซู่ฮ่องกงหัวเราะออกมาเบาๆ “ศิษย์พี่ช่างเป็นคนที่มีอารมณ์ขันซะจริง ข้าจะไปรู้ได้ยังไงกันว่าศิษย์พี่เจ็ดอยู่ที่ไหน? ศิษย์พี่คงจะต้องลองไปตามหาดูที่หุบเขามังกรหลับ ที่นั่นข้าได้ยินมาว่าสำนักแห่งความมืดอาศัยอยู่ที่นั่น”
“ศิษย์น้องแปด เดิมทีเจ้าไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์แบบนี้ ทำไมเจ้าถึงจะต้องชี้ทางอันตรายให้กับข้าด้วย? ” หมิงซี่หยินได้ถามออกมาด้วยเสียงที่จริงจัง
ทันทีที่หมิงซี่หยินพูดจบ ในตอนนั้นเองเสียงปรบมือก็ได้ดังมาจากเบื้องหลัง
ชายผู้ที่มีหน้าตาหล่อเหลาสีวู่หยาได้ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างสง่างาม
“ศิษย์น้องเจ็ด? ” หมิงซี่หยินจ้องมองไปที่ซู่ฮ่องกง “ไหนเจ้าบอกว่าเจ้าไม่รู้กันไง? “
สีวู่หยาเดินมาอย่างช้าๆ ในตอนนั้นเขาโค้งคำนับก่อนที่จะพูดขึ้น “สวัสดีศิษย์พี่สี่”
แม้ว่าสีวู่หยาจะเป็นศิษย์น้องของหมิงซี่หยิน แต่ถึงแบบนั้นท่าทีของสีวู่หยาก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกับศิษย์พี่คนนี้เลย เขาคนนี้ชอบที่จะอยู่กับซู่ฮ่องกงมากกว่า บางทีที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะว่าสีวู่หยารู้ดี เขารู้ดีว่าการจะควบคุมคนที่ชาญฉลาดมันยากที่จะจัดการ แต่ถึงแบบนั้นเนื่องจากหมิงซี่หยินเป็นศิษย์พี่ และเขาคนนี้ยังมาที่นี่ตามคำสั่งของท่านอาจารย์ เพราะแบบนั้นแล้วจึงไม่มีอะไรจะต้องไปกังวล ท้ายที่สุดแล้วหมิงซี่หยินก็ได้พูดกลับมา “ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าไม่มีความสามารถอื่นที่ดีไปกว่าการแอบฟังอีกแล้วหรอ? “
“ศิษย์พี่พูดล้อเล่นกับข้าอีกแล้ว…ข้าน่ะก็อยู่ในหุบเขาพยัคฆ์มาสักพักหนึ่งแล้ว เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรอที่ผู้เป็นศิษย์พี่จะมาเยี่ยมเยียนผู้เป็นศิษย์น้องน่ะ ข้าไม่คาดหวังมาก่อนเลยว่าศิษย์พี่สี่จะคิดเช่นเดียวกับข้า ข้ามีความสุขจริงๆ “สีวู่หยาเดินไปตามทางด้านซ้าย หลังจากนั้นเขาก็ยกเสื้อคลุมทั้งสองข้างก่อนที่จะเริ่มนั่งลง”
“เจ้าคงจะได้ยินบทสนทนาทั้งหมดแล้ว เลิกเดินไปรอบๆ ซะ ข้าอยากจะยืมพัดขนนกยูงของเจ้าครู่หนึ่ง” หมิงซี่หยินรีบพูดเข้าเรื่อง
สีวู่หยาได้จ้องไปที่กล่องลึกลับใบนั้น แม้ว่าสีหน้าของเขาจะไม่ได้เปลี่ยนอะไรไป แต่ถึงแบบนั้นเขาก็แอบที่จะตกใจอยู่ภายใน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นกล่องที่ดูประหลาดเช่นนี้ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้คิดว่าแปลกอะไร อาจารย์ของเขาเดิมทีก็มีสมบัติมากมายอยู่ก่อนแล้ว สีวู่หยาที่จ้องมองกล่องได้พักหนึ่งได้พูดออกมาอย่างใจเย็น “ข้าจะให้ท่านยืมพัดนกยูงของข้าก็ได้ แต่มีอะไรบางอย่างที่ข้าอยากจะพูดกับท่านโดยตรงศิษย์พี่สี่”
“ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้น ข้ารู้จักพวกเจ้าทั้งสองคนดี รีบเอาอาวุธของเจ้ามาได้แล้ว…เอาพัดขนนกยูงของเจ้าใส่ลงไปในช่วงว่างนั่นซะ” หมิงซี่หยินระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น เขาไม่อยากที่จะตกเป็นเหยื่อของคำพูดล่อลวงของศิษย์น้องผู้นี้
หัวใจของสีวู่หยากระวนกระวายเล็กน้อย แต่ถึงแบบนั้นสีหน้าของเขาก็ยังสงบนิ่งอยู่ดี “ศิษย์พี่สี่ ท่านน่ะระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิมเยอะขึ้นเมื่อเทียบกับสมัยก่อนที่พวกเราได้พบกันเป็นครั้งสุดท้าย” หลังจากพูดจบสีวู่หยาก็ได้ยกมือขวาขึ้นมา ในตอนนั้นเองพัดขนนกยูงก็ได้ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา
ซู่ฮ่องกงจ้องมองพัดขนนกยูงด้วยความอิจฉา เขาได้แต่พึมพำกับตัวเองออกมาเบาๆ เท่านั้น “ข้าได้แต่หวังว่าจะได้อาวุธระดับสรวงสวรรค์ในสักวันบ้าง”
สีวู่หยาได้คว้าพัดขนนกยูงเอาไว้ก่อนที่จะเดินตรงไปยังกล่องลึกลับใบนั้น “ถ้าหากกล่องใบนี้มีของที่ใช้สำหรับควบคุมพวกเราอยู่ ศิษย์พี่จะเปิดมันไหม? “
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นตกตะลึง
สีวู่หยาสังเกตเห็นว่าสีหน้าของหมิงซี่หยินเปลี่ยนแปลงไป เขาจงใจที่จะชะลอการเคลื่อนไหวเอาไว้นั่นเอง
หมิงซี่หยินยกมือก่อนที่จะพูดออกมา “ช้าก่อน”
“ศิษย์พี่มีอะไรจะพูดอย่างงั้นหรอ? “
“ข้าน่ะสงสัยมาโดยตลอด…ย้อนกลับไปทำไมเจ้าถึงได้เลือกที่จะทำแบบนั้นกันทั้งศิษย์น้องแปด ศิษย์พี่ใหญ่ และศิษย์พี่รองเอง ทำไมพวกเขาถึงเลือกที่จะออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้ากัน” หมิงซี่หยินได้ถามออกมาตรงๆ
สีวู่หยาไม่ได้ดูแปลกใจเลยเมื่อได้ยินคำถามเมื่อครู่ ตัวเขาได้เอามือไขว้หลังก่อนที่จะตอบกลับมา “ศิษย์พี่สี่ ถ้าหากมีคนที่ถือมีดวิ่งมาทางท่าน และท่านเองก็ไม่มีทางที่จะต่อสู้ตอบโต้ได้ ท่านจะเลือกวิ่งหนีไหมล่ะ? “
หมิงซี่หยินตกใจกับคำถามนี้มาก แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
สีวู่หยากลับไปที่นั่งของตัวเองก่อนที่จะเริ่มนั่งลงอย่างช้าๆ ในตอนนั้นเขาก็ตอบกลับมาอย่างร่าเริง “ศาลาปีศาจลอยฟ้าน่ะมีศัตรูมากเกินไป นับตั้งแต่ที่สิบยอดฝีมือโจมตีภูเขาทอง ทุกคนก็ล้วนแต่รอให้ท่านอาจารย์สิ้นอายุขัยไป…และเมื่อเวลานั้นมาถึง แม้ว่าทั้งศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองจะยังไม่ได้จากภูเขาทองไป ในตอนนั้นการจะรับมือกับศัตรูทั้งหมดคงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่ดี”
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ตะคอกออกไป “ศัตรูพวกนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับพวกฝูงตั๊กแตนหรอก”
“ท่านเชื่อในอาจารย์มากขนาดนั้นเลยหรอ? ” สีวู่หยาได้ถามออกมาอย่างเยือกเย็น
“หุบปาก! ” หมิงซี่หยินตะคอกขึ้นมาอย่างเสียงดัง เขาจ้องไปที่ศิษย์น้องคนที่เจ็ดก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าน่ะอย่าลืมรางเหง้าของตัวเองจะดีกว่า! ข้าไม่โทษศิษย์น้องแปดหรอกที่ถูกเจ้าหลอก แต่ทำไมเจ้ายังไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรคือแสงสว่างอะไรคือความมืดแบบนี้? “
เป็นปกติที่ผู้เป็นศิษย์พี่จะตำหนิผู้เป็นศิษย์น้อง แต่ถึงแบบนั้นสีหน้าของสีวู่หยายังคงสงบเยือกเย็น ตัวเขาไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรที่เปลี่ยนแปลงออกมาเลย “ศิษย์พี่สี่ ท่านก็รู้ดีว่าข้าน่ะแยกความมืดกับแสงสว่างได้อยู่แล้ว แล้วท่านล่ะ? ท่านจะรู้ได้ยังไงกันว่าท่านยืนอยู่ในแสงสว่าง? “
“เจ้า! ” หมิงซี่หยินยกมือขึ้น “อย่ามาพูดเล่นลิ้นกับข้าจะดีกว่า”
“ศิษย์พี่พูดเกินไปแล้ว”
“ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ ท่านอาจารย์ก็เคยสั่งสอนเจ้ามา นั่นแหละคือความจริงที่เจ้าไม่อาจจะเถียงได้! ” หมิงซี่หยินพูดกลับไป
สีวู่หยายิ้มจางๆ ให้ หลังจากนั้นเขาก็ตบมือก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าท่านจะปกป้องท่านอาจารย์แบบนี้ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่พวกเราแยกจากกัน” เมื่อเทียบกับหมิงซี่หยินคนเก่าแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนไปมากสำหรับสีวู่หยา
“ข้าน่ะไม่เหมือนกับเจ้า” หมิงซี่หยินได้นั่งลงอีกครั้งก่อนที่จะคว้าองุ่นที่มีเหลือในจาน ตัวเขาได้ถ่มเม็ดองุ่นลงไปที่เท้าของสีวู่หยาอย่างตั้งใจ
สีวู่หยาจ้องมองไปที่กล่องลึกลับก่อนที่จะพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ศิษย์พี่สี่ ในเมื่อท่านขอให้ข้าเปิดกล่องใบนี้ ข้าก็จะไม่คัดค้านท่านและจะทำตามสิ่งที่ท่านพูด แต่ถ้าหากท่านไม่พูดขอร้องข้า ข้าเกรงว่าข้าคงจะร่วมมือกับท่านไม่ได้แน่”
หมิงซี่หยินที่เพิ่งจะสงบสติอารมณ์ลงในตอนนี้ตัวเขากลับรู้สึกโกรธขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
ปั๊ง!
เพียงแค่เสียงฝ่ามือกระแทกโต๊ะ โต๊ะตัวข้างๆ ก็ได้ทรุดตัวลง การเคลื่อนไหวของหมิงซี่หยินรวดเร็วดุจดั่งสายฟ้าฟาด หมิงซี่หยินรีบใช้พลังลมปราณโจมตีไปที่สีวู่หยา
ปั๊ง! ปั๊ง! ปั๊ง!
สีวู่หยาได้ใช้ปลายเท้าแตะพื้นอย่างเบาๆ เขาล่าถอยไปได้อย่างสบายๆ แขนข้างหนึ่งของเขายังคงอยู่ที่ด้านหลัง ส่วนแขนอีกข้างกำลังปัดป้องการโจมตีของหมิงซี่หยินไป
ปั๊ง! ปั๊ง! ปั๊ง!
ในชั่วพริบตาเดียวหุบเขาแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยพลังลมปราณ
หมิงซี่หยินได้โจมตีจนทำให้สีวู่หยาล่าถอยกลับไป ไม่มีใครที่จะยอมใคร
ซู่ฮ่องกงตกตะลึง ตัวเขารีบลุกขึ้นมาโบกมือทั้งสองข้าก่อนที่จะตะโกนขึ้น “ศิษย์พี่ทั้งสอง…ได้โปรดหยุดเถอะ! ถ้าหากยังคงต่อสู้กันอยู่แบบนี้หุบเขาข้าคงจะต้องแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แน่! “
คนของหุบเขาพยัคฆ์ได้แต่ถอยกลับไปเท่านั้น พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะเข้ามาห้ามการต่อสู้
ปั๊ง! ปั๊ง! ปั๊ง!
หมิงซี่หยินโจมตีด้วยฝ่ามืออีกสามครั้งไปที่การป้องกันของสีวู่หยา
สีวู่หยาได้ตีลังกากลับหลังก่อนที่จะใช้ปลายเท้าแตะลงที่พื้น “ศิษย์พี่สี่ ข้าขอแสดงความยินดีด้วยที่ท่านฝึกฝนตัวเองไปถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้แบบนี้! “
“เจ้าทำให้ข้าเสียหน้า ข้าในฐานะศิษย์พี่ของเจ้าจะสั่งสอนเจ้าเอง! ” หมิงซี่หยินกระทืบเท้าข้างหนึ่งลงบนพื้น
ตู๊ม!
รอยเท้าของหมิงซี่หยินถูกทิ้งเอาไว้บนพื้น ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็ได้ซัดพลังเข้าใส่สีวู่หยาอีกครั้ง