My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 130
เมื่อสีวู่หยาเห็นแบบนั้น เขาก็รีบถอยหลังกลับไปราวกับนกนางแอ่น ตัวเขายังคงปัดป้องการโจมตีจากหมิงซี่หยินด้วยมือเดียวต่อไป
ปั๊ง! ปั๊ง! ปั๊ง!
พลังของพวกเขาทั้งสองคนเข้าปะทะกันโดยที่ไม่ได้คำนึกถึงสิ่งปลูกสร้างรอบตัว
หัวใจของซู่ฮ่องกงเต้นแรงขึ้นทุกครั้งเมื่อเห็นการโจมตี ตัวเขาพยายามที่จะไกล่เกลี่ยศิษย์พี่ทั้งสอง “ศิษย์พี่ ได้โปรดหยุดเถอะ! พวกเราเป็นพี่น้องกันไหนเลยต้องทะเลาะกันแบบนี้? “
เมื่อสีวู่หยาได้ยินการไกล่เกลี่ยของศิษย์น้อง เขาก็ได้เริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ศิษย์พี่สี่ ดูเหมือนท่านจะอยู่แต่บนภูเขามากไป แม้ว่าท่านจะโชคดีฝึกฝนตนจนถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ถึงแบบนั้นท่านก็ยังห่างการต่อสู้มานาน ท่านน่ะไม่สามารถทำอะไรข้าได้หรอก! “
ปั๊ง! ปั๊ง! ปั๊ง!
“เจ้าน่ะผิดแล้ว” หมิงซี่หยินได้ปล่อยพลังลมปราณมากกว่าเดิม ที่เป็นแบบนั้นเพราะเคียวพื้นพิภพที่เขามีนั่นเอง
ในตอนนั้นเองขนนกยูงก็ได้พุ่งออกมา! มันเป็นอาวุธลับใบมีดทั้งหลายที่อัดแน่นไปด้วยพลังลมปราณ อาวุธลับทั้งหมดได้ลอยออกมาปกป้องผู้เป็นเจ้าของของมัน
เคียวพื้นพิภพได้ฟาดเข้าใส่ใบมีดพลังลมปราณทั้งหลาย
แคล๊ง! แคล๊ง! แคล๊ง!
พัดขนนกยูงได้แผ่กระจายตัวเองออกมาเป็นใบมีด แต่เพราะหมิงซี่หยินเข้าใกล้จนเกินไป ในตอนนี้ใบมีดที่ดูเหมือนกับขนนกจึงไม่อาจที่จะกลับมาช่วยผู้เป็นเจ้าของได้ทัน ในตอนนี้เคียวพื้นพิภพจึงได้เปรียบเล็กน้อย ที่เป็นแบบนี้อาจจะเป็นเพราะว่าการใช้อาวุธอย่างเคียวพื้นพิภพโจมตีอย่างกะทันหัน
หลังจากที่อาวุธระดับสรวงสวรรค์ได้เข้าปะทะกัน ในที่สุดพวกเขาทั้งคู่ก็ถอยหลังกลับไป พวกเขาหยุดที่จะโจมตีก่อนที่จะจ้องมองกัน
หลังจากที่คลื่นพลังลมปราณจางหายไป ในที่สุดรอบๆ ตัวของพวกเขาทั้งสองคนก็ได้เงียบลงอีกครั้ง
สีวู่หยาสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นตื่นตกใจ ตัวเขากำลังจ้องมองหมิงซี่หยินที่ถือเคียวพื้นพิภพอยู่ ในตอนนั้นเองเขาก็ได้กล่าวชมเชยออกมา “ศิษย์พี่สี่ ท่านไม่เพียงฝึกฝนตัวเองจนถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ท่านยังมีอาวุธระดับสรวงสวรรค์อีกด้วย! “
“แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ยังล้มพัดขนนกยูงของเจ้าไม่ได้” หมิงซี่หยินพูดออกมาอย่างเยือกเย็น
“เป็นเรื่องถูกต้องและเหมาะสมแล้วที่ศิษย์พี่จะตำหนิศิษย์น้องแบบข้า ข้าเองที่เป็นคนหยาบคาย ข้าต้องขออภัยจริงๆ ศิษย์พี่สี่” สีวู่หยาคารวะผู้เป็นศิษย์พี่
“ข้าไม่ต้องการคำขอโทษจากเจ้า! กล่องใบนี้เป็นของท่านอาจารย์ ข้าต้องการให้ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง และต้องการอาวุธของเจ้าเปิดมัน มัน ตอนนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าจะช่วยข้าหรือไม่” หมิงซ๊่หยินตอบกลับมา
“แล้วมีอะไรอยู่ในกล่องล่ะ? “
“ข้าไม่รู้ แต่ท่านอาจารย์ก็ยังให้ความสำคัญกับกล่องใบนี้มาก เพราะแบบนั้นไม่ใช่ของธรรมดาๆ แน่” หมิงซี่หยินตอบกลับมา
“ท่านไม่กังวลหน่อยหรอว่าถ้าหากพวกเราเอาสมบัติข้างในหลังเปิดไป ท่านจะทำยังไงกัน? ” สีวู่หยาพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“ท่านอาจารย์ได้คิดมาแล้ว กุญแจดอกสุดท้ายก็คือห่วงแห่งรัก ศิษย์น้องยี่ถูกท่านอาจารย์จับกุมมาแล้ว ห่วงแห่งรักของเธออยู่ในมือของท่านอาจารย์” หมิงซี่หยินตอบกลับมา
สีวู่หยาถอนหายใจและพูดออกมา “ข้าได้ยินมาว่าศิษย์พี่รองพูดว่าท่านอาจารย์น่ะได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ว่าจะการกระทำหรืออารมณ์ของเขาก็แล้วแต่ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเรื่องจริงสินะ” เมื่อพูดจบเขาก็ถือพัดขนนกยูงไปที่กล่องลึกลับ
ซู่ฮ่องกงรู้สึกโล่งใจมากเมื่อเห็นทั้งสองคนหยุดต่อสู้กัน เขาได้เดินไปหาทั้งคู่ก่อนที่จะพูดขึ้น “ถ้าหากท่านอาจารย์รู้สึกสนใจสิ่งนี้ ของในนั้นมันจะต้องมีค่าแน่”
สีวู่หยาได้ใช้พัดนกยูงฟาดเข้าไปบนหัวของผู้เป็นศิษย์น้องของตัวเอง “เจ้าเลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว”
“ของสิ่งนี้จะต้องมีค่าจนไม่สามารถวัดมูลค่าด้วยเงินแน่” สีวู่หยายังคงจ้องมองดูรอบกล่องใบนั้น ในชั่วพริบตาเขาก็พบช่องสำหรับใส่พัดนกยูง แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังไม่สอดอาวุธเข้าไปในทันที เขาได้พินิจพิจารณากล่องใบนั้นอีกสักพักก่อนที่จะพยักหน้าพร้อมพูดอีกครั้ง “ข้าแปลกใจจริงๆ ที่ท่านอาจารย์มีกล่องลึกลับแบบนี้ ช่องทั้งหมดต่างก็เชื่อมต่อกัน ถ้าหากพวกเราไม่ระวังมากพออาวุธของพวกเราจะติดอยู่ในนี้” ในขณะที่พูดสีวู่หยาก็ได้สอดพัดนกยูงเข้าไปในช่องว่าง
แคล๊ก!
เสียงกลไกดังขึ้นมาจากกล่อง ในตอนนั้นเองพัดนกยูงก็ได้ถูกดีดออกมา แม้ว่าร่องอื่นๆ จะไม่ได้รับผลกระทบอะไร แต่ร่องที่ดูคล้ายกับพัดนกยูงในตอนนี้หายไปแล้ว นี่แสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าพัดนกยูงได้มีส่วนร่วมในการปลดล็อก
สีวู่หยายกมือขวาขึ้นมาเพื่อที่จะคว้าพัดนกยูงเอาไว้ หลังจากนั้นสีวู่หยาก็ได้ชูมือขึ้นก่อนที่อาวุธระดับสรวงสวรรค์ของเขาจะหายไป
“ศิษย์พี่สี่…ท่านคงพึงพอใจแล้วสินะ? “
หมิงซี่หยินไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาเลย เขาเพียงแต่พูดออกมา “เจ้าได้ทำสิ่งที่เจ้าสมควรทำแล้ว นอกจากนี้ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่ติดต่อกับศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองได้ ในตอนนี้ข้าจะปล่อยกล่องใบนี้ให้อยู่ในมือเจ้า ข้าจะกลับมาในหุบเขาแห่งนี้ในอีก 7 วันข้างหน้าเพื่อที่จะรับกล่องใบนี้คืนเอง”
เมื่อสีวู่หยาได้ยินแบบนั้นเขาก็ได้พูดขึ้น “ก็จริงอยู่ที่ข้าสามารถติดต่อศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองได้ ไม่มีสถานที่ใดที่สำนักแห่งความมืดของข้าจะไปไม่ถึงในใต้หล้านี้ ปัญหามีเพียงอย่างเดียว ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองไม่ได้ใจดีเหมือนกับข้า ข้าเกรงว่าพวกเราคงจะไม่สามารถปลดล็อกกล่องใบนี้ได้แน่”
“เจ้าน่ะขี้กังวลมากเกินไปแล้ว บางทีกล่องใบนี้อาจจะเก็บของล้ำค่าจากสรวงสวรรค์ของเจ้าเอาไว้ก็ได้” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างเย้ยหยัน
“กังวลอะไรกัน? ” สีวู่หยาหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าจะบอกความจริงกับท่าน ศิษย์พี่สี่ ถ้าหากข้าเป็นกังวลจริงๆ ข้าคงจะไม่ใส่อาวุธของข้าลงไปในกล่องก่อนหน้านี้หรอก”
“นั่นคือทางที่ดีที่สุดแล้ว ข้าเชื่อว่าศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองจะต้องเข้าใจแน่” หมิงซี่หยินได้โบกมือให้ ตัวเขาได้หมุนกล่องลึกลับใบนั้นขึ้นไปกลางอากาศ “อย่างน้อยๆ ท่านอาจารย์ก็ยังคงมีชีวิตล่ะนะ…”
ถ้าหากจะพูดอีกความหมายหนึ่งก็คงจะเป็น ‘อาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านอาจารย์ยังไงก็ยังคงเป็นท่านอาจารย์ ถ้าหากท่านอาจารย์โกรธเมื่อไหร่ ท่านอาจารย์จะต้องตามล่าตัวและลากตัวศิษย์ที่คิดหนีไปสุดล่าฟ้าเขียวแน่ แม้ว่าท่านอาจารย์ใกล้ที่จะหมดอายุขัยก็ตามที’
“ไม่ต้องห่วงศิษย์พี่สี่ ข้าจะแจ้งให้กับศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองได้ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้เอง” สีวู่หยาได้คารวะหมิงซี่หยินอย่างเยือกเย็น
หมิงซี่หยินพยักหน้าตอบรับด้วยความพึงพอใจ สีวู่หยาไม่ได้แสดงความเต็มใจออกมามากนัก แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็คิดอะไรบางอย่างออก ในตอนที่เขากำลังจะจากไปเขาก็ได้เอ่ยปากถามขึ้นมาก่อน “ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าน่ะมีส่วนเกี่ยวข้องในตอนที่เกิดเรื่องลักพาตัวคนสกุลซีไหม? “
สีวู่หยาส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับมา “ไม่”
“ข้าเชื่อเจ้า! ” หมิงซี่หยินตอบกลับไป
“แม้ว่าพวกเราอยากที่จะทำงานให้ลุล่วงแค่ไหน ยังไงพวกเราก็ยังคงมีหลักการเป็นของตัวเอง ศาลาปีศาจลอยฟ้าที่ข้าเคยอยู่ไม่เคยมีความบาดหมางด้วยกันเอง ข้าจะไม่ข้องเกี่ยวกับความบาดหมางนั่นและมันจะไม่มีในอนาคตอีกด้วย” สีวู่หยาได้พูดออกมาอย่างใจเย็น
“ข้าก็หวังแบบนั้น” หมิงซี่หยินเอามือไขว้หลังเอาไว้
ซู่ฮ่องกง ศิษย์คนที่แปดนั่งลงบนพื้นก่อนที่จะเช็ดเหงื่อที่ไหลรินอยู่บนหน้า เขามองดูความเสียหายที่อยู่รอบๆ ตัวก่อนที่จะถอนหายใจออกมา
สีวู่หยายังคงไม่ได้นิ่งนอนใจ เขาเดินไปที่เก้าอี้ไม้ตัวเดิมก่อนที่จะนั่งลง “ศิษย์น้องแปด ลูกธนูที่ถูกยิงไปแล้วไม่อาจที่จะย้อนกลับได้ และเพราะแบบนั้นพวกเราจึงมีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น” เมื่อพูดเสร็จเขาก็หันหน้าไปมองกล่องลึกลับที่อยู่ข้างๆ “ท่านอาจารย์ได้เก็บสะสมสมบัติล้ำค่ามานานกว่าหลายปีแล้ว บางทีเขาอาจจะมีสมบัติล้ำค่าที่คนอื่นไม่เคยได้เห็นอยู่อีก กล่องใบนี้ต้องมีของไม่ธรรมดาอยู่แน่นอน”
ซู่ฮ่องกงลุกขึ้นยืนก่อนที่จะเดินไปใกล้ๆ กล่องลึกลับ “มันจะเป็นไปได้ไหมว่ามันจะมีอาวุธอยู่? “
“ข้าไม่สามารถคาดเดาได้หรอก…”
“ทำไมท่านถึงสัญญาว่าจะช่วยเปิดกล่องล่ะ? ” ซู่ฮ่องกงถามออกมาอย่างงุนงง
“กล่องใบนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ข้าไม่เคยเจอมาก่อน ถ้าหากมันยังคงล็อกอยู่สมบัติข้างในก็คงจะไม่ได้ออกมา ชีวิตของท่านอาจารย์ใกล้ที่จะจบลงแล้ว เจ้าคิดว่าท่านอาจารย์จะถือครองมันได้นานสักแค่ไหนกัน? เพราะแบบนั้นการปลดล็อกมันเพื่อให้สมบัติล้ำค่ามาอยู่ในโลกแห่งนี้คงจะเป็นการดีกว่า” สีวู่หยาพูดออกมาก่อนที่จะลุกขึ้นเดินและเอามือไขว้หลังไปด้วย “ในตอนที่ข้าได้ต่อสู้กับศิษย์พี่สี่ เจ้าเห็นอาวุธของเขาก่อนหน้านี้ไหม? “
“ข้าเห็น! ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน ศิษย์พี่สี่อยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ามาหลายปีแล้ว แต่เขาไม่เคยได้เคล็ดวิชาขั้นสุดท้ายเวหาพงพนามาก่อนเลย ยิ่งไปกว่านั้นวรยุทธของเขาก็ไม่คืบหน้ามานานแล้วด้วย แต่ถึงแบบนั้นในตอนที่ต่อสู้กับท่าน ศิษย์พี่สี่กลับทำได้อย่างสูสี อาวุธของเขาเป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์สินะ? ” ซู่ฮ่องกงถามออกมา
“ถูกต้องแล้ว”
“…”
สีวู่หยายกมือขวาขึ้น กล่องลึกลับใบนั้นดูเหมือนกับของไร้น้ำหนักไม่มีผิด ตัวเขาได้ใช้พลังลมปราณของตัวเองยกกล่องใบนั้นให้มาที่มือของตัวเอง