My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 132
ดวงตาของยู่ฉางตงได้จับจ้องไปที่กล่องลึกลับใบนั้น เขาประเมินมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหันกลับไป
“กล่องใบนี้คือกล่องที่ท่านอาจารย์ต้องการอาวุธของท่านในการเปิดน่ะ”
“ท่านอาจารย์เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ แม้ว่าเขาจะนอนอยู่บนภูเขา แต่ถึงแบบนั้นก็ยังสรรหาอะไรให้พวกเราได้ทำอีกจนได้” ยู่ฉางตงได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“บางทีท่านอาจารย์อาจจะทดสอบพวกเราด้วยของสิ่งนี้ก็เป็นได้
“ศิษย์น้องเจ็ด เจ้ามักจะมองทะลุคนอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่เจ้าน่ะกลับมองไม่เคยทะลุท่านอาจารย์ได้เลยสินะ? “
สีวู่หยาที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวให้ก่อนที่จะถอนหายใจยาวๆ ออกมา ตัวเขาได้เดินไปที่ด้านหลังของยู่ฉางตงก่อนที่จะเหลือบมองไปที่ถนนที่อยู่เบื้องล่าง ถนนเส้นนี้ยังคงคึกคักไม่เปลี่ยนแปลง “ถ้าหากเป็นท่านอาจารย์ในอดีต ข้าก็พูดได้อย่างเต็มปากเลยล่ะว่าอ่านความคิดของเขาได้ แต่ในตอนนี้ข้าเองก็เริ่มไม่แน่ใจแล้ว”
ยู่ฉางตงที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดออกมาเบาๆ “ข้าน่ะไม่สนใจอะไรหรอก ในความจริงข้าเองก็ไม่เคยคิดถึงท่านอาจารย์เลย ตราบใดที่ท่านอาจารย์ยังอยู่ ข้าก็สบายใจแล้ว”
“ดูเหมือนว่าศิษย์พี่จะไม่ชอบวิธีการนี่เลยสินะ” สีวู่หยายังคงพูดต่อไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์น่ะเริ่มทำแต่สิ่งตรงกันข้ามกับในอดีต เขาทั้งสังหารยอดฝีมือลำดับที่สองของวิหารปีศาจอย่างซู่จินฉานไป หลังจากนั้นเขาก็จับตัวผู้นำของเหล่าอัศวินดำอย่างฝานซุยเหวินเอาไว้อีก นอกจากนี้เขายังมีนักบวชผู้อาวุโสคอยช่วยเหลือตัวเขาอีกด้วย และเขายังให้คนจากสำนักบริสุทธิ์ ฝานซง, คนจากสำนักดาบสวรรค์อย่างโจวจี้เฟิง หรือแม้แต่ฮั๊ววู่เด๋าอดีตผู้อาวุโสสำนักหยุนเองต่างก็อยู่บนภูเขากันหมดแล้ว”
“ดูเหมือนเจ้าจะเสียความมั่นใจที่มีไปนะศิษย์น้องเจ็ด…เจ้าน่ะดูลังเล” ยู่ฉางตงพูดขึ้น
สีวู่หยาพยักหน้า ตัวเขาไม่ได้ปฏิเสธแม้แต่อย่างใด “ข้าเพิ่งจะได้ข้อมูลทั้งหมดมาจากสำนักแห่งความมืด แต่ถึงแบบนั้นก็ยังมีรายงานที่ย้อนแย้งกันอยู่หลายครั้ง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับนักบวชผู้อาวุโสล้วนแต่เชื่อถือไม่ได้ ที่แท่นบูชาหยกเขียวไม่มีนักบวชผู้อาวุโสจากที่ไหนไปอยู่ที่นั่น…ถ้าหากเป็นแบบนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่านักบวชผู้อาวุโสคนนั้นก็คือท่านอาจารย์เอง…”
ยู่ฉางตงที่ฟังแบบนั้นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านอาจารย์น่ะเชี่ยวชาญการใช้เคล็ดวิชามากมายหลายชนิด ยังไงซะการสันนิษฐานของเจ้าก็ยังพอเป็นไปได้อยู่”
“ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริง บางทีท่านอาจารย์อาจจะเชี่ยวชาญการใช้เคล็ดวิชาจากสำนักอื่นๆ ก็เป็นได้ นั่นมันเป็นไปไม่ได้เลยจริงๆ ” สีวู่หยารำพึง
ยู่ฉางตงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ตัวเขายังคงนิ่งเงียบก่อนที่จะมองไปยังที่ไกลแสนไกลจากเมืองอันยาง
ผู้คนบนท้องถนนเริ่มบางตาลงอย่างช้าๆ ดวงอาทิตย์กำลังตกลงสู่พื้น
ในที่สุดสีวู่หยาก็จ้องมองไปที่กล่องก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “ศิษย์พี่รอง ขึ้นอยู่กับท่านแล้วล่ะว่าจะปลดล็อกกล่องใบนี้หรือไม่”
“เจ้าได้เลือกแล้วอย่างงั้นหรอ? “
“ในตอนนี้เวลาของท่านอาจารย์ใกล้จะหมดลงแล้ว เพราะแบบนั้นข้าจะตั้งหน้าตั้งตารอเวลานั้น” สีวู่หยาตอบกลับมา
“ข้าน่ะไม่ชอบใช้สมองเหมือนกับเจ้า…” ยู่ฉางตงพูดออกมาอย่างเยือกเย็น “แม้จะมีหลายครั้งที่ข้าไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเจ้า แต่ครั้งนี้ข้าคิดว่าเจ้าพูดถูก” หลังจากพูดจบยู่ฉางตงก็ได้เอื้อมมือไปหยิบดาบที่อยู่ด้านหลังของเขาออกมา ดาบของเขาได้ส่งแสงสีแดงจางๆ หลังจากนั้นยู่ฉางตงก็ได้ใส่ดาบลงไปในช่องว่างบนตัวกล่อง
แคล๊ก!
เสียงอะไรแปลกๆ ได้ดังขึ้น
ดาบยืนยาวได้ถูกดีดออกมาก่อนที่จะคืนสู่มือยู่ฉางตงไป “ทำไมกล่องถึงยังไม่เปิดกัน? “
สีวู่หยาได้ตอบข้อสงสัยในทันที “พวกเราจะต้องใช้ดาบของศิษย์พี่ใหญ่ ดาบนิลโลหิตซะก่อน”
“ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าน่ะฉลาดกว่าพวกเราทุกคน เจ้าคิดว่าอะไรอยู่ในกล่องใบนี้กัน? “
“กล่องใบนี้ไม่ได้มีหนักอะไร ข้าว่ามันไม่ใช่ทั้งแก้วแหวนเงินทองแน่ และข้าก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นอาวุธเช่นกัน ถ้าดูจากความเป็นไปได้ทั้งหมด ข้าคิดว่ากล่องใบนี้คงจะเก็บแผนที่สมบัติเอาไว้แน่” สีวู่หยาพูดออกมาอย่างติดตลก
“แผนที่สมบัติอย่างงั้นหรอ? หรือว่าแผนที่นั่นจะนำพวกเราไปเจอกับของมีค่าอย่างกระดูกของชาวมนุษย์เผือกกัน? ” ยู่ฉางตงได้พูดออกมาอย่างสับสน
“กระดูกของชาวมนุษย์เผือกไม่ใช่สมบัติหรอกศิษย์พี่ พระราชวังได้ออกค้นหาของสิ่งนั้นมาเป็นเวลากว่าสิบปี แต่พวกเขากลับไม่พบอะไรเลย เพราะแบบนั้นข้าเลยคิดว่ามีเพียงโอกาสอันน้อยนิดเท่านั้นที่สมบัติจะเป็นกระดูกของชาวมนุษย์เผือก” สีวู่หยาวิเคราะห์ตอบกลับไป
ยู่ฉางตงที่ได้ฟังแบบนั้นถอนหายใจออกมาเบาๆ “ข้าหวังว่าศิษย์น้องหกจะก้าวข้ามผ่านอดีตนั้นไปได้นะ”
“ทิ้งเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ ข้าคิดว่าตอนนี้นางกำลังตกที่นั่งลำบาก ถ้าหากท่านอาจารย์รู้เรื่องทุกอย่างแล้วบางทีนางอาจจะต้องซวยก็เป็นได้”
ยู่ฉางตงพยักหน้าเห็นด้วย เขาไม่อยากที่จะพูดถึงเรื่องยี่เทียนซินอีกต่อไป เขาจ้องมองไปที่กล่องลึกลับที่อยู่ตรงหน้าก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเยือกเย็น “ยังไงซะศิษย์พี่ใหญ่ไม่ชอบที่จะเปิดเผยตัวออกมา ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะหาศิษย์พี่พบหรอกนะ”
“ข้าจะลองดู…บางทีศิษย์พี่ใหญ่อาจจะช่วยแสดงความคิดเห็นกับพวกเราได้” สีวู่หยาตอบกลับ
ยู่ฉางตงที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ชี้ไปยังทิศที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ “ตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้อยู่บนหุบเขาผิงตูอีกต่อไป เขาน่าจะอยู่ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์แน่! “
เมื่อสีวู่หยาได้ฟังแบบนั้น เขาถึงกับผงะเล็กน้อย “ศิษย์พี่ใหญ่ชอบฝึกฝนตัวเองอย่างสันโดษมาโดยตลอด เพราะงั้นภารกิจหลายอย่างจึงถูกลูกน้องของเขาเป็นคนสานต่อให้ ทำไมศิษย์พี่ใหญ่ถึงไปที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ด้วยล่ะ นั่นมันไม่ใช่ถ้ำเสื้อ แต่เป็นถ้ำมังกรมากกว่า? “
ยู่ฉางตงพูดตอบกลับมา “ข้าเองก็ไม่ชอบวิธีที่ศิษย์พี่ใหญ่ทำหรอกนะ”
“เอ่อ”
“เพราะงั้นข้าก็เลยจัดการกับเฉินเหวินเจี๋ยไป”
“…”
“ข้าน่ะได้เตือนกับศิษย์พี่ใหญ่และเฉินเหวินเจี๋ยไปก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าหากพวกเขากล้าที่จะขวางทางข้า ข้าก็จะสังหารพวกเขาในทันที ข้าจะให้ดาบของข้าได้อาบเลือดของพวกเขา” ยู่ฉางตงได้พูดออกมาช้าๆ
สีวู่หยาที่ได้ฟังแบบนั้นพูดไม่ออกไปชั่วขณะ หลังจากนั้นสุดท้ายเขาก็พูดออกมาอีกครั้ง “ท่านกับศิษย์พี่ใหญ่มักจะมีจุดยืนเป็นของตัวเอง”
“ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าน่ะมองเห็นภาพรวมมาโดยตลอด เจ้าคิดว่าศิษย์พี่ใหญ่ทำถูกต้องหรือไม่? ” ยู่ฉางตงถามออกมา
“อืม…” สีวู่หยาได้หยุดคิดไปชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะยิ้มแย้มและตอบกลับมา “ข้าคิดว่าศิษย์พี่ใหญ่น่ะทำผิดไปแล้ว”
ยู่ฉางตงที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ “เจ้าน่ะมีสิ่งที่ไม่เหมือนใครจริงๆ ศิษย์น้องเจ็ด”
ในตอนนั้นเองกองทหารพร้อมม้าศึกได้ปรากฏตัวขึ้นที่ถนนอันยาง ในกองทหารมีผู้ฝึกยุทธชุดแดงอยู่ทั้งหมด 30-50 คนด้วยกัน
ยู่ฉางตงชี้ไปที่กองทหารตรงนั้น “เจ้าพูดถูกแล้ว เหวนซู่หยานส่งคนมาจริงๆ “
สีวู่หยาเอามือไขว้หลังก่อนที่จะพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “แม้ว่าเหวยซู่หยานจะไม่ลงรอยกับใครบางคน แต่คนพวกนั้นก็คงจะไม่ต่างอะไรกับฝูกตั๊กแตน เหวยซู่หยานช่างน่าเกลียดเกินไปจริงๆ …”
“น่าเกลียดอย่างงั้นหรอ? “
“ไม่สำคัญอีกแล้วว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่การเคลื่อนไหวของเหวยซู่หยานดูเชื่องช้าจนเกินไป” สีวู่หยาพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“แล้วเจ้าล่ะศิษย์น้องเจ็ด เจ้าจะเคลื่อนไหวไหม? ” ยู่ฉางตงถามออกมา
สีวู่หยาส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าไม่คิดจะเคลื่อนไหวในตอนนี้ ข้าอยากที่จะสังเกตการณ์ให้มากกว่านี้ซะก่อนค่อยลงมือ ศิษย์พี่รองไม่เห็นด้วยกับวิธีของข้าหรอ? “
“เจ้าก็รู้จักข้าดีศิษย์น้องวู่หยา” ยู่ฉางตงพูดตอบกลับไป
กองทหารได้เดินไปตามท้องถนน
ท้ายที่สุดแล้วสีวู่หยาก็ได้คารวะยู่ฉางตง “ศิษย์พี่รอง ข้าจะต้องขอตัวก่อน ข้าจะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์”
“ได้” ยู่ฉางตงโบกมือให้ก่อนจะพูดอีกครั้ง “ฝากอะไรไปบอกเขาด้วย บอกเขาว่าข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของเขา และเขาเองก็อย่ามายุ่งกับเรื่องของข้า”
“ข้าจะบอกข้อความนี้แก่ศิษย์พี่ใหญ่เอง…” สีวู่หยาพูดเสร็จก็ได้โบกมือขึ้น ในตอนนั้นกล่องใบเดิมก็ได้หายไปในทันที
ยู่ฉางตงเหลือบมองไปที่ร่างอันไร้วิญญาณที่อยู่บนพื้น ตัวเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าต้องขอโทษจริงๆ ที่ข้าไม่ได้จัดการกับพวกเจ้า…แค้นต้องชำระ เห็นทีข้าคงจะทำแบบนั้นไม่ได้ซะแล้ว ลาก่อน” หลังจากที่พูดจบยู่ฉางตงก็ได้กระโจนขึ้นไปบนอากาศ หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้หายวับไป ยู่ฉางตงได้ติดตามกองทหารรวมไปถึงเหล่าผู้ฝึกยุทธชุดแดงไป
…
ในขณะเดียวกันสีวู่หยาเองก็กลับมาถึงรถม้าของตัวเอง
“ท่านเจ้าสำนักพวกเราเห็นท่านดาบปีศาจตรงไปที่ภูเขาทอง”
“ไม่จำเป็นจะต้องกังวลอะไร ศิษย์พี่รองรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไร เจ้ามีข่าวอะไรเกี่ยวกับสำนักหยุน, สำนักเทียน และสำนักล่ัวไหม? “
“เจ้าสำนัก นักบุญแห่งดาบลั่วฉีซานยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร”
“ถ้าหากเจ้านั่นเคลื่อนไหวรายงานข้าทันที ข้าเชื่อว่าศิษย์พี่รองต้องอยากที่จะประมือกับเขามากแน่”
“ครับท่านเจ้าสำนัก”