My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 140
มีผู้ฝึกยุทธมากมายหลายคนกำลังยกรถม้าอยู่ รถม้าคันนั้นได้ลอยมาอย่างช้าๆ แต่ในพริบตาเดียวเท่านั้นมันก็ลอยอยู่เหนือหุบเขาพยัคฆ์เป็นที่เรียบร้อย
ธงขนาดใหญ่ได้ปลิวไสวเหนือรถม้า บนธงผืนใหญ่นั้นมีคำว่า ‘สำนักทางใต้’ อยู่ ภายใต้คำว่าสำนักทางใต้เองมีสัญลักษณ์ของดาบนิลโลหิตและดวงดาวแห่งความมืดอยู่ด้วย
ซู่ฮ่องกงที่กำลังนอนกลางวันอยู่ถูกผู้เป็นลูกน้องของเขาปลุกขึ้นมาจากการหลับใหล
“ท่านหัวหน้า มีรถม้าของใครไม่รู้ปรากฏตัวขึ้นที่บนหุบเขา มันกำลังจะมาถึงหุบเขาพวกเราแล้ว! “
ซู่ฮ่องกงสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล เขาจำคำพูดของผู้ที่เป็นศิษย์พี่คนที่เจ็ดได้ดี “เจ้าพวกสำนักเที่ยงธรรมมาแก้แค้นข้าแล้วอย่างงั้นหรอ? “
“ท่านหัวหน้า ถ้าหากมันเป็นสำนักเที่ยงธรรมจริงๆ ข้าคิดว่าพวกเรา…หนีดีกว่า! “
“หนีอย่างงั้นหรอ? อย่าโง่ไปหน่อยเลย ข้าเป็นถึงกับราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ ทำไมข้าจะต้องกลัวพวกสำนักเที่ยงธรรมด้วย? ” ซู่ฮ่องกงนั่งลง เขานั่งอย่างสงบแต่ถึงแบบนั้นในใจของเขาก็เต้นรั่วอย่างไม่หยุดยั้ง
“ว่ากันว่าจางหยวนฉานเจ้าสำนักของสำนักเที่ยงธรรมเป็นผู้มีพลังร่างอวตารดอกบัว 7 กลีบ! “
“ก็แค่พลังร่างอวตารดอกบัว 7 กลีบ…มันไม่ได้มีความหมายอะไรกับข้าหรอก แต่ถึงแบบนั้นพวกเราก็ควรจะฟังคำแนะนำของเจ้า เจ้าคิดว่าทางไหนกันที่จะทำให้พวกเราหนีได้เร็วที่สุด? ” ซู่ฮ่องกงถามขึ้นอย่างร้อนรน
“ท้ายภูเขาครับ”
“ไปเร็วเข้า” ซู่ฮ่องกงรีบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขาได้นำเหล่าลูกน้องทั้งหมดไปที่ท้ายภูเขาในทันที
แต่ไม่ทันที่พวกเขาจะออกจากฐานที่มั่นได้ทัน ในตอนนั้นเองมีพลังร่างอวตารทั้ง 4 ได้ปรากฏตัวขึ้นมาซะก่อน พลังร่างอวตารทั้งหมดใหญ่พอที่จะบดบังป่าและทัศนวิสัยหลังภูเขาได้ ที่พลังร่างอวตารมีดอกบัวทองคำผลิบานอยู่ มันเป็นร่างอวตารที่มีดอกบัว 7 กลีบ 2 ร่างและเป็นร่างอวตารที่มีดอกบัว 6 กลีบอีก 2 ร่างด้วยกัน พลังร่างอวตารทั้งหมดตั้งตระหง่านเหนือสิ่งใด
“ท่านหัวหน้า! ท่านกำลังทำอะไรกัน?! “
“ท่านหัวหน้า ข้าไม่ได้เตรียมกางเกงมาเพิ่มนะ! ” ลูกน้องทั้งสองคนรีบพยุงซู่ฮ่องกงขึ้นมาจากพื้น
ในตอนนั้นเองเสียงหัวเราะก็ได้ดังขึ้น มันเป็นเสียงหัวเราะที่ดังมาจากเหนือร่างอวตาร
“พวกเราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ ศิษย์น้องแปด”
ซู่ฮ่องกงรู้สึกงุนงง
รถม้าขนาดมหึมาได้ลอยอยู่เหนือร่างอวตารทั้งสี่ ในตอนนั้นเองก็มีใครคนหนึ่งปรากฏขึ้น ชายคนนั้นได้เดินลงมาจากกลางอากาศอย่างช้าๆ ก่อนที่จะก้าวขาลงสู่พื้นดิน
เหล่าสาวกของหุบเขาพยัคฆ์ไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน หลายๆ คนยังไม่แม้แต่จะเคยเจอผู้ใช้พลังร่างอวตารที่มีดอกบัวมากถึง 6 กลีบในชีวิต แต่ในตอนนี้เหล่าสาวกทั้งหมดกลับเจอยอดฝีมือพร้อมกันถึง 4 คนด้วยกัน เพราะแบบนั้นเองทำให้เหล่าสาวกทั้งหลายรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“ศิษย์…ศิษย์พี่ใหญ่? ” ซู่ฮ่องกงได้เช็ดเหงื่อที่มีทั้งหมดบนใบหน้า “ปล่อยข้าซะเจ้าพวกลูกน้องไม่ได้เรื่อง พวกเจ้าทั้งหมดทำให้ข้าดูแย่! “
ทันทีที่ซู่ฮ่องกงพูดจบ พลังร่างอวตารทั้งสี่ก็ได้จางหายไป
ชายคนสุดท้ายที่ลงมาจากรถม้าได้เดินมาหาซู่ฮ่องกง
ยู่เฉิงไห่ ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยไร้อารมณ์เช่นเดิม แต่ถึงแบบนั้นพลังที่ไหลเวียนอยู่ภายในตัวเขากลับลึกลับและทรงพลังมากกว่าเหล่ายอดฝีมือทั้งสี่ ยู่เฉิงไห่ที่เดินทางมาถึงได้พูดทักทายผู้เป็นศิษย์น้องขึ้น “ศิษย์น้องแปด”
“ศิษย์พี่ใหญ่! “
ซู่ฮ่องกงจำชายคนที่อยู่ตรงหน้าได้ดี “เป็นท่านนั่นเองศิษย์พี่! ข้าดีใจจริงๆ ที่ท่านให้เกียรติมาเยี่ยมหุบเขาพยัคฆ์ของข้าแบบนี้ ข้าคิดว่าข้าจะต้องตายซะแล้ว ข้าเกือบที่จะโจมตีพลังใส่ศิษย์พี่เพราะความเข้าใจผิดแล้ว”
“ลืมมันไปจะดีกว่า พลังของเจ้าอาจจะมีไว้ใช้ขู่ได้ แต่ข้าว่ามันคงใช้ไม่ได้จริงหรอก” ยู่เฉิงไห่ตอบกลับมา
ซู่ฮ่องกงที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้หัวเราะก่อนที่จะตอบกลับไป “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านน่ะยุ่งมาโดยตลอด ลมอะไรกันพาศิษย์พี่มาถึงที่นี่ได้? ” หลังจากนั้นซู่ฮ่องกงก็ได้หันไปหันมาก่อนที่จะพูดกับลูกน้องของตัวเอง “คุกเข่าซะสิ! พวกเจ้าไม่เห็นหรอว่าศิษย์พี่ใหญ่ของข้าอยู่ตรงนี้!? “
“ขะ…เข้าใจแล้วครับ! ” เหล่าสาวกทั้งหมดคุกเข่าอย่างพร้อมเพรียงกัน
ในตอนนั้นเองลูกน้องของซู่ฮ่องกงคนหนึ่งก็ได้ถามออกมาอย่างไม่แน่ใจซะก่อน “เอ่อ…ท่านหัวหน้าครับ ท่านอยากที่จะเปลี่ยน…เปลี่ยนกางเกงในก่อนไหมครับ? “
พลั๊วะ!
ซู่ฮ่องกงได้เตะลูกน้องในทันที หลังจากนั้นสีหน้าของเขาก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมา
ยู่เฉิงไห่ไม่ตอบคำถามอะไร เขาได้มองไปที่สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ก่อนที่จะพูดขึ้น “ทิ้งกล่องนั่นเอาไว้ที่นี่ซะ แล้วกลับไปที่รถม้า”
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านจะไม่กลับไปที่หุบเขาผิงตูอย่างงั้นหรอ? “
“เป็นเวลานานมากแล้วที่ข้าไม่ได้พบศิษย์น้องแปดของข้า ข้าอยากที่จะระลึกความหลังกับเขาสักหน่อย ข้าจะอยู่ที่หุบเขาพยัคฆ์อีกสักสองสามวัน” ยู่เฉิงไห่ได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น
“ข้าเข้าใจแล้วท่านเจ้าสำนัก” ผู้พิทักษ์ทั้งสี่ได้วางกล่องเอาไว้ก่อนที่จะโค้งคำนับกลับไป พวกเขาทั้งสี่ได้กลับขึ้นรถม้าอีกครั้ง
หลังจากนั้นไม่นานรถม้าคันนั้นก็ได้บินออกจากหุบเขาพยัคฆ์ไป
ยู่เฉิงไห่ชี้ไปที่กล่องข้างๆ ก่อนที่จะพูดออกมา “นี่ถือเป็นงานที่ยากสำหรับศิษย์น้องเจ็ดจริงๆ …”
ซู่ฮ่องกงมองไปที่กล่องลึกลับก่อนที่จะพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ศิษย์พี่เจ็ดไปหาศิษย์พี่ใหญ่สินะ…ถ้าหากศิษย์พี่จะถามหาความคิดเห็นข้า ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรเปิดกล่องนี้เลย! ทำไมพวกเราถึงต้องเปิดมันด้วย? ถ้าหากมันเป็นภัยร้ายต่อพวกเรา พวกเราก็คงจะต้องเสียใจไปตลอด…”
“ยังไงซะก็ไม่มีอะไรทำให้ข้ารู้สึกสนใจได้หรอก มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น สิ่งนั้นก็คือแม่น้ำและหุบเขาอันยิ่งใหญ่” ยู่เฉิงไห่ไม่ได้เข้าฐานที่พักแต่อย่างใด เขาเดินไปที่ริมหน้าผาก่อนที่จะมองไปยังพื้นล่าง ยู่เฉิงไห่รู้สึกชอบความรู้สึกนี้มาก ยู่เฉิงไห่สามารถมองเห็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่เบื้องล่างได้อย่างชัดเจน สิ่งมีชีวิตต่างๆ มันช่างไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับเขา
“ศิษย์พี่ใหญ่…ตัวข้าไม่ใช่คนที่ทะเยอทะยานเหมือนท่าน สิ่งที่ข้าต้องการทั้งหมดมีเพียงการมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขเท่านั้น” ซู่ฮ่องกงได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“ศิษย์น้องแปด ถ้าหากกล่องใบนี้มีอาวุธระดับสรวงสวรรค์อยู่ และมันยังเป็นอาวุธที่เจ้าชื่นชอบอีกด้วย เจ้าจะทำยังไงกัน? ” ยู่เฉิงไห่ได้ถามขึ้น
“อาวุธระดับสรวงสวรรค์? ” ซู่ฮ่องกงตาสว่างขึ้นมาทันที เขาเกาหัวก่อนที่จะเดินไปยังกล่อง หลังจากนั้นเขาก็จ้องมองดูกล่องจากทุกๆ ด้าน “ถ้าหากในนี้มีอาวุธระดับสรวงสวรรค์อยู่จริง อย่างน้อยๆ พวกเราก็ควรที่จะเปิดมัน! อาวุธระดับสรวงสวรรค์ไม่เหมาะที่จะถูกผนึกเอาไว้เฉยๆ หรอกศิษย์พี่”
“เจ้าน่ะควรจะเชื่อฟังคำพูดของศิษย์น้องเจ็ด…” ยู่เฉิงไห่พูดต่อไป “เจ้าน่ะควรจะฝึกฝนตัวเองให้มากกว่านี้ในยามที่เจ้าว่าง พลังวรยุทธของเจ้ายังคงอยู่ห่างไกลที่จะใช้อาวุธระดับสรวงสวรรค์ได้ มีเพียงผู้ที่มีวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะสามารถใช้อาวุธล้ำค่าแบบนั้นได้”
“ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่านต้องการจะบอกดีศิษย์พี่ใหญ่ แต่ถึงแบบนั้นเคล็ดวิชาคลื่นพลังสายฟ้าหายนะทั้งเก้าที่อาจารย์สอนให้กับข้า ท่านอาจารย์สอนไปถึงขั้นที่ 7 เท่านั้น ข้ายังไม่ได้ฝึกฝนอีก 2 ขั้นที่เหลือ ข้าคิดว่าถ้าหากข้าได้เคล็ดวิชาทั้ง 2 ขั้นที่เหลือมาข้าจะต้องเก่งขึ้นมากกว่านี้แน่” ซู่ฮ่องกงพึมพำออกมา
ยู่เฉิงไห่พยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อไป “เจ้าหยุดที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังสายฟ้าหายนะทั้งเก้าไปก่อน ในใต้หล้าแห่งนี้น่ะมีเคล็ดวิชามากมายหลายอย่างด้วยกันที่แกร่งกล้าและมีประโยชน์ เจ้าน่ะฝึกฝนเคล็ดวิชาอื่นรอไปซะก่อน”
“ข้าไม่คุ้นเคยที่จะฝึกฝนแบบนั้นศิษย์พี่ ในอดีตข้าพยายามที่จะฝึกฝนตัวเองตามเคล็ดวิชาอื่นๆ แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ดูไม่เหมาะที่จะใช้เคล็ดวิชาพวกนั้นเลย มีเพียงเคล็ดวิชาพลังสายฟ้าหายนะทั้งเก้าเท่านั้นที่เหมาะกับข้าที่สุดแล้ว! ” ซู่ฮ่องกงได้พูดออกมาอย่างหมดหนทาง
ยู่เฉิงไห่ได้หันไปจ้องหน้ากับซู่ฮ่องกง “ลืมมันไปซะเถอะ” หลังจากนั้นผู้เป็นศิษย์พี่คนนี้ก็เดินไปยังฐานที่มั่นของซู่ฮ่องกง
“ศิษย์พี่ใหญ่ แล้วเรื่องกล่องนี้ล่ะ? “
น่าเสียดายที่ยู่เฉิงไห่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
ซู่ฮ่องกงได้โบกมือขวาของตัวเองขึ้นมา กล่องใบนั้นได้ลอยเข้าใส่มือของเขาก่อนที่ซู่ฮ่องกงจะเก็บกล่องใบนั้นและเดินตามผู้เป็นศิษย์พี่ไป
ยู่เฉิงไห่ทำตัวสบายๆ ราวกับว่าอยู่ที่บ้านของตัวเอง ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้นั่งลงบนบัลลังก์ของฐานที่มั่นแห่งนี้
“ศิษย์น้องแปด…เจ้าน่ะทำงานตามที่ศิษย์น้องเจ็ดสั่งการตลอดเลยสินะ? “
“ไม่มีทางที่จะเป็นแบบนั้นศิษย์พี่ พวกเราก็แค่ช่วยเหลือกันในฐานะศิษย์พี่ศิษย์น้องเท่านั้น…” ซู่ฮ่องกงตอบกลับไป
“เจ้าน่ะเป็นศิษย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้า ฐานที่มั่นเล็กๆ ของเจ้าไม่เหมาะกับฉายาราชาปีศาจหรอกนะ”
“ศิษย์พี่ใหญ่ นี่ไม่ใช่ที่ที่ต้องการจะอยู่ ข้าก็แค่ใช้ชีวิตไปวันๆ ด้วยความกลัวเท่านั้น ข้าเคยเจอกับท่านอาจารย์มาแล้วที่แท่นบูชาหยกเขียว ถ้าหากข้าไม่ได้หนีท่านอาจารย์อย่างว่องไวมากพอข้าก็คงจะไม่มีหน้ามาพบกับศิษย์พี่ใหญ่ในวันนี้” ซู่ฮ่องกงพูดขึ้น
“ท่านอาจารย์น่ะอายุมากแล้ว ทำไมเขาถึงต้องไปที่แท่นบูชาหยกเขียวกัน? “
“ข้าเองก็ไม่อาจรู้ได้”
“แท่นบูชาหยกเขียวเป็นพื้นที่ของสำนักเที่ยงธรรม เจ้าน่ะไม่กลัวจางหยวนฉานจัดการเข้าอย่างงั้นหรอ? ” ยู่เฉิงไห่ได้ถามออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าน่ะหรอจะกลัวเจ้านั่น? “
ในวินาทีนั้นเองลูกน้องของซู่ฮ่องกงก็ได้วิ่งกลับมาที่ฐานที่มั่นอีกครั้ง “ทะ…ท่านหัวหน้า มะ…มีรถม้าอีกคันกำลังลอยเข้ามาใกล้หุบเขาของพวกเรา รถม้าคันนี้ดูเล็กกว่าคันที่แล้ว มันดูเหมือนกับรถม้าจากสำนักเที่ยงธรรม! “
ซู่ฮ่องกงตกใจจนเกือบที่จะล้มลง
ยู่เฉิงไห่ที่ได้ยินแบบนั้นจึงได้พูดออกมาอย่างช้าๆ “ศิษย์น้องแปด ได้เวลาที่เจ้าจะแสดงฝีมือที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักแล้วสินะ ข้าจะคอยดูอยู่ห่างๆ เอง”
“…” ซู่ฮ่องกงพูดไม่ออก ‘ถ้าหากศิษย์พี่ใหญ่ไม่อยู่ที่นี่ ข้าก็หนีไปได้แล้วแท้ๆ ข้าควรจะทำยังไงกัน? ‘